ได้นั่งโต๊ะเดียวกับมู่หรงอวี้ ั้แ่เริ่มงานมู่หรงฉือก็นั่งไม่เป็สุข ทั้งตัวรู้สึกไม่เป็ตัวของตนเอง
หลิวอันทำงานอย่างไรกัน ถึงได้จัดให้นางกับมู่หรงอวี้นั่งด้วยกัน
นางรู้สึกว่าใบหน้าหล่อเหลาที่เหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้มนั้นน่าชกสักหมัดยิ่ง นางอยากจะบี้ใบหน้านั้นให้แบนเป็แผ่นเนื้อเสียจริง
หรือว่านี่คือความคิดของมู่หรงอวี้?
จะต้องใช่แน่นอน!
นางนั่งชมนางรำร่ายรำชดช้อยไปอย่างเบื่อหน่าย แม้จะมีอาหารอันโอชะอยู่ตรงหน้าก็ยังสูญเสียความเจริญอาหารไปได้
คนหนึ่งนั่งตัวตรง ท่าทางมีความสุข เรือนร่างโดดเด่นท่ามกลางผู้คน เผยความองอาจดุดันของนักรบ
อีกคนหนึ่งนั่งงอตัว มือเท้าคาง ศอกเท้าลงไปที่โต๊ะ ไม่เพียงแต่จะดูผอมบางอ่อนแอ ทั้งยังดูไม่มีมารยาท ปราศจากภาพลักษณ์ขององค์รัชทายาทอย่างสิ้นเชิง
เมื่อเทียบกันเช่นนี้ คนหนึ่งดีคนหนึ่งไม่ดี เป็ใครที่จะสามารถรับหน้าที่อันแสนหนักอึ้งของแคว้นได้ แค่มองก็รู้
หากยกแคว้นให้องค์รัชทายาทที่ไร้ประโยชน์เช่นนี้ดูแล ช้าเร็วแคว้นเยี่ยนคงได้วุ่นวายอย่างหนัก
นี่คือเสียงในใจของคนมากมาย
บรรดาคุณหนูจากตระกูลมีชื่อเสียงเ่าั้ยิ่งย่นจมูกใส่องค์รัชทายาทอย่างรังเกียจ แล้วส่งสายตาหลงใหลร้อนแรงระคนนับถือไปให้อวี้หวางอย่างเปิดเผยตลอดเวลา
เหล่าคุณหนูจากตระกูลใหญ่ต่างพากันคาดเดาว่าเหตุใดอวี้หวางกลับเมืองหลวงมาได้ห้าปีแล้วยังไม่แต่งชายาเสียที?
เหตุใดฮ่องเต้ไม่พระราชทานสมรสให้เขา?
ความจริงแล้ว เมื่อห้าปีก่อน ตอนที่อวี้หวางเพิ่งจะกลับเมืองหลวงมาได้ไม่นาน ฮ่องเต้มู่หรงเฉิงก็จะจัดงานแต่งงานให้เขา แต่ว่าเขาปฏิเสธไป
ต่อมามู่หรงเฉิงก็หลงใหลในสาวงามและยาอายุวัฒนะจนไม่อาจถอนตัว ไม่สนใจราชกิจจนหลงลืมเื่นี้ไป
เห็นสายตานับถือมากมายขนาดนั้น มู่หรงฉือก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ พวกท่าทีแปลกๆ พวกนั้น ความคลุมเครือเ่าั้ทื่มู่หรงอวี้ปฏิบัติต่อนางที่เป็ ‘องค์รัชทายาท’ นั่นเป็เพราะว่าไม่มีความอ่อนโยนจากสตรีในจวนมิใช่หรือ ถึงได้เป็เช่นนี้? อีกทั้งเขายังคิดถึงสตรีที่ผ่านค่ำคืนนั้นมากับเขาอยู่ตลอดเวลา นี่ก็คือหลักฐานที่ชัดเจนแล้วไม่ใช่หรือ
ขอแค่เขาแต่งชายาอวี้หวาง ข้างกายมีสตรีผู้อ่อนโยนดุจสายน้ำ เมื่อได้รับความพึงพอใจด้านนั้นแล้ว เขาจะได้ไม่ต้องมาเอารัดเอาเปรียบนางที่เป็องค์รัชทายาทเช่นนี้อีก
องค์หญิงจาวฮวาชอบมู่หรงอวี้ เช่นนั้นก็นับว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวไม่ใช่หรือ?
คิดถึงตรงนี้ มุมปากของมู่หรงฉือพลันยกยิ้มน้อยๆ
“เตี้ยนเซี่ยกำลังคิดถึงสิ่งใดหรือ? มีเื่อะไรให้ดีใจ เล่าให้ฟังได้หรือไม่?”
เสียงทุ้มแหบราวเสียงปีศาจในยามค่ำคืนอยู่ใกล้เพียงคืบทำให้คนขนลุก
หัวใจของนางสั่นสะท้าน ก่อนจะยืดตัวตรงหันไปมอง
ทว่าที่ทำให้นางใิญญาแทบหลุดจนตัวแข็งทื่อก็คือ
มู่หรงอวี้เอียงตัวมาจนอยู่ห่างจากนางเพียงเล็กน้อย นางขยับไปเช่นนี้จึงปะทะเข้ากับริมฝีปากบางของเขาพอดี
เขาเองก็ตัวแข็งทื่อไปอย่างชัดเจน ริมฝีปากอ่อนนุ่มประทับลงมา หยุดค้างตรงริมฝีปากของเขาราวผีเสื้อเกาะบนกลีบดอกไม้ ราวกับหยดน้ำค้างบนใบไม้
กลิ่นหอมอ่อนๆ ทำให้เืลมของเขาพลุ่งพล่าน
กลิ่นหอมเช่นนี้ แต่กลับคงอยู่เพียงครู่เดียว
ราวกับแค่ปัดผ่านไป ไม่ได้ทิ้งร่องรอยใดเอาไว้
ตำหนักใหญ่คนมากมาย ดวงตาหลายคู่กำลังจับจ้องอยู่ แต่นางกลับ...มู่หรงฉือพลาดไปแล้ว นางอยากจะขุดหลุมแล้วฝังตัวเองลงไป
นางไม่สามารถปิดหน้าได้ นางเป็องค์รัชทายาท ทำเช่นนี้จะยิ่งทำให้เกิดความสงสัยและการคาดเดามากมาย
แต่ว่านางเขินอายจริงๆ แก้มทั้งสองข้างเห่อร้อนขึ้นมา ลูกไฟร้อนแรงกลืนกินนางเข้าไปทั้งตัว
ในชั่วเสี้ยววินาทีนั้นนางยังจำได้ กลิ่นอายอันอบอุ่นของบุรุษ กลิ่นน้ำหอมเจือกลิ่นสุรา
เพียงแค่ชั่วเวลาสั้นๆ ทั้งสองคนก็ผละตัวออกจากกันอย่างรวดเร็ว เพียงแต่หัวใจของพวกเขาต่างสั่นไหว
ทุกคนต่างกำลังชมการร่ายรำกันอยู่ ไม่มีใครเห็นเหตุการณ์ประหลาดนี้
มู่หรงอวี้หวนคะนึงถึงััเมื่อครู่ จู่ๆ ก็พบว่าใบหูและพวงแก้มขององค์รัชทายาทแดงผิดปกติ ราวกับก้อนเมฆยามอาทิตย์อัสดง ยิ่งความหอมหวลเข้าไปอีก
ริมฝีปากบางของเขาพลันปรากฏรอยยิ้มที่เหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้มขึ้น ก่อนจะส่งน้ำแกงเนื้อแพะครึ่งถ้วยไปตรงหน้านาง “เตี้ยนเซี่ยเหมือนจะยังไม่เคยทานน้ำแกงเนื้อแพะ ลองชิมดู”
“ไม่จำเป็ เปิ่นกงไม่ชอบน้ำแกงเนื้อแพะ”
มู่หรงฉือจัดชุดพลางนั่งตัวตรง ตามองมือทั้งสองข้างที่วางอยู่ด้านล่าง
ในใจประหม่าจนทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย เขาจะสงสัยหรือไม่? จะนึกถึงอะไรหรือไม่?
เขาเอียงตัวอีกครั้ง พูดเสียงเบาข้างหูนาง “เหตุใดใบหน้าของเตี้ยนเซี่ยถึงแดงก่ำขนาดนี้? หรือว่าเมื่อครู่...”
“เปิ่นกงดื่มสุราแล้วร้อนจนขึ้นหน้าก็เท่านั้น” นางรีบอธิบาย ไม่ต้องลูบหน้าก็รู้ว่าตอนนี้หน้าของแดงจัดจนน่ากลัว
“ที่แท้ก็เป็เช่นนี้?”
มู่หรงอวี้นั่งตัวตรงก่อนจะยื่นมือมาจับมือของนาง ใช้นิ้วลูบไล้ฝ่ามือนางเบาๆ
ไฟโทสะของมู่หรงฉือพลันพุ่งทะยานขึ้นมา แต่กลับไม่กล้าขยับตัวส่งเดช นางเพียงดึงมือมาซ่อนเอาไว้ใต้แขนเสื้อกว้าง
มู่หรงอวี้สมควรตาย! เขาจงใจ!
พยายามอยู่หลายครั้ง แต่นางยังคงไม่อาจหนีพ้นเงื้อมมือของปีศาจ
การลูบไล้อันแ่เบาราวขนนกของเขาให้ความรู้สึกทั้งคันยุบยิบ ทั้งทรมานราวถูกเข็มปลายแหลมแทงเข้ามาที่ปลายนิ้ว
นางโกรธจนขึ้นสมอง พูดเสียงลอดไรฟัน “ปล่อยมือ!”
“เมื่อครู่เตี้ยนเซี่ยเอาเปรียบเปิ่นหวาง เปิ่นหวางอย่างไรก็จะต้องเอาดอกเบี้ยคืนสักหน่อย” มู่หรงอวี้พูดกลั้วหัวเราะหน้าไม่เปลี่ยนสี
“เช่นนั้นก็พอได้แล้ว!” มู่หรงฉือกัดฟันกรอด อยากจะกัดเขาให้ตาย
เขายังคงไม่ยอมปล่อยมือ เหมือนกับหยอกล้อจนติดใจ ราวกับกำลังนับกระดูกนิ้วของนางอยู่ทีละชิ้นๆ
ทั้งยังหัวเราะเย้าแหย่นางไปด้วย “มือนุ่มนิ่มของเตี้ยนเซี่ยเหมือนไม่มีกระดูก หากเป็คนที่ไม่รู้เื่รู้ราวคงจะคิดว่าเป็มือของสตรีเป็แน่”
สถานการณ์เช่นนี้ รูปการณ์เช่นนี้ ความร้อนรนแบบนี้ ช่างทรมานคนจริงๆ
ลมหายใจของนางค่อยๆ ปั่นป่วนขึ้นเรื่อยๆ นางจึงเปลี่ยนจากการถูกจับมาเป็ฝ่ายจับเขาเสียเอง ขยับมืออยู่ในมือใหญ่ของเขา แล้วลูบไล้ฝ่ามือของเขาเบาๆ
เ้าจะให้ข้าไม่เป็ตัวของตนเองใช่หรือไม่? ข้าเองก็จะให้เ้าไม่เป็ตัวของตนเองเช่นกัน!
มู่หรงอวี้ชะงักไป มุมปากยกเหมือนจะยกยิ้มน้อยๆ มือใหญ่หยุดขยับปล่อยให้นางเล่นต่อไป
ในแขนเสื้อกว้าง ทั้งสองคนต่างโจมตีกันไปมา ลมหายใจเปลี่ยนไปไม่สงบนิ่ง
ร่างกายทั้งสองต่างสั่นสะท้าน
มู่หรงฉือลูบนิ้วกลางของเขา ตอนที่คิดจะดึงมือออกอย่างกะทันหันให้เขาไม่ทันได้ตั้งตัว ใครจะคิดว่าเขาเหมือนจะคาดเดาเอาไว้อยู่แล้ว เขาจับมือเล็กๆ ของนางเอาไว้ นิ้วมือทั้งห้าเกี่ยวกระหวัดเข้าด้วยกันกลายเป็กุมมือกันแน่น
ลูบกลับไปกลับมาอย่างนั้น เป็การกระทำอันใกล้ชิดสนิทสนมของคนสองคนที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งอย่างยิ่ง
ตุ่มไตที่โคนนิ้วของเขาลูบไปบนฝ่ามือของนาง
งดงามอะไรอย่างนี้ เย้ายวนอะไรเช่นนี้
ร่างกายของนางทั้งเย็นทั้งร้อน ใจของเขาราวกับทะเลที่มีพายุคลื่นลม
ทั้งโลกพลันห่างไกลออกไป สีสันสนุกสนานตรงหน้ากลับกลายเป็ภาพพื้นหลังลวงตาภาพหนึ่ง
ทันทีที่รู้สึกตัวนางก็เบือนหน้าหนีทันที ดวงตาสุกใสมีหยาดน้ำปกคลุมบางๆ แววตาเลื่อนลอย
ลมหายใจของเขาถี่กระชั้นขึ้นเล็กน้อยพลางจ้องมาที่นางตาไม่กระพริบ ความร้อนที่หน้าอกก็แผ่ลามไปทั่วทั้งร่าง
เขาคิดไม่ถึงว่าการเย้าแหย่กันโดยไม่ได้ตั้งใจ จะเปลี่ยนมาให้ผลลัพธ์แบบที่เขาเองก็คิดไม่ถึง
ทั้งๆ ที่เพียงแค่อยากจะแหย่เตี้ยนเซี่ยเล่นแบบง่ายๆ กลับให้ความรู้สึกราวถูกดูดกลืนิญญาเข้าไป
มู่หรงฉือรีบดึงมือตัวเองกลับมา นั่งหลังตรง
ส่วนมู่หรงอวี้เองก็ไม่ได้มองนางอีก ความปั่นป่วนในหัวใจจึงค่อยๆ จางหายไป
...
นางรำเปลี่ยนชุดการแสดง ข้างกายมีผ้าอ่อนนุ่มลอยพลิ้ว ท่วงท่าในการร่ายรำราวสายลมที่พัดพาหิมะ ราวบก้อนเมฆสายหมอก ราวเทพเซียนกำลังเหาะเหิน
เป็การแสดงที่เต็มไปด้วยความงดงามชดช้อย
เฉียวเฟยกับองค์หญิงจาวฮวานั่งอยู่ที่โต๊ะเดียวกัน นางสังเกตว่าบุตรสาวไม่ขยับตัว ทั้งยังเห็นว่าอีกฝ่ายมองไปยังโต๊ะตรงข้าม ในใจพลันตื่นตระหนก ฉางเอ๋อร์กำลังมององค์รัชทายาทหรือว่าอวี้หวาง?
ฉางเอ๋อร์กับองค์รัชทายาทเป็พี่น้องกัน จะมององค์รัชทายาทไปเพื่ออะไร?
ทันใดนั้น เฉียวเฟยก็เข้าใจขึ้นมาทันที แต่กลับใจนคิ้วขมวด
บุตรสาวของนางชอบท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน!
“จาวฮวา เ้ายังไม่ได้ไปคารวะสุรากับเสด็จพ่อเลยนะ” นางลากแขนเสื้อที่ปักขนเฟิ่งสองสีของบุตรสาว
“อ้อ” มู่หรงฉางยกจอกสีขาวขึ้นมา แล้วยื่นไปทางโต๊ะหลักพลางเอ่ยอย่างให้ความเคารพ “เสด็จพ่อ เป็ลูกที่ดื้อรั้นหนีออกจากวังไปครึ่งปี ลูกมาขออภัยโทษจากเสด็จพ่อเพคะ”
“เด็กที่รู้ว่าผิดแล้วรู้จักแก้ไขนั้นเป็เด็กดี เจิ้นก็สบายใจแล้ว” มู่หรงเฉิงส่งยิ้มให้นางอย่างรักใคร่ แล้วยกถ้วยชาขึ้นดื่ม “จาวฮวา ต่อไปอย่าได้ดื้อรั้นเอาแต่ใจตนเองเช่นนี้อีก จะต้องฟังคำสั่งสอนของมารดาเ้า เป็องค์หญิงอยู่ในวังดีๆ เถิด”
“ลูกจะเชื่อฟังเพคะ” นางพูดแล้วยิ้มอ่อนโยน “ลูกจะไม่ดื้อแล้วเพคะ จะอยู่ในวังกับเสด็จพ่อ”
“ดีๆๆๆ” เขายิ้มแล้วกดมือให้นางนั่งลง
“ฝ่าา จาวฮวาอายุสิบเจ็ดปีแล้ว ถึงวัยที่จะพระราชทานสมรสให้นางแล้ว” เสียงของเซียวกุ้ยเฟยพูดอย่างออดอ้อน “องค์หญิงจาวฮวาของพวกเราได้รับความรักมากมาย ฝ่าาจะต้องคิดดีๆ นะเพคะ หาองค์ชายที่ถูกใจสักคน คนผู้นั้นจะต้องเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ หน้าตาหล่อเหลาเฉลียวฉลาด ถึงจะเหมาะสมกับจาวฮวา”
เฉียวเฟยหัวใจกระตุก รีบพูดขึ้น “แค่เซียวกุ้ยเฟยเป็ห่วงจาวฮวา ข้าก็ซาบซึ้งใจมากแล้ว ถึงแม้ว่าจาวฮวาจะถึงวัยที่ต้องพระราชทานสมรสแล้ว แต่ว่านางดื้อรั้น ทั้งยังออกจากวังไปครึ่งปี ไม่มีความกตัญญูเลยจริงๆ” นางพูดออกมาอย่างซื่อสัตย์ “ฝ่าา นิสัยของจาวฮวาเอาแต่ใจ ต่อไปหม่อมฉันจะสั่งสอนนางให้มากขึ้น เื่การแต่งงานนั้นยังไม่รีบร้อน ให้นางเรียนรู้กฎระเบียบในวังก่อน สำรวมกิริยามารยาท ตั้งใจกตัญญูต่อฝ่าา อีกสักสองปีค่อยคุยเื่นี้ก็ยังไม่สายเพคะ”
เซียวกุ้ยเฟยยิ้ม ปิ่นเฟิ่งหวงที่ติดอยู่บนผมสีดำของนางขยับไปมาตามการเคลื่อนไหว ราวกับแสงเย็นเยียบของดาบที่สาดส่องไป “น้องสาว อีกสองปีจาวฮวาก็อายุสิบเก้าปีแล้ว จะกลายเป็สตรีที่อายุมากไปหน่อย หากจะพระราชทานสมรสก็จำเป็ต้องรีบสักนิด อีกอย่างอายุของจาวฮวาก็ไม่น้อยแล้ว ไม่นับว่าไวเกินไป ฝ่าาคิดเห็นอย่างไรเพคะ?”
พูดถึงเื่การแต่งงานของตัวเอง องค์หญิงจาวฮวามู่หรงฉางก็หลบตาลงอย่างเขินอาย
แก้มสีชมพูระเรื่อแฝงไว้ด้วยความรู้สึก แฝงไปด้วยความรอคอยถึงอนาคต แล้วก็มีความดีใจอย่างประหลาด
นางเหลือบตาขึ้นเล็กน้อย ดวงตาพราวระยับมองไปทางอวี้หวาง
มู่หรงฉือยกยิ้มหยัน ดูเหมือนว่าราชวงศ์ใกล้จะมีข่าวดีแล้ว
เซียวกุ้ยเฟยเสนอความคิดเห็นเช่นนี้ เกรงว่าจะมองความคิดของจาวฮวาออก อยากจะจับคู่นางให้กับคุณชายสักตระกูล ขอแค่ไม่ใช่มู่หรงอวี้ก็พอ อีกอย่างจะได้ถือโอกาสตัดคู่แข่งอย่างเฉียวเฟยไป หลายปีมานี้จาวฮวาได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ เฉียวเฟยสองแม่ลูกจึงได้รับความเอ็นดูจากฝ่าาไม่น้อย
เซียวกุ้ยเฟยลงมือเช่นนี้เรียกได้ว่ายิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัวจริงๆ
มู่หรงเฉิงยิ้มอย่างเมตตา “อายุของจาวฮวาไม่น้อยแล้วจริงๆ แต่ว่าเจิ้นยังต้องเลือกบุตรเขยดีๆ”
ได้ยินคำพูดนี้ เหล่าขุนนางกับคุณชายจากตระกูลชนชั้นสูงมากมายที่อยากจะขอองค์หญิงแต่งงานก็ลอบยินดีปรีดา ในใจเริ่มคิดคำนวณว่าจะทำอย่างไรถึงจะได้รับความสนใจจากองค์หญิงจาวฮวา
นี่เป็โอกาสอันดี! จะพลาดไม่ได้เป็อันขาด!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้