หลังจากลูกพี่ใหญ่ชย่าพาคนของเขาจากแก๊งเซียวฉีหลายร้อยคนออกปราบปรามแก๊งของเฝยชีและพรรคพวก ร้านใหม่ๆ ก็ผุดขึ้นเป็ดอกเห็ด ธุรกิจรุ่งเรืองตลอดทั้งปี เมื่อสิ้นปีมาถึง ชุยตงตงผู้เป็ผู้จัดการได้ทำบัญชีแล้วพบว่าทุกคนั้แ่หัวหน้าใหญ่ไปจนถึงลูกน้องตัวเล็กๆ ต่างก็ทำกำไรได้อย่างมหาศาล ชย่าลิ่วอีจึงจัดงานเลี้ยงฉลองความสำเร็จที่ไนต์คลับของตัวเองในคืนคริสต์มาส โดยเชิญผู้าุโและพี่น้องที่มีชื่อเสียงหลายสิบคนมาร่วมงานเลี้ยง รับอั่งเปา และสนุกสนานกันทั้งคืน
ชย่าลิ่วอีเป็หัวหน้าใหญ่ที่ตาแหลม ใจแข็ง และมือหนัก ต่อให้ภายนอกจะดูโเี้และกอบโกยผลประโยชน์อย่างไร้ความปรานี แต่ภายในเขากลับเป็กันเอง ใจกว้าง และเข้าถึงง่าย ทั้งเงินทองและอำนาจทั้งหลายถูกใช้อย่างชาญฉลาด ทำให้ไม่ว่าจะเป็คนจากกลุ่มไหนก็เชื่อฟังและยอมรับให้เขาเป็ผู้นำ ผู้าุโต่างพอใจในการกระทำของเขา เมื่อได้รับอั่งเปาจำนวนมากก็พากันชื่นชมชย่าลิ่วอีไม่ขาดปาก
มีเพียงลุงฉิว ผู้ที่าุโน้อยที่สุดและยังมีประสบการณ์ไม่มากนักในหมู่ผู้าุโเท่านั้นที่มากระซิบกับเขาตอนที่กำลังชนแก้วว่า “เสี่ยวลิ่ว นายสร้างศัตรูไว้เยอะ ระวังตัวไว้หน่อยก็ดี เฝยชีอยู่ในวงการมานานหลายสิบปี กว่าจะขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งนี้ได้ย่อมต้องไม่ธรรมดา”
ชย่าลิ่วอีหัวเราะเสียงลั่น เขายกแก้วขึ้นแล้วกล่าวขอบคุณเสียงดัง “ขอบคุณสำหรับคำอวยพรของลุงฉิว! ปีหน้าบริษัทจะต้องราบรื่นและประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่แน่นอน!”
เขาเงยหน้ายกเหล้าขึ้นดื่มจนหมดแก้ว แล้วพูดเสียงเบา “ลุงฉิว ขอบคุณมากครับ ผมยังเด็กและไม่รู้จักโต ขอให้ลุงช่วยดูแลผมด้วยนะครับ”
เขาเดินไปชนแก้วกับผู้าุโต่อจนครบทุกคน จากนั้นก็ถูกบรรดาลูกน้องรุมล้อมให้อยู่กลางวงราวกับดวงจันทร์ที่ถูกรายล้อมด้วยหมู่ดาว ทุกคนต่างแสดงความชื่นชมอย่างสุดซึ้ง เสี่ยวหม่าทำหน้าที่เป็พิธีกรบนเวที เขากล่าวสุนทรพจน์ยืดยาว “ผมต้องขอบคุณบริษัท ขอบคุณท่านหัวหน้าใหญ่ ขอบคุณผู้าุโทุกท่าน ขอบคุณพี่น้องทุกคนที่ให้โอกาสผมเสี่ยวหม่าได้กลับตัวกลับใจ เริ่มต้นชีวิตใหม่ ไม่สิ! ที่ทำให้ผมได้เป็ผู้จัดการแล้วนำพาสาขาย่อยให้เจริญรุ่งเรือง... ความสำเร็จทั้งหมดที่ผมมีในวันนี้ล้วนมาจากการอบรมและสนับสนุนของท่านหัวหน้าใหญ่! ท่านหัวหน้าใหญ่ของเราเป็คนใจกว้าง ไม่ชอบอะไรที่เสแสร้ง! เราเองก็ไม่ควรเสแสร้งเช่นกัน- ผมขอเสนอ! ให้พวกเราทุกคนที่อยู่ที่นี่ลุกขึ้นไปชนแก้วกับท่านหัวหน้าใหญ่คนละหนึ่งแก้ว!”
ชย่าลิ่วอีที่ถูกเบียดอยู่ข้างล่างเวทีหน้าซีด เขาทิ้งแก้วเหล้าแล้วเกือบจะปีนขึ้นไปจัดการคนบนเวทีเสียเดี๋ยวนั้น- คนละแก้วเรอะ?! ไอ้สารเลวนี่ แกจะให้ฉันตายเพราะเหล้าหรืออย่างไร?!
เสี่ยวหม่าโยนไมโครโฟนทิ้งแล้วเผ่นหนีไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังไม่ลืมะโสุดเสียง “พี่น้องทั้งหลาย! ท่านหัวหน้าใหญ่อยู่ตรงนี้แล้ว! รีบคว้าโอกาสเข้าไปเลย!”
ชย่าลิ่วอียังไม่ทันได้จับชายเสื้อของเสี่ยวหม่าก็ถูกฝูงชนและแก้วเหล้าจำนวนมหาศาลถาโถมเข้ามาทับ! “หัวหน้าใหญ่ หัวหน้าใหญ่! มานี่ ผมขอชนแก้วกับพี่สักแก้ว!” “เติมให้หัวหน้าใหญ่จนเต็มแก้ว ไม่ต้องห่วง หัวหน้าใหญ่ของเราดื่มเป็พันแก้วก็ไม่เมา!” “หัวหน้าใหญ่มีบุญวาสนา! หัวหน้าใหญ่อยู่ยืนนานหมื่นปี!” “หัวหน้าใหญ่ พี่คือไอดอลของผม!” “หัวหน้าใหญ่ เมียผมอยากได้รูปถ่ายพร้อมลายเซ็นของพี่! ถ้าไม่ได้ คืนนี้เธอไม่ให้ผมเข้าบ้าน! หัวหน้าใหญ่ ช่วยหน่อยเถอะ…”
“เฮ้ย! อย่าดึงเสื้อฉัน! อย่ามาจับมั่วซั่ว! พวกแกมาชนแก้วหรือมาลวนลามฉันกันแน่! ไปให้พ้น ไป ไป ไป ไป๊——!”
ขณะที่หัวหน้าใหญ่ชย่ากำลังต่อสู้กับชายฉกรรจ์หลายสิบคนอย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางสถานการณ์แสนวุ่นวายและน่าเวทนา ฝั่งโต๊ะของเหล่าผู้าุโกลับสงบสุข บรรดาแกนนำของแก๊งผลัดกันขึ้นมาชนแก้ว ชุยตงตงหวีผมเรียบแปล้ ใบหน้าหล่อเหลาถือแก้วไวน์แล้วพูดคุยอย่างสนุกสนานกับลุงหยวน
“สาวน้อย ปีนี้เธอทำงานหนักมากเลยนะ”
“ท่านชมเกินไปแล้วค่ะ ไม่ได้ลำบากอะไรเลย”
“เพ่าจื่อที่ทำงานอยู่ภายใต้การดูแลของเธอเป็ยังไงบ้าง”
“ฉลาดและรู้ความ มีอนาคตไกลแน่นอน”
……
งานเลี้ยงฉลองความสำเร็จดำเนินไปอย่างครึกครื้น ทั้งเสียงเพลงและเสียงหัวเราะดังขึ้นไม่ขาดสาย นักเต้นเปลื้องผ้าบนเวทีโยกย้ายส่ายสะโพกไปตามจังหวะเพลงอย่างสนุกสนาน ทุกครั้งที่เธอถอดเสื้อผ้าออกหนึ่งชิ้นก็จะมีคนขอให้หัวหน้าใหญ่ดื่มเหล้าหนึ่งแก้ว เหล่าลูกน้องที่อยู่ด้านล่างเวทีต่างก็เห็นด้วย พวกเขาถือขวดเหล้าเดินหาหัวหน้าใหญ่กันให้ควั่ก เฮ้ย! หัวหน้าใหญ่หายไปไหนแล้ว! เมื่อกี้พวกนายยังช่วยกันอุ้มเขาโยนขึ้นไปบนฟ้าอยู่เลย! โยนไปไหนแล้วล่ะพวกนาย!
ชุยตงตงยิ้มแย้มแจ่มใสกล่าวลาพี่น้องหลายคน แล้วแสร้งทำเป็ว่าจะไปเข้าห้องน้ำเพื่อแอบออกไปจากห้อง ทันทีที่เข้าห้องน้ำเธอก็พบลูกน้องคนหนึ่งที่กำลังก้มหน้าอาเจียนอยู่ตรงโถส้วมอย่างหนัก
“เฮ้ นี่มันห้องน้ำหญิง! อยากอ้วกก็ไปอ้วกที่ห้องข้างๆ โน่น!” ชุยตงตงพูดด้วยความรังเกียจก่อนจะเตะเขาหนึ่งที
พี่น้องคนนั้นหันมามองเธอด้วยสายตางุนงง ก่อนจะหันไปมองรอบๆ ห้องน้ำด้วยความประหลาดใจ เขาครุ่นคิดอยู่สักพัก “ไม่ผิดนะ นี่มันห้องน้ำชายนี่นา เจ๊ตงตง เจ๊ก็ยังอยู่... อ๊ากกก! พี่ตงตง ผมผิดไปแล้ว! ผมผิดไปแล้ว! ไว้ชีวิตผมเถอะ อ๊ากกก!”
‘ป๊าบ ป๊าบ ป๊าบ!’
ห้านาทีต่อมา ชุยตงตงวางยางปั๊มส้วมที่ใช้ฟาดลูกน้องคนนั้นจนหักลงหน้าตาเฉย จากนั้นก็ดึงคอเสื้อของไอ้หนุ่มที่ถูกซ้อมจนหน้าบวมเหมือนหัวหมูแล้วโยนเขาออกไปจากห้องน้ำ
อีกห้านาทีต่อมา เธอจัดแจงตัวเองใหม่แล้วออกมาด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ทรงผมเงางาม ชุดสูทสะอาดเรียบร้อย โดยไม่แม้แต่จะมองกลับไปยังห้องน้ำที่กลายเป็สนามรบ จากนั้นเธอก็เดินผ่านทางเดินของพนักงานตรงขึ้นไปยังห้องทำงานของผู้จัดการทั่วไปบนชั้นสอง
ชย่าลิ่วอีถอดเสื้อนอนแผ่หราอยู่บนโซฟาของเธอ เสื้อสูทและเสื้อเชิ้ตสองตัวที่ถูกฉีกขาดจนเกือบเป็เส้นวางอยู่ใต้เท้าของเขา บนใบหน้ามีผ้าขนหนูเปียกยับยู่ยี่ผืนหนึ่งวางอยู่
“ไอ้พวกสารเลว... ปิดประตูแล้วเผาพวกมันให้ตาย…” เขาได้ยินเสียงชุยตงตงเข้ามาจึงสบถอย่างอ่อนแรง “รินน้ำให้หน่อย…”
ชุยตงตงเปิดตู้เย็นแล้วรินไวน์แดงให้เขาแก้วหนึ่ง ชย่าลิ่วอีลุกขึ้นนั่งอย่างเชื่องช้า เมื่อเห็นของเหลวในแก้ว หน้าของเขาก็ซีดเผือดลงทันที “เฮ้ย ฉันจะอ้วกแล้ว! ยังจะให้กินอีกหรือ?!”
“กินอันนี้แหละ อยากกินอย่างอื่นก็ลงไปหยิบเอง”
ชย่าลิ่วอีใช้ผ้าขนหนูคลุมหน้าแล้วล้มตัวลงนอน “เธอก็แค่อยากดูฉันตายไป! ไม่มีน้ำใจ ไร้ความปรานี…”
“พอแล้ว พอแล้ว แก่แล้วจะมาทำเป็อ้อนเพื่ออะไร” ชุยตงตงพูดพลางกดโทรศัพท์ภายใน “เอาน้ำมะนาวเย็นสองแก้ว บะหมี่เกี๊ยวสองชาม”
ชย่าลิ่วอีรอจนพนักงานเสิร์ฟนำอาหารและเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ เขาจึงลุกขึ้นแล้วดื่มน้ำมะนาวจนหมดไปครึ่งแก้วอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงมีแรงพอที่จะด่ากลับ “มารดาแกสิ พูดบ้าอะไร ฉันไปทำตัวอ่อนแอตอนไหน?”
ชุยตงตงค่อยๆ คลุกเส้นบะหมี่ด้วยตะเกียบขณะสูบซิการ์ไปด้วย แล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “แม่ฉันเสียไปนานแล้ว เมื่อสิบกว่าปีก่อน ในคืนแบบนี้นี่แหละ เธอติดเชื้อซิฟิลิสแต่ไม่มีเงินรักษา”
ชย่าลิ่วอีผู้ซึ่งมีความรู้สึกไม่ดีต่อพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดเหมือนกับเธอก็ได้ปลอบใจเธออย่างจริงจังว่า “สมควรตายจริงๆ! แม่งเอ๊ย พวกสารเลวที่ให้กำเนิดแต่ไม่เคยเลี้ยงดูแบบนั้น แล้วยังขายเธอให้พวกโรคจิตั้แ่อายุแปดขวบอีก”
“ฉันแค่อยากเตือนแกว่าอย่าไปมีอะไรกับเธอ เธอเป็ซิฟิลิส”
“…”
เ้าพ่อผู้เคราะห์ร้ายที่ไม่มีวัยเด็กทั้งสองนั่งดูดเส้นบะหมี่กับน้ำมะนาวอย่างเอร็ดอร่อยอยู่บนโซฟา ในที่สุดก็อิ่มท้อง—— เมื่อกี้พวกเขาต่างก็ต้องออกไปพบปะผู้คนด้านล่างที่มาร่วมงานเลี้ยงทั้งที่ยังไม่ได้กินอะไร หิวจนแทบบ้า หลังจากกินอิ่มหนำสำราญแล้ว พวกเขาก็เริ่มคุยธุระกันไปพลาง แคะฟันด้วยไม้จิ้มฟันไปพลาง
“ลุงหยวนคุยอะไรกับเธอ?” ชย่าลิ่วอีถามพลางเอนตัวพิงโซฟาอย่างเกียจคร้าน
“อยากจะดันเพ่าจื่อขึ้นเป็ ‘ไป๋จื่อซั่น’” ชุยตงตงพูด “ฉันว่าเขายังไม่ไว้ใจให้เราทำงาน คงอยากส่งคนมาคุมเพิ่มอีก”
ชย่าลิ่วอีหัวเราะ “ไม่ไว้ใจ? ถ้าไม่ไว้ใจก็มาทำเองสิ แก่แล้วยังจะมาสั่งนู่นสั่งนี่อีก!”
“ฉันไม่คิดว่าเขามีเจตนาไม่ดีหรอก แค่เป็ห่วงว่านายจะทำบริษัทพังแล้วกระทบผลประโยชน์ของพวกผู้าุโ ที่นายไปมีเื่กับเฝยชีก็เื่ใหญ่อยู่ เฝยชีกับซาเจียจวิ้นมักไปกินข้าวกับพวกเ้าพ่อคนอื่น คนพวกนั้นน่าจะได้ยินที่นายกับเ้าพวกนั้นมีเื่กันอยู่เหมือนกัน ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าแก๊งอื่นคิดยังไง ถ้าพวกนั้นรวมหัวกันเล่นงานเราขึ้นมาจริงๆ ก็คงจะลำบาก”
ชย่าลิ่วอีออกแรงบี้บุหรี่จนกลายเป็ผุยผงอย่างช้าๆ ใบหน้ายังคงสงบนิ่ง “สำหรับไอ้เฝยชี ฉันต้องเอามันให้ตายไปข้างหนึ่งแน่ๆ จะติดก็แค่เื่ของเวลาเท่านั้น ส่วนเื่อื่นๆ ฉันรู้ว่าควรทำยังไง ไอ้พวกคนแก่ไม่กี่คนนี้สายตาสั้นเหลือเกิน ไม่กล้าเสี่ยง มิน่าถึงทำเื่ใหญ่ไม่ได้”
ชุยตงตงหัวเราะ “ถ้าจัดการได้ก็ดีไป ฉันเองก็ไม่ชอบเฝยชีเหมือนกัน เื่พวกผู้าุโฉันจะจัดการให้เอง แต่สำหรับหงกุ้นที่ผู้เฒ่าเก๋าส่งมา นายคิดว่ายังไง? ่นี้ไอ้หมอนั่นก่อเื่ไม่น้อย ฉันดูท่าทางแล้วเหมือนว่ามันจะอยากสร้างผลงาน"
“ปล่อยเขาไป” ชย่าลิ่วอีพูด “ครั้งหน้าที่เราไปจัดการไอ้เฝยชีก็ให้เขาเป็ทัพหน้า”
ชุยตงตงคาบบุหรี่แล้วยิ้มอีกครั้ง เธอเข้าใจความหมายที่เขา้าจะสื่อโดยไม่ต้องพูดอะไรเพิ่มเติม
“เฝยชีกับพวกผู้เฒ่าน่ะ ไม่ได้มีอะไรน่าห่วง” ชย่าลิ่วอีพูด “ที่ฉันกังวลคือพวกตำรวจต่างหาก”
“มีอะไรหรือ?”
“เดือนที่แล้วตอนที่เราส่งอั่งเปาไปให้ สารวัตรคนใหม่ที่เพิ่งย้ายมาไม่ยอมรับอั่งเปาน่ะ”
“ถ้าไม่รับก็บังคับให้เขารับสิ โยนะเิขวดเข้าไปในบ้านเขาซะ เราเคยทำแบบนั้นมาแล้วไม่ใช่หรือ” ชุยตงตงพูด
“เราไม่ควรทำเื่นี้ให้เป็เื่ใหญ่” ชย่าลิ่วอีพูด “เขาเป็หลานชายของรองผู้บัญชาการตำรวจ มีเส้นสาย ใจใหญ่ หัวแข็ง แม้แต่สารวัตรหัวก็ยังเกลี้ยกล่อมเขาไม่ได้”
“โอ้? ตำแหน่งอะไรล่ะ?”
“ตำแหน่งผู้ตรวจการฝึกหัด ไม่ได้สำคัญอะไรมาก แต่สารวัตรหัวจะเกษียณปีหน้า คนที่จะมาแทนก็ยังไม่ชัดเจน ฉันกังวลว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง”
สารวัตรหัวเป็เพียงชื่อเรียกอย่างสุภาพที่คนในวงการใช้เรียกกัน แท้จริงแล้วเขาคือผู้กำกับการคนหนึ่งในเขตจิ่วหลงตะวันออก เขาเป็ที่รู้จักในเื่การรับอั่งเปาอย่างกว้างขวางและดูแลพวกมาเฟียอย่างดีมาตลอดหลายปีจนทำให้ทุกคนทำมาหากินได้คล่อง เขาเป็ที่รักของคนเหล่านี้ เมื่อเขากำลังจะจากไปก็ไม่รู้ว่าจะมีเ้าพ่อกี่คนที่นอนไม่หลับและคิดถึงเขาจนแทบเป็บ้า
ชย่าลิ่วอีและชุยตงตงนั่งอยู่คนละฝั่งของโซฟาเหมือนหมาป่ากับหมาในที่กำลังวางแผนร้าย ตรงหน้าของพวกเขามีชามบะหมี่ที่กินเหลืออยู่ พวกเขานั่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มพูดคุยกันต่อเสียงเบา ในที่สุดก็ตกลงกันได้ วางแผนร้ายสำเร็จ
ไม่กี่วันต่อมา นักร้องสาวหน้ากลมที่ชุยตงตงเลี้ยงไว้ก็พลิกบทบาทกลายเป็ลูกน้องของชุยตงตงที่อพยพไปอเมริกาแล้วกลับมายังฮ่องกงเพื่อเยี่ยมญาติ ในบทบาทใหม่นี้ เธอเพิ่งมาถึงฮ่องกงและยังไม่คุ้นเคยกับสถานที่ต่างๆ ระหว่างที่อยู่หน้าบาร์เธอก็ถูกพวกอันธพาลลวนลาม โชคดีที่มีสารวัตรฝึกหัดที่เพิ่งเลิกงานผ่านมาพอดีจึงได้รับการช่วยเหลือจนเกิดเป็เื่ราวโรแมนติกที่ผู้คนกล่าวขานกัน แต่ในภายหลังเื่ราวโรแมนติกนี้จะกลายเป็โศกนาฏกรรม สารวัตรหนุ่มตกหลุมรักลูกน้องคนนี้ และเมื่อทั้งคู่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง สามีของเธอที่รีบรุดเดินทางมาจากอเมริกามาเพื่อจับชู้ก็จับพวกเขาทั้งคู่ได้คาหนังคาเขา เขานำคนมารุมทำร้ายและถ่ายภาพลับเอาไว้เพื่อข่มขู่เรียกเงิน... แต่เื่ราวหลังจากนี้ผู้เขียนไม่ประสงค์จะเล่ารายละเอียดต่อไป
ว่ากันว่าในเนื้อหาหลายพันคำที่ผ่านมา ตัวละครเอกคนหนึ่งที่หายตัวไปชั่วคราวอย่างเหอชูซานได้กลับมาปรากฏตัวอีกครั้งในเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เนื่องจากเป็วันหยุดคริสต์มาส เขาจึงไม่ต้องไปฝึกงานหรือทำงานพิเศษ เหอชูซานสะพายกระเป๋าใบเล็กไปมหาวิทยาลัยแต่เช้า นำหนังสือหลายเล่มที่ยืมมาไปคืนที่กล่องคืนหนังสือ่วันหยุดของห้องสมุด จากนั้นก็ถือชามลูกชิ้นปลาสองถ้วยไปนั่งยองๆ รออยู่หน้าโต๊ะสนุกเกอร์ที่ปิดทำการในวันหยุด
่ใกล้เที่ยง ชย่าลิ่วอีขับรถมาคนเดียว เขาหาวหวอดพลางยกประตูม้วนของห้องสนุกเกอร์ขึ้นให้เหอชูซานเข้าไปด้านใน “มาั้แ่เมื่อไร?”