ซวี่เฉินฟางเลิกคิ้วเอ่ย “ชิ ข้าเห็นเ้าเดินเหินไม่สะดวก แต่กลับรู้เื่ราวไม่น้อยจริงๆ เ้าไม่เหมือนคนท้องถิ่นหมู่บ้านซุ่ย”
ครั้งก่อนเมิ่งอู่เล่าเื่ที่นางเข้าเมืองให้อินเหิงฟัง อินเหิงย่อมรู้ว่าในเมืองมีตระกูลใหญ่มั่งคั่งและทรงอิทธิพลอย่างสกุลซวี่ เมิ่งอู่พบบุรุษชุดแดงที่นั่น ไม่ต้องเดามากก็รู้ว่าเขาเป็คนตระกูลซวี่
อินเหิงกล่าว “ข้าเป็คู่หมั้นของอาอู่”
เมื่อซวี่เฉินฟางได้ยินเช่นนั้นก็มองเมิ่งอู่ ก่อนเอ่ยว่า “เช่นนั้นข้าก็เป็ญาติผู้พี่ห่างๆ ของนาง”
หวังสิงคนนี้ เฉินฟางนี่ ช่าง… เหมือนกันไม่มีผิด
เมิ่งอู่รู้สึกว่าบรรยากาศในลานเรือนดูเหมือนจะไม่ค่อยถูกต้อง ทั้งที่ใกล้จะเข้าสู่ฤดูร้อน เหตุไฉนถึงรู้สึกหนาวเหน็บไปหน่อย…
ยิ่งกว่านั้น เมิ่งอู่ที่อยู่ด้านข้างยังพบว่า นางแทรกบทสนทนาของทั้งสองคนนี้ไม่ได้แม้แต่ประโยคเดียว…
คราแรกว่าจะกอดแตงไว้มือหนึ่ง เก็บเมล็ดงาไว้อีกมือหนึ่ง ไยยามนี้นางถึงรู้สึกว่าแตงก็กอดยาก เมล็ดงาก็เก็บยาก…
จากนั้นสายตาของบุรุษทั้งคู่ก็จับจ้องเมิ่งอู่พร้อมกัน
ซวี่เฉินฟางเอ่ยก่อน “ญาติผู้น้องอาอู่ ข้าเพิ่งมาที่นี่ ยังไม่ค่อยรู้จักเส้นทางเท่าใดนัก ไม่ทราบว่าเ้าจะพาข้าเดินชมรอบๆ ได้หรือไม่?”
อินเหิงไม่เอ่ยวาจา เพียงเอียงศีรษะเล็กน้อย แต่เมิ่งอู่กลับรู้สึกว่าแสงสายัณห์ที่สาดส่องต้องร่างของเขา ชวนให้อ้างว้างและเดียวดายอย่างบอกไม่ถูก
หัวใจเมิ่งอู่สั่นสะท้าน นางทนไม่ได้จึงปฏิเสธซวี่เฉินฟาง เอ่ยว่า “ไปเดินดูเอาเองเถิด! หลงทางก็ไม่ต้องกลับมาแล้ว!”
นางเซี่ยออกมาจากครัวพอดิบพอดี เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็กล่าวว่า “อาอู่ เ้าพูดกับญาติผู้พี่ของเ้าเช่นนี้ได้อย่างไร? เข้ามาช่วยแม่ก่อไฟซิ!”
เมิ่งอู่มองอินเหิงพลางเอ่ยเสียงอ่อนโยน “อาเหิง ประเดี๋ยวข้าค่อยมาคุยกับเ้าภายหลัง”
อินเหิงพยักหน้า “ตกลง”
เมิ่งอู่จึงหันมองซวี่เฉินฟางอีกครา นางไม่วางใจหากปล่อยเขาไว้ในลานเรือน หากเขารังแกอาเหิงของนางเล่าจะทำอย่างไร ต้องให้เขาอยู่ใต้เปลือกตาของนาง จึงกล่าวว่า “เ้า เข้ามาช่วยทำอาหารในครัวด้วยกัน”
ซวี่เฉินฟางเห็นด้วยเร็วรี่ ยิ้มเอ่ย “ด้วยความยินดียิ่ง”
ดังนั้นอินเหิงจึงให้อาหารไก่ที่ลานเรือน ส่วนเมิ่งอู่กับซวี่เฉินฟางเข้าไปทำอาหารในครัว
แม่ไก่ป่าเดินวนเวียนอยู่ข้างเท้าอินเหิงพลางร้องกุ๊กๆๆ ดังลั่น ดวงตาสีทองอ่อนของเขาจมอยู่ในแสงสายัณห์ที่สาดเฉียงนิดหน่อย ยิ่งงามจับใจขึ้นเรื่อยๆ แต่สีหน้าของเขาสงบเรียบเฉย มิอาจรู้ว่ากำลังคิดอันใด
เมิ่งอู่นั่งอยู่หน้าเตา แสงไฟจากเตาวูบวาบสะท้อนให้เห็นใบหน้าผอมบางของนาง
แม้ผอมไปบ้าง แต่ผิวพรรณดีมาก ั์ตาคู่นั้นราวกับเปลวไฟกองเล็กๆ ที่กำลังลุกโชติ่
นางเซี่ยเดินไปเดินมาวุ่นวายระหว่างเตากับเขียงในครัว
ซวี่เฉินฟางเดินเข้ามานั่งข้างเมิ่งอู่หน้าเตา เมิ่งอู่อยากจะบีบเขาออกไป แต่นางเซี่ยย่อมรู้เท่าทันความคิดของนาง เห็นความเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ของนาง จึงจ้องนางด้วยสายตาจริงจังจนนางต้องหยุดชะงัก
สภาพแวดล้อมที่นี่เทียบไม่ได้กับเรือนสกุลซวี่ของเขาในอดีต ไม่ต้องพูดถึงการเข้าครัวเลย
แต่เห็นได้ชัดว่าซวี่เฉินฟางปรับตัวได้ดีมาก ไม่แสดงท่าทางรังเกียจแม้แต่น้อย เขาเก็บชายเสื้อของตนเองให้เรียบร้อยพลางพูดคุยกับนางเซี่ย
ใบหน้าของนางเซี่ยแทบจะมีรอยยิ้มประดับอยู่ตลอดเวลา
เมิ่งอู่ใส่ฟืนลงในเตา ในใจใคร่ครวญว่าจากปฏิกิริยาของลุงหลิวและนางเซี่ยที่มีต่อเขา ดูเหมือนเขาจะเป็ที่ชื่นชอบของผู้ใหญ่…
เมิ่งอู่รู้สึกไม่เต็มใจยอมแพ้ บุรุษผู้นี้ช่างเข้ากับคนทุกเพศทุกวัย ทั้งบุรุษสตรีกวาดเรียบ!
บางครั้งซวี่เฉินฟางก็หันมามองนาง เมิ่งอู่หยิบฟืนขึ้นมาและคิดว่าไม้นั้นเป็เขา นางหักไม้ออกเป็สองท่อนอย่างแรงต่อหน้าเขาคล้าย้าเตือนเขา
ซวี่เฉินฟางรับฟืนจากมือนางก่อนยิ้มเอ่ย “ญาติผู้น้องอาอู่เกลียดฟืนพวกนี้มากหรือ ให้ข้าทำเถิด ระวังมือเจ็บ”
หากเล่าเื่นี้ออกไป คงไม่มีผู้ใดเชื่อว่าคุณชายร่ำรวยและโดดเด่นผู้นี้จะนั่งก่อไฟอยู่ในครัวของชาวบ้านอย่างสงบ
ยิ่งกว่านั้น เขายังทำอย่างราบรื่นและเป็ธรรมชาติ มือเรียวงามที่คุ้นเคยกับการลูบพัดคลี่ไร้ตำหนิปานหยกงาม เพียงงอนิ้วและออกแรงเล็กน้อยก็หักฟืนออกอย่างง่ายดายก่อนใส่ใต้เตาอย่างคล่องแคล่ว คาดไม่ถึงว่าภาพเช่นนี้จะดึงดูดสายตายิ่งนัก
นางเซี่ยกล่าว “อาอู่ อย่าให้เสื้อผ้าของญาติผู้พี่ของเ้าเลอะเทอะ”
เมิ่งอู่เหลือบมองชายเสื้อของเขาผาดหนึ่ง “เป็เขาที่ทำเองเ้าค่ะ”
ซวี่เฉินฟางที่นั่งอยู่ข้างนาง สูงกว่านางเล็กน้อย ดูคล้ายว่าเสื้อผ้าสีแดงของเขาร้อนแรงกว่าเปลวเพลิงในเตาเสียอีก ส่วนเมิ่งอู่อยู่ในชุดผ้าฝ้ายเรียบๆ ธรรมดา สีสันแตกต่างกันอย่างชัดเจน
หากกล่าวว่าทั้งสองคนเป็ลูกพี่ลูกน้องห่างๆ ดูแล้วพวกเขาไม่เหมือนกันเลย นั่นน่ะสิใช่ลูกพี่ลูกน้องห่างๆ กันหรือ มองอย่างไรก็นึกภาพตามไม่ออกเลย แปลกจริงๆ
ซวี่เฉินฟางบิดท่อนฟืนในมือ ส่งเสียงอบอุ่นถามเมิ่งอู่ยิ้มๆ “ไม่คิดเลยว่าญาติผู้น้องอาอู่ที่อายุยังน้อยขนาดนี้ จะมีคู่หมั้นแล้วจริงๆ? เป็คู่หมั้นที่จัดการไว้ั้แ่เด็กหรือ?”
เมิ่งอู่ที่อยู่ใต้เปลือกตาของนางเซี่ย หัวเราะคิกคักอย่างนอบน้อมแบบพี่ชายน้องสาว ก่อนกัดฟันตอบ "ไม่ใช่เื่ของเ้า"
ฟืนลุกไหม้รุนแรงดังเปรี๊ยะๆ นางเซี่ยไม่ได้ยินที่เมิ่งอู่กล่าว นางเอ่ยว่า “เ้าหมายถึงหวังสิงอย่างนั้นหรือ? ไม่ใช่คู่หมั้นที่จัดการให้ั้แ่เด็กหรอก เป็คู่หมั้นที่เพิ่งตกลงกันเมื่อไม่นานมานี้เอง”
นางเซี่ยไม่ใช่คนช่างพูด ดังนั้นนางจึงไม่ได้พูดถึงเื่ของอินเหิงมากนัก เพียงแต่เล่าผ่านๆ ไม่กี่คำ
ซวี่เฉินฟางกล่าว “อ้อ เช่นนี้เอง ญาติผู้น้องอาอู่ยังเด็กนัก อนาคตยังมีทางเลือกอีกมากมาย ไฉนถึงรีบร้อนหมั้นหมายขนาดนี้เล่า?”
เมิ่งอู่ย่อมไม่บอกแน่ว่าเป็เพราะอาเหิงหน้าตาดีน่ะสิ!
นางเซี่ยถอนหายใจอย่างจนใจ “พูดไปแล้วก็ยาว วันหลังค่อยว่ากันใหม่”
ข้างห้องครัวมีสถานที่กินอาหารโดยเฉพาะ เป็โต๊ะหนึ่งตัวกับเก้าอี้สี่ตัววางเรียงรายอย่างเป็ระเบียบ
เมื่อทำอาหารเย็นเสร็จ ท้องฟ้าก็มืดสนิท
เมิ่งอู่ไปเรียกอินเหิงมากินมื้อเย็น กลับเห็นเขานั่งอยู่ในลานเรือนท่ามกลางความมืด ในใจเมิ่งอู่อ่อนโยน นางเดินเข้าไปเข็นเก้าอี้เข็นของเขาเข้ามาในเรือน กล่าวว่า “อาเหิง ไปกินอาหารเย็นกันเถิด ท้องฟ้ามืดแล้ว ไยเ้าถึงไม่เข้ามาข้างในเล่า”
อินเหิงกล่าว “ดูดาว”
เมิ่งอู่เงยหน้ามองนภายามราตรี แทบไม่เห็นดาวบนท้องฟ้าเลย
วันนี้ในเรือนมีคนกินข้าวสี่คน พอดีกับเก้าอี้สี่ตัว คนหนึ่งนั่งด้านหนึ่ง
นางเซี่ยทำกับข้าวเพิ่มมากกว่าปกติหนึ่งอย่าง รวมกับไก่ขอทานที่เมิ่งอู่ซื้อกลับมา ก็ถือว่าเป็อาหารที่ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์สำหรับคนในหมู่บ้านแล้ว แต่สำหรับซวี่เฉินฟางที่คุ้นเคยกับการกินอาหารรสเลิศคงมองว่าไม่เข้าขั้น
ดังนั้นเมิ่งอู่จึงเห็นเขากินพลางชมพลาง ทำให้นางเซี่ยยิ้มแก้มปริแทบจะถึงใบหู นี่มันเกินไปหน่อยแล้ว
หยุดเสแสร้งแบบนี้ได้หรือไม่?
ยิ่งกว่านั้น ซวี่เฉินฟางยังกินข้าวไปตั้งสองชามใหญ่!
เมื่อเมิ่งอู่ตั้งข้อสงสัย เขาก็หลุบตาลงแล้วยิ้มให้นาง ตะเกียบไม้ไผ่ในมือคล่องแคล่วว่องไวอักโข มือคู่นั้นของเขานวลเนียนอบอุ่นราวกับต้นหอม
ซวี่เฉินฟางกล่าว “หากญาติผู้น้องอาอู่ยังมองข้าเช่นนี้ คู่หมั้นของเ้าต้องกินน้ำส้มสายชูแล้ว”
อินเหิงเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนเอ่ย “ญาติผู้พี่ห่างๆ ที่เดินทางมาไกลน่าจะคุ้นเคยกับอาหารรสเลิศจากูเาและทะเลในเมืองดี”
เมิ่งอู่พยักหน้าเห็นด้วย
อารมณ์ของนางเซี่ยสงบลงนิดหน่อย ซวี่เฉินฟางหันไปกล่าวกับนางอย่างจริงใจ “ฝีมือการทำอาหารของท่านป้าเลิศรสยิ่งนัก แม้เป็อาหารที่ปรุงเองในครอบครัวก็ยังทำให้คนเจริญอาหาร ข้าไม่เคยกินอาหารปรุงเองในเรือนที่อร่อยเช่นนี้มาก่อน”
นางเซี่ยหัวเราะเต็มที่อย่างเบิกบานใจ “จริงหรือ? เช่นนั้นเ้าก็กินเยอะๆ หน่อย”
เมิ่งอู่ : หน้าไม่อายจริงๆ!