อ๋าวหรานไม่ได้สนใจการประลองครั้งนี้เป็พิเศษ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่สนใจเลย ในฐานะบุรุษผู้หนึ่ง งานประลองที่มีผู้มีวรยุทธ์แข็งแกร่งดุจดั่งวีรบุรุษเช่นนี้ไม่มีผู้ใดไม่ฮึกเหิมจนเืลมพลุ่งพล่าน และไม่มีใครไม่อยากมีชื่อเสียงจากการประลอง...ได้เป็ยอดฝีมือที่ผู้คนพากันอิจฉาเชิดชู
อีกทั้งเขาเองก็เห็นความร้อนรนของจิ่งเซียงกับจิ่งจื่อ สำหรับพวกเขาสองคนนั้น นี่เป็ทางหนึ่งในการพิสูจน์ความสามารถของพวกเขา พวกเขาคิดว่ามันสำคัญมาก และพวกเขาเองก็คิดว่านี่ก็สำคัญกับอ๋าวหรานเช่นกัน เพราะว่าเป็ห่วง...เพราะว่าใส่ใจ ดังนั้นพวกเขาจึงได้พยายามเพื่ออ๋าวหราน หวังให้เขาได้แข่งต่อไป
อ๋าวหรานรู้ดีว่าเขาเป็คนที่พูดง่าย ไม่ว่ากับผู้ใดก็สามารถพูดคุยเป็เพื่อนได้สักสองสามประโยค แต่คนที่สนิทใจกันจริงๆ นั้นมีไม่มาก ในโลกนี้...ได้สมาคมกับพี่น้องตระกูลจิ่งมานานขนาดนี้ เขามีความสุขมาก และใส่ใจพวกเขาอย่างแท้จริงพร้อมที่จะเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อปกป้องพวกเขา เมื่อก่อนเขามีความเห็นใจและคิดว่าพวกเขาน่าสงสารจึงคิดจะช่วยพวกเขา แต่ตอนนี้เขาไม่มีความคิดซับซ้อนวุ่นวายว่าตนเป็เพียงคนนอกหรือคนดูอีกแล้ว ตอนนี้กลับมีเพียงความจริงใจอย่างแท้จริง
ความเป็ห่วงของเพื่อนนั้นเขาเองก็รับไว้ด้วยใจ ถึงแม้จะได้เข้าร่วมหรือไม่เขาก็ล้วนรับได้ แต่เพราะความใส่ใจของจิ่งเซียงและจิ่งจื่อที่มีต่อเขา เขาจึงใส่ใจการแข่งนี้ด้วยเช่นกัน
แต่ที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือ...จิ่งฝานให้เขาถอนตัว
จิ่งเซียงอึ้งไปแล้วพึมพำออกมาทีหนึ่งว่า “พี่...”
คำว่า ‘พี่’ เสียงนี้ทำให้สีหน้าของจิ่งฝานอ่อนลงมาก หันเหสายตามาที่ร่างของอ๋าวหรานก็เห็นเขามีท่าทางมึนงง ตะลึงงัน แต่ก็ไม่ได้มีความไม่พอใจใดๆ เพราะริมฝีปากซีดขาว แล้วทั้งร่างยังถูกเขาโอบไว้ในอ้อมแขนอยู่อย่างนั้นไม่ได้ขยับไปไหน หดตัวอยู่เช่นนี้ช่างดูเรียบร้อยน่ารักเสียจริงๆ
อกของจิ่งฝานสั่นไหว ก่อนที่อ๋าวหรานจะหันมามอง เขาก็รีบเบนสายตาไปยังจิ่งเซียงอย่างแเี ในน้ำเสียงมีความหนักแน่นไม่มีท่าทีเปลี่ยนใจแม้แต่น้อย “ไม่ต้องแข่งแล้ว”
อ๋าวหรานคิดว่าก็ไม่ได้ผิดจากที่เขาคิดนัก คาดว่าจิ่งฝานคงกลัวว่าเขาจะเป็อะไรขึ้นมาอีกจึงอดยิ้มอย่างปลงๆ ไม่ได้ ในใจก็คิดว่าเ้าเด็กนี่เหมือนจะยิ่งเผด็จการขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
จิ่งเหวินซานได้ยินแล้วในใจก็รู้สึกพอใจเป็อย่างมาก ตระกูลหวาหวามีรูปลักษณ์ที่ค่อนข้างพิเศษ หากออกมาพร้อมกันทั้งหมดแล้วยังสู้กับจิ่งฝานทุกรอบอีก ชัดเจนว่าต้องดึงดูดความสนใจและความสงสัยของทุกคนแน่ ดังนั้นรอบนี้ตระกูลหวาหวาจึงออกมาลงสนามแค่สามคนคือ...หวาหวาชี หวาหวาซาน รวมถึงหวาหวาอี1 เพราะสามคนนี้ในบรรดาพี่น้องทั้งหมดล้วนมีรูปลักษณ์ต่างกันมากที่สุดแล้ว โดยเฉพาะหวาหวาซานนั้นสูงเกือบจะเท่าความสูงของคนปกติ ถือว่าค่อนข้างพิเศษ ในสามคนนี้คนที่ร้ายกาจที่สุดก็คือหวาหวาอี ถือเป็สุดยอดไม้ตายที่จิ่งเหวินซานเก็บไว้ใช้ตอนสุดท้ายเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน
ส่วนหวาหวาชีนั้นใช้อาวุธลับและเป็คนที่ทำให้คู่ต่อสู้โดนกู่ได้ง่ายที่สุด ต่อให้จะสู้แพ้ เป้าหมายก็มีสิทธิ์สำเร็จถึงแปดส่วน น่าเสียดายที่เกิดความผิดพลาดขึ้นจึงทำให้เขากับจิ่งฝานคลาดกัน แต่ว่าภายหลังยังมีโอกาสอีก หากว่าอ๋าวหรานเข้าร่วมแข่งไม่ได้ เช่นนั้นหวาหวาชีก็จะได้เข้ารอบอย่างราบรื่น รอบต่อไปไม่ว่าอย่างไรก็ต้องทำให้เขากับจิ่งฝานเจอกันให้ได้ เช่นนี้ก็จะมีความหวังเพิ่มมากขึ้น
นี่ก็ถือเป็เื่ที่ทำอะไรไม่ได้จริงๆ ถึงแม้ตระกูลหวาหวาจะเก่งเื่วิชากู่ แต่วรยุทธ์ก็นับว่าแย่ ต่อให้เป็หวาหวาอีที่แข็งแกร่งที่สุด จิ่งเหวินซานย่อมรู้ดีว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจิ่งฝานอย่างแน่นอน หากฝากความหวังเอาไว้ที่ตัวหวาหวาอีคนเดียว อัตราการล้มเหลวก็จะมีสูงเกินไป อีกทั้งในเวลาปกติก็ไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้จิ่งฝานจึงมีเพียงแค่ตอนประลองยุทธ์เท่านั้น แน่นอนว่ามีคนเพิ่มเข้ามาคนหนึ่ง โอกาสสำเร็จก็ย่อมเพิ่มขึ้นระดับหนึ่ง
จิ่งเหวินซานคิดอะไรมากมายอยู่ในหัว สีหน้าจึงปรากฏความถือดีที่ยากจะแอบซ่อนไว้ออกมา สายตาของอ๋าวหรานก็มองไปที่ร่างเขาพอดี ในใจอดเคร่งขรึมลงไม่ได้ เกือบลืมไปแล้วว่าเ้าเฒ่านี่ยังมีแผนชั่วเอาไว้ทำร้ายจิ่งฝานอยู่อีก ถึงแม้ตอนนี้เขาจะยังดูไม่ออกว่าเ้าหวาหวาชีนี่มีความสามารถทะลวงฟ้าทะลวงดินอะไร แต่ป้องกันพวกเขาไว้ก่อนคงไม่ผิดอะไร อีกอย่างเวลาแค่ไม่นานคงสืบหาอะไรมากไม่ได้ แต่ถ้าสามารถล้มไปได้สักคนหนึ่งก็ถือว่าช่วยจิ่งฝานจัดการปัญหาได้เปลาะหนึ่งแล้ว
อ๋าวหรานพยายามจะขยับตัว แต่แล้วก็พบว่าตัวเองถูกกอดไว้แน่นจนยากขยับตัวจึงอดกระอักกระอ่วนขึ้นมาไม่ได้ กำลังคิดจะพูดอะไร...กลับเห็นว่าสายตาของจิ่งฝานสบเข้ากับสายตาของเขาพอดี อ๋าวหรานแย้มยิ้มแล้วพูดว่า “ข้า...”
จิ่งฝานไม่รอให้เขาพูดจบก็พูดเสียงเย็นว่า “ข้าบอกแล้วว่าไม่แข่งต้องแล้ว”
พูดแต่ละคำออกมาอย่างชัดเจน
อ๋าวหราน “...”
คำที่อยากพูดยังไม่ทันได้พูดออกมาก็ถูกตัดบทไป แล้วยังปฏิเสธอีก ทำให้อ๋าวหรานเคืองไม่น้อย
ส่วนจิ่งเหวินซานนั้นมีสีหน้าแย้มยิ้มแล้ว กลับไม่คิดว่าจิ่งฝานจะพูดต่ออีกว่า “ก็แค่การประลองที่ไม่มีความหมายอะไร จะใส่ใจไปทำไม?”
จะใส่ใจไปทำไม?
จิ่งเหวินซานอกสะท้อนขึ้นลง พ่นลมออกทางจมูกหนักขึ้นหลายส่วน รู้สึกโกรธจนแทบะเิ เขาอุตส่าห์ลำบากลำบนให้ความสำคัญกับการประลองครั้งนี้ถึงเพียงนี้ แต่คำพูดที่ว่า ‘ไม่มีความหมาย’ ‘จะใส่ใจไปทำไม’ นี้กลับปฏิเสธมันอย่างสิ้นเชิง ปฏิเสธก็ช่างเถิด แต่ความหมายที่ลึกลงไปนั้นชัดเจนว่าไม่เห็นอยู่ในสายตาเลย ความเหนื่อยยากลำบากของเขา...ในสายตาผู้อื่นก็เป็แค่เด็กน้อยไม่รู้ความที่เอาแต่ะโขึ้นลงอย่างไร้สาระ!
ดังนั้นเขาจึงมีท่าทางเชื่องช้า ไม่สนใจต่อการประลองครั้งนี้หรือ?
จิ่งเหวินซานมีความทะเยอทะยานมาก ถึงแม้จะมีแผนชั่วร้ายอยู่บ้าง แต่ก็แค่ฉลาดมากกว่าคนทั่วไปเท่านั้น เมื่อเทียบกับคนที่รู้จักวางแผนจริงๆ แล้ว เขานับได้ว่าเป็คนที่ไร้สมองเสียด้วยซ้ำ อีกอย่างถึงแม้เขาจะดูอารมณ์ร้าย แต่จริงๆ แล้วก็เป็พวกที่ชอบรังแกคนอ่อนแอ แต่หวาดกลัวผู้แข็งแกร่ง แล้วยังเป็โรคขี้ระแวงขั้นรุนแรงอีกด้วย เมื่อเทียบกับเื่พวกนี้แล้ว จุดอ่อนที่ใหญ่กว่าของเขาก็คือเขาเป็คนที่คิดว่าตัวเองเก่ง แต่ลึกๆ แล้วกลับมีความมั่นใจไม่เพียงพอ ดังนั้นจึงคิดอยากดำรงตำแหน่งผู้นำตระกูลมาตลอด อยากจะให้ทุกคนมองเห็นเขาอยู่ในสายตา
เขาคิดหาวิธีการมากมายเพื่อจะดึงจิ่งฝานลงจากตำแหน่งนายน้อยแล้วให้จิ่งเคอเข้าไปแทนที่ สุดท้ายคนที่จะได้กุมอำนาจไว้ก็คือตัวเขาเอง แต่เปลืองแรงไปตั้งมาก เขากลับไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย จิ่งเหวินซานสงสัยว่าที่จิ่งฝานเห็นด้วยกับการประลองก็ดี ยอมให้เปลี่ยนตำแหน่งนายน้อยง่ายๆ ก็ดี ทุกอย่างล้วนทำไปเพื่อจะปั่นหัวเขาใช่หรือไม่ เ้าเด็กนี่หรือว่าจะวางแผนร้ายอะไรอยู่ แล้วรอหัวเราะเยาะเขาที่ยอมเสียแรงเปลืองสมองคิดแผนร้ายไปเปล่าๆ ปลี้ๆ?
ความคิดเพ้อเจ้อพวกนี้หมุนวนไปมาอยู่ในสมองของจิ่งเหวินซาน คิดจนทั้งร่างมีเหงื่อซึมออกมา คนเราก็เป็เช่นนี้ ใช้สายตาอันคับแคบของตนมองโลกกว้าง ใจเป็เช่นไร โลกก็ย่อมเป็เช่นนั้น
ชัดเจนว่าจิ่งฝานไม่ได้สนใจอะไรไร้สาระมากมายในหัวของจิ่งเหวินซาน เขามือหนึ่งโอบเอว มือหนึ่งโอบหลัง แนบครึ่งตัวบนของอ๋าวหรานไว้ในอ้อมแขนของตัวเองในท่าทางกึ่งๆ อุ้ม แล้วยกเขาขึ้นมา
เพราะไม่ทันระวังจึงทำให้อ๋าวหรานตกตะลึงจนตาโต ยังไม่ทันได้พูดอะไรก็ถูกลากลงเวทีไปด้วยท่าทางกึ่งโดนอุ้มกึ่งโดนลาก ทำเอาอ๋าวหรานมึนงง แค่อยากจะบอกพี่ชายผู้นี้ว่าเขาเดินเองได้
จิ่งเซียงกับจิ่งจื่อแน่นอนว่าต้องฟังจิ่งฝาน ถึงแม้จะเสียดายที่อ๋าวหรานไม่ได้แข่งต่อแล้ว แต่เทียบกับการแข่งขัน ร่างกายก็ยังสำคัญกว่าอยู่ดี ดังนั้นจึงไม่มีความเห็นอะไรอีก ส่วนเหยียนเฟิงเกอยิ่งไม่สนใจเข้าไปใหญ่ เพราะไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าศิษย์น้องของเขาคนนี้ ก็หมอยังบอกแล้วเลยว่าเขาสู้ต่อไม่ได้แล้ว
อ๋าวหรานมีความคิดเห็นอยู่คนเดียว แต่กลับไม่มีคนสนับสนุน
เมื่อลงมาด้านล่างเวทีก็ถือว่ายอมแพ้แล้ว ขึ้นไปอีกก็ไม่มีความหมายอะไร อ๋าวหรานโกรธจนอยากกลอกตา ถลึงตาใส่จิ่งฝานแล้วพูดอย่างเกรี้ยวกราดว่า “อย่างน้อยเ้าก็ให้ข้าจัดการชีหวาเสียก่อนสิ เหลือเขาไว้ถือเป็ตัวอันตราย เ้าเข้าใจหรือไม่?”
จิ่งฝานไม่สนใจเขาสักนิด กลับเดินตรงต่อไปข้างหน้า อ๋าวหรานสูดหายใจลึกๆ “นี่เ้ากำลังจะไปที่ใดกัน?”
จิ่งฝาน “กลับ”
อ๋าวหราน “...”
สูดหายใจลึกๆ อีกครั้ง อ๋าวหรานยืนนิ่งไม่ยอมเดิน “เ้าจะกลับอะไรของเ้า?”
จิ่งฝานดึงอยู่สองทีก็ดึงไม่ไป “พวกเราแข่งเสร็จหมดแล้ว ยังจะรั้งอยู่ทำอะไรอีก?”
อ๋าวหรานโกรธจนเตะเขาไปทีหนึ่ง “ปล่อยมือนะ”
จิ่งฝานถูกเตะไปก็ไม่โกรธ อ๋าวหรานไม่ได้เตะหนักอะไร เขาจึงไม่รู้สึกเจ็บ แต่ก็เหมือนจะถูกทำให้ใไปเล็กน้อย รีบปล่อยอ๋าวหรานแล้วรีบร้อนถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เพิ่มระยะห่างระหว่างตัวเองกับอ๋าวหราน เม้มริมฝีปาก ดวงตาล้ำลึกมองไม่เห็นก้น
อ๋าวหรานหาได้สังเกตเห็นสีหน้าพวกนี้ไม่ ตอนนี้สายตาของเขาอยู่ที่พวกทางเต๋อรั่วที่อยู่ตรงข้ามเวทีประลอง แต่ก็แค่เหล่มองไปทีหนึ่งแล้วถอนสายตากลับมา อีกฝ่ายชัดเจนว่าก็มองพวกเขาอยู่เช่นกันและมีท่าทีจะเดินเข้ามา อ๋าวหรานมองพวกจิ่งเซียงแล้วกดเสียงต่ำลง “ความสามารถที่แท้จริงของทางเต๋อรั่วเป็เช่นไร เราต้องรอสังเกตดูสักหน่อย ถ้ากลับไปตอนนี้ก็ไม่ได้เห็นแล้ว อีกอย่างชีหวาก็ยังมีพี่น้องคนอื่นๆ ที่ร่วมประลองด้วย แต่ว่าการประลองก่อนหน้านี้ล้วนไม่ได้ตั้งใจดู ไม่รู้ว่ารอบสุดท้ายจะมีหรือไม่ พวกเราสามารถดูได้ว่ามีคนที่หน้าคล้ายกันบ้างหรือไม่จะได้ระวังตัวไว้หน่อย”
พูดจบก็อดมองไปทางจิ่งฝานไม่ได้ ในน้ำเสียงมีความจริงจังขึ้นหลายส่วน “การประลองรอบหลังหากต้องเผชิญหน้ากับชีหวาอะไรพวกนี้ล้วนต้องระวังไว้ ให้ดีที่สุดก็ต้องจัดการให้เด็ดขาดในกระบวนท่าเดียวไปเลย อย่าปล่อยโอกาสให้พวกเขาได้ดึงดันทำอะไรทั้งสิ้น”
ตอนนี้เขาช่วยจิ่งฝานไม่ได้แล้วจึงทำได้เพียงให้เขาระวังตัวเอง
เขาเพิ่งพูดประโยคนี้จบ พวกทางเต๋อรั่วก็เข้ามาแล้ว อ๋าวหรานแอบด่าไปประโยคหนึ่งว่าปลาสเตอร์หนังสุนัข2 ยังวนเวียนอยู่ได้ไม่ไปสักที
หวาหวาอี1 (娃娃一)หมายถึงต้าหวา
ปลาสเตอร์หนังสุนัข2 (狗皮膏药)เป็คำเปรียบเทียบหมายถึงพวกเสแสร้งหลอกลวง
