"ท่านเป็ห่วงข้าหรือ?" เฉียวเยว่ไม่ได้สังเกตว่าน้ำเสียงของตนเองนุ่มนวลเป็พิเศษ มีความอ่อนหวานแกมฉอเลาะ คลายกำลังออดอ้อน
ชั่วพริบตานั้นหรงจ้านรู้สึกเหมือนถูกขนไก่ไล้ผ่านหัวใจเบาๆ
ถึงรู้ว่านางไม่ตั้งใจ แต่หรงจ้านยังรู้สึกว่าแม่หนูน้อยคนนี้เป็นางร้ายจอมฉอเลาะ นางมัก...ยั่วยวนคนเช่นนี้เสมอ
หรงจ้านเม้มปาก แม้ว่าหิมะจะโปรยปรายลงมาไม่หยุด อากาศหนาวเย็นมาก แต่เขากลับร้อนรุ่ม หากบอกว่าตอนนี้เป็่ที่อากาศร้อนที่สุดของฤดูร้อนก็ดูเหมือนจะไม่เกินจริงนัก
เฉียวเยว่เห็นหรงจ้านเหม่อลอย ก็ไม่รู้ว่าเขาเป็อะไรกันแน่ นางยื่นมือน้อยๆ โบกไปมา หรงจ้านกระแอมกระไอ แล้วทำเป็มองโน่นมองนี่ แต่ไม่มองเฉียวเยว่
เฉียวเยว่ทำตาปริบๆ ถามอีกครั้ง "ท่านเป็อะไรกันแน่?"
พอถามเช่นนี้ หรงจ้านสงบสติอารมณ์ แล้วตอบกลับไป "ไม่มีอะไร"
เสียงแ่หวิว เจือไปด้วยความขัดเขินอยู่หลายส่วน
เฉียวเยว่ขยี้หูอย่างควบคุมตนเองไม่อยู่ น้ำเสียงของเขาฟังดูเหมือนคนตกประหม่า จุดนี้ไม่ถูกต้อง ไม่สมกับเป็หรงจ้านสักนิด
อาจเป็เพราะคำตอบของหรงจ้านเรียบง่ายเกินไป ไม่รู้เพราะเหตุใดทั้งสองต่างคนต่างเงียบไปชั่วอึดใจ เฉียวเยว่เองก็ไม่รู้จะพูดอะไร นางมองหรงจ้านอย่างงุนงง ส่วนหรงจ้านเองก็เช่นเดียวกัน
แต่หรงจ้านก็ดึงสติกลับมาได้ นี่ตนเองกำลังทำอะไรอยู่
เขากระแอมด้วยความขัดเขิน แต่หลังจากนั้นก็แสร้งทำสงบนิ่ง แล้วเอ่ยว่า "เ้าไม่เป็อะไรก็ดีแล้ว" เขาหยุดเว้นจังหวะ มองเฉียวเยว่อย่างพินิจ เห็นนางสวมอาภรณ์เบาบาง ลมจากนอกหน้าต่างก็แรงมาก จึงเอ่ยตัดบท "รีบปิดหน้าต่าง อากาศหนาวเยี่ยงนี้ยังจะเปิดหน้าต่างอีกหรือ ที่แท้สาเหตุที่เ้าร่างกายอ่อนแอก็มีที่มาที่ไปเช่นนี้เอง"
เฉียวเยว่ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเขาเอาข้อสรุปเช่นนี้มาจากไหน นางร่างกายอ่อนแอ? นางล้มป่วยเพราะตากฝนที่วัดหานซานก่อนที่พี่สาวจะแต่งงานแค่ครั้งเดียวเท่านั้นเอง หากร่างกายอ่อนแอจริง ไหนเลยจะออกมาะโโลดเต้นเช่นตอนนี้เล่า
เฉียวเยว่โต้แย้งในใจ แต่กลับเห็นหิมะตกใส่ตัวเขาไม่น้อย
"ท่านรีบเข้ามาเถอะ อากาศหนาวจัดก็ยังจะมาเพราะเื่เล็กน้อยแค่นี้ โง่หรือเปล่า?"
ทุกคราที่นางยั่วประสาทผู้อื่นก็มักจะเชิดคางทำท่าเหยียดหยันเช่นนี้เสมอ แต่หรงจ้านชอบเห็นนางในมุมที่เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาเช่นนี้เป็ที่สุด เขาชอบเด็กผู้หญิงที่ดูสดใสกระตือรือร้น
เฉียวเยว่ไม่รู้ว่าวันนี้หรงจ้านเป็อะไร ดูเหมือนจะชอบเหม่อลอยอยู่เรื่อย นางถอนหายใจ สงสัยอายุมากขึ้นสมองก็เลยเชื่องช้า ช่างน่าเห็นใจจริงๆ
"ตกลงท่านจะเข้ามาพักผ่อนสักหน่อยหรือไม่?" นางถามอีกหน
หรงจ้านกดมุมปาก เตรียมจะปฏิเสธ แต่พอเอ่ยคำว่า "ไม่" ออกมาได้เพียงคำเดียว เขาก็เปลี่ยนความคิด "เข้าไปนั่งหน่อยก็ดีเหมือนกัน"
เฉียวเยว่ยังไม่ทันค่อนแคะว่าเขาเปลี่ยนใจเร็ว ก็เห็นผู้อื่นะโเข้ามาในห้องอย่างง่ายดาย ดวงตาของนางเบิกกว้าง เขาต้องมีกำลังภายในแน่ๆ นึกถึงที่เขาช่วยนางไว้ตอนไปเก็บเห็ดก่อนหน้านี้ ก็รำพึงเสียงเบา "ท่านเป็วรยุทธ์ ดูเหมือนจะร้ายกาจมากด้วย"
นางเคยเห็นฝีมือของจื้อรุ่ยมาแล้ว ดูเหมือนจะไม่แตกต่างจากศิลปะการต่อสู้ที่เกิดจากการเพียรหมั่นฝึกฝนในยุคปัจจุบันเท่าไร แต่ความเคลื่อนไหวของหรงจ้านกลับรวดเร็วกว่านั้นมาก
แน่นอนว่าอาจเป็เพราะนางได้รับการช่วยเหลือยามตื่นตระหนก ถึงรู้สึกเลื่อมใสในความสามารถของเขามากกว่า
หรงจ้านเอ่ยเสียงเรียบ "ก็ไม่เท่าไร ตั้งใจฝึกฝนมากหน่อยก็ทำได้"
เขามองไปรอบๆ นี่คือห้องนอนของเฉียวเยว่ เขาเพิ่งเคยมาเป็ครั้งแรก ย่อมเกิดความอยากรู้อยากเห็นอยู่บ้าง จึงพิจารณาอย่างถี่ถ้วน
ทั่วทุกที่ในห้องเต็มไปด้วยกลิ่นอายของดรุณีน้อย ม่านเตียงสีชมพู โต๊ะเครื่องแป้งเต็มไปด้วยขวดและตลับต่างๆ มีทั้งสีผึ้งหอม แป้งชาดประทินผิวจำนวนมาก ยังมีฉากกั้นแกะสลัก... เสื้ออ่าวสีชาดกับกระโปรงสีม่วงพาดอยู่บนไม้แขวน เป็บรรยากาศที่ดูมีชีวิตชีวา
หรงจ้านเม้มปาก นิ่งไปพักใหญ่ ไม่รู้จะเริ่มเอ่ยปากอย่างไร
เฉียวเยว่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเขามีถ้อยคำบางอย่างที่อยากจะพูด จึงชิงตัดหน้าก่อน "ห้ามว่าร้ายข้า"
นางคิดแล้วก็เสริมอีกประโยค ราวกับรู้ตัวดี "ห้ามบอกว่าห้องข้ารก"
พูดอย่างเป็กลาง ห้องนี้ไม่รกรุงรัง นับว่าเป็ระเบียบเรียบร้อยดี แต่หรงจ้านเป็คนเ้าระเบียบ ไม่ใช่เ้าระเบียบธรรมดา ยังเป็คนรักความสะอาดมาก เมื่อเห็นสภาพเช่นนี้ ย่อมรู้สึกว่ารกไปหน่อย
แม้ว่าจะชอบเอ่ยวาจาขัดหูคน แต่หรงจ้านใคร่ครวญแล้ว มาเยือนห้องผู้อื่นกลางดึก หากวิจารณ์เสียๆ หายๆ คงไม่ดีนัก ประกอบกับเป็เด็กผู้หญิง ห้องจะไม่รกได้อย่างไร
แต่เดี๋ยวนะ...
หรงจ้านเพิ่งมีปฏิกิริยาตอบสนอง นี่เขามายามวิกาล!
"วันหลังหากมีใครมาหาตอนกลางคืน อย่าเรียกคนเข้ามาในห้องอีก ไม่ใช่ทุกคนจะเป็คนดีไปเสียหมด" เขาเตือนเฉียวเยว่อย่างมีเหตุผล
เฉียวเยว่กำลังรินน้ำให้เขา พอได้ยินหรงจ้านเอ่ยเช่นนี้ ก็เงยหน้ามอง ดวงตาทอประกายวาววับ ปากเบะเล็กน้อย แล้วเปรยว่า "ข้าไม่ควรเชิญท่านเข้ามาเลย ปล่อยให้แข็งตายอยู่ข้างนอกเสียก็ดี"
หากไม่เห็นว่าข้างนอกหนาวจัด นางคงไม่เชิญคนผู้นี้เข้ามาในห้อง แต่ดูผลลัพธ์สิ ทำดีไม่ได้ดีจริงๆ
เฉียวเยว่เบะปากไม่หยุด ท่าทางไม่พอใจอย่างมาก
"แต่ข้าเป็คนดี ย่อมไม่เป็อันใด" หรงจ้านเอ่ยอย่างช้าๆ
เฉียวเยว่หัวเราะพรืดออกมา คนผู้นี้ช่างหน้าหนายิ่งนัก คนดีหรือ? ดีตรงไหน? พูดมาแต่ละคำล้วนฟังไม่ได้ เฉียวเยว่รู้สึกว่าหากให้นั่งค่อนแคะหรงจ้าน วันหนึ่งคงจะไม่ซ้ำคำ
หรงจ้านยิ้ม "เ้ามีความเห็น?"
หากไม่เพราะมุมปากของนางคว่ำลง หรงจ้านก็คงนึกว่านางเห็นด้วยกับคำพูดนี้
เฉียวเยว่มองดวงตาดำขลับของเขา ก็สอพลอไม่หยุด "ไม่มี ท่านเป็คนดี เป็คนดีที่สุด คุณสมบัติดีเยี่ยม"
นางส่งน้ำชาให้หรงจ้าน เขามองปราดหนึ่ง แล้วดื่มเข้าไปโดยไม่ปฏิเสธ กระทั่งหาผ้ามาเช็ดก็ไม่มี
เฉียวเยว่ตกตะลึง นางถามอย่างระมัดระวัง "วันนี้ท่านได้รับความกระทบกระเทือนใจอันใดมารึเปล่า?" ถึงกับไม่รังเกียจความสกปรก ถึงกับไม่ล้วงผ้าออกมาเช็ด น่าแปลกมาก
หรงจ้านเลิกคิ้ว "เ้าอยากถูกคนรังเกียจรึ?"
เฉียวเยว่รีบโบกมือ
มุมปากของหรงจ้านโค้งขึ้นเล็กน้อย เฉียวเยว่หัวเราะออกมาแล้วเอ่ยว่า "ท่านยิ้มแล้วดูดีมากจริงๆ"
อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง รูปโฉมของหรงจ้านมีเสน่ห์น่าหลงใหลเป็พิเศษ เขาสามารถล่อลวงคนได้ไม่ยาก หากทุกคนมองแต่รูปลักษณ์ภายนอก ไม่มองอุปนิสัยชอบกลของเขา ก็คงได้กลายเป็แฟนคลับเขากันหมด
แต่ไรมาเฉียวเยว่ล้วนเป็เช่นนี้ นางมักชมคนตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม ทุกคนต่างเคยรับคำชมจากนางมาทั่วหน้า ทุกครานางก็ชมต่อหน้าเช่นนี้เสมอ ใครๆ ต่างก็รู้สึกว่า โอ้ ์ ช่างมีความจริงใจมากเหลือเกิน
แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่ใช่ดอกไม้ขาวบอบบาง ได้รับการอบรมศึกษามาั้แ่วัยเยาว์ หากไม่ชื่นชมอย่างมาก ไหนเลยจะพูดตรงโดยไม่หลีกเลี่ยงเช่นนี้ เพราะหากไม่ระวังอาจถูกคนเข้าใจว่าเสแสร้ง
หรงจ้านก็คิดเช่นนี้ เขาอยากจะเก็บรอยยิ้มของตนเองสักหน่อย แต่กลับอดไม่ได้ รอยยิ้มยิ่งกว้างขึ้นเรื่อยๆ
เขาถือวิสาสะนั่งลง แล้วรินน้ำชาอีกถ้วย "น้ำชาของเ้าอ่อนไปหน่อย"
เฉียวเยว่นั่งลงข้างเขา อมยิ้มน้อยๆ "ดื่มชาเข้มกลางดึก คงไม่ต้องหลับต้องนอนกันแล้ว อีกอย่างข้าชอบชาที่อ่อนจาง หอมสดชื่น"
หรงจ้านหัวเราะอีก
"คุณหนู?"
เสียงอวิ๋นเอ๋อร์ระคนไปด้วยการหยั่งเชิง
เฉียวเยว่เพิ่งนึกขึ้นได้ พวกเขาส่งเสียงดัง อวิ๋นเอ๋อร์อยู่ห้องชั้นนอกคงจะรู้สึกได้
อวิ๋นเอ๋อร์กับเสี่ยวชุ่ยสลับกันเข้าเวร แต่ไรมาก็จะมีคนหนึ่งนอนเฝ้าอยู่ห้องชั้นนอกยามค่ำคืน
"ไม่มีอะไร เ้านอนเถอะ" เฉียวเยว่กล่าว
แต่ถึงกระนั้น อวิ๋นเอ๋อร์ไหนเลยจะวางใจ นางได้ยินชัดเจนว่ามีเสียงบุรุษอยู่ในห้อง หากเกิดอะไรขึ้น จะทำเช่นไร?
นางตัดสินใจเด็ดขาด "คุณหนู บ่าวจะเข้าไปเปลี่ยนเครื่องหอมให้นะเ้าคะ"
เสียงสวมรองเท้าดังสวบสาบ
เฉียวเยว่มองหรงจ้าน แต่เ้าตัวกลับไม่แยแส ไม่มีการตอบสนองแม้แต่น้อย
เฉียวเยว่อับจนถ้อยคำจริงๆ บุรุษภายนอกคนหนึ่งมาอยู่ในห้องนางกลางดึก นางยัง้าชื่อเสียงอยู่หรือไม่ เคราะห์ดีที่สาวใช้ทั้งสองล้วนจงรักภักดี ไม่มีทางเอาไปพูดเรื่อยเปื่อย เฉียวเยว่จึงพอจะวางใจได้บ้าง
"พี่จ้านมาหา พวกเราคุยกันนิดหน่อย ไม่มีอะไรหรอก เ้าพักผ่อนเถอะ" นางบอกไปตามตรง
เสียงโครมดังมาจากข้างนอก ดูเหมือนอวิ๋นเอ๋อร์จะหกล้ม เฉียวเยว่รีบลุกขึ้นเลิกม่านออกมาดู ก็เห็นอวิ๋นเอ๋อร์ล้มลงอยู่ที่พื้น สีหน้านางตะลึงพรึงเพริด "คะ... คุณหนู ชะ... ชะ... เช่นนี้ ไม่ดีกระมัง?"
คุณหนูของนางพูดออกมาตรงๆ เช่นนี้ นางใจะตายอยู่แล้ว
เฉียวเยว่หัวเราะคิกคัก แล้วปลอบอย่างอ่อนโยน "ไม่เป็ไรจริงๆ ผู้อื่นอย่างไรก็ได้ แต่พี่จ้านเ้ายังไม่วางใจอีกหรือ เอาล่ะ รีบพักผ่อน แค่อย่าไปบอกใครก็พอ"
อวิ๋นเอ๋อร์ว้าวุ่นใจอย่างยิ่ง ต่อให้เป็กลางวัน การกระทำเช่นนี้ก็ไม่เหมาะสม แต่นี่มันกลางคืน ซ้ำยังดึกมากอีกด้วย
นึกมาถึงตรงนี้ อวิ๋นเอ๋อร์ก็ไม่รู้จะเกลี้ยกล่อมคุณหนูของตนอย่างไรดี
เฉียวเยว่ไม่ให้โอกาสนี้แก่นาง หมุนตัวกลับเข้าไปในห้อง "ไม่มีอันใด ข้าคุยกับอวิ๋นเอ๋อร์แล้ว ท่านอยู่ที่นี่ก็ไม่เป็ไร ข้า..."
"คุณหนู ไท่ไท่มาเ้าค่ะ"
อวิ๋นเอ๋อร์นับว่าช่วยดูต้นทาง มิเช่นนั้นหากนายหญิงรู้ว่ามีบุรุษในห้อง จะทำอย่างไร?
เฉียวเยว่สามารถบอกเื่นี้กับอวิ๋นเอ๋อร์อย่างตรงไปตรงมาได้ แต่กับมารดาย่อมเป็อีกเื่ เฉียวเยว่ละล้าละลังขึ้นมาทันใด
นางสะกิดหรงจ้าน "รีบไปซ่อนเร็วเข้า"
หรงจ้านเลิกคิ้ว
"เร็วเข้าซี หากมารดาข้ารู้เข้า คงไม่อาจรับประกันได้ว่าจะให้พวกเราไปมาหาสู่กันต่อไป" นางออกแรงผลักคน ใบหูน้อยๆ คล้ายกับเงินหยวนเป่าแดงก่ำ
หรงจ้านชำเลืองมองโดยไม่ได้ตั้งใจ ดวงตาของเขาเข้มขึ้น ดื่มชาที่เหลือจนหมด แล้วเก็บถ้วยชาให้เรียบร้อย ก่อนะโขึ้นไปอยู่บนคานอย่างรวดเร็ว
เฉียวเยว่ยังไม่ทันตั้งตัว คนก็หายไปแล้ว นางอึ้งเล็กน้อย หลังจากนั้นก็รีบวิ่งกลับไปที่เตียง แต่ยามนี้ไท่ไท่สามเข้ามาในห้องแล้ว "พวกเ้านายบ่าวทำอะไรกัน” อวิ๋นเอ๋อร์ก็ดูลุกลี้ลุกลนชอบกล
"ดึกขนาดนี้ยังไม่นอนอีกหรือ?" ไท่ไท่สามเดินเข้ามา
"ข้าอยากดูหิมะ" นางตอบทันควัน แล้วก็ยิ้มตาหยี "แต่กลัวท่านแม่จะตำหนิว่าไม่ยอมนอน"
ไท่ไท่สาม "ยามนี้แล้ว พรุ่งนี้จะตื่นไหวหรือ หากไปสำนักศึกษาไม่ทันจะทำอย่างไร"
เฉียวเยว่แลบลิ้น พลางทำเสียงฉอเลาะ "ข้าทราบแล้วเ้าค่ะ"
ไท่ไท่สามจิ้มหน้าผากนาง "อย่างเ้าจะรู้อันใด ยายเด็กโง่ ไม่เคยรู้อะไรสักอย่าง"
เห็นท่าทางของบุตรสาวไม่โกรธเหมือนเมื่อตอนกลางวัน ไท่ไท่สามค่อยรู้สึกโล่งใจ "เ้าโตเป็สาวแล้ว อย่าทำตัวเป็เด็กอยู่เรื่อย รออีกสองปี ก็หาสามีดีๆ ให้เ้าได้แล้ว ไม่มีสิ่งใดจะดีไปกว่าการอยู่อย่างมีความสุข"
เฉียวเยว่รับคำเออออ แต่รู้สึกขัดเขินอยู่บ้างเล็กน้อย ถึงแม้ว่านางจะอายุสิบสาม สามารถคุยเื่หมั้นหมายจริงจังได้แล้ว แต่เฉียวเยว่ก็ยังรู้สึกเก้อเขิน เพราะบนคานยังมีคนอยู่อีกคน
ส่วนหรงจ้านซึ่งอยู่บนคานยามนี้ใบหูก็ร้อนผ่าว เขาเม้มปาก ขบคิดคำพูดของไท่ไท่สาม
อีกสองปีจะหาสามีให้นาง?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้