บทที่ 113 หน้าซื่อใจคด
ในลานบ้านเงียบสงบและสง่างาม เสียงนกร้องแว่วหวาน คนรับใช้หลายคนยุ่งอยู่กับการตัดแต่งกิ่งดอกไม้และต้นไม้ และกวาดใบไม้ที่ร่วงหล่นลงพื้น
เสวี่ยหานเฟยยกยิ้มตลอดทางและทักทายคนรับใช้ที่ต่ำต้อย รอยยิ้มนั้นเป็มิตรมาก คล้ายสายลมที่อ่อนโยน ทำให้คนรับใช้รู้สึกอบอุ่นและเร่งทำงานให้มาก
พวกเขารู้สึกจริงๆ ว่าคุณชายชุยเสวี่ยผู้นี้สง่างามยิ่งยัก สื่อสารกับผู้อื่นด้วยความถ่อมตัวและสุภาพอ่อนโยน เขาไม่มีนิสัยที่ไม่ดีเหมือนชายหนุ่มชนชั้นสูงคนอื่นๆ ดูสูงส่งมากจนเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ
สาวใช้บางคนอดไม่ได้ที่จะแอบมองเสวี่ยหานเฟยด้วยความคิดที่ไม่เข้าท่า เมื่อเสวี่ยหานเฟยมองเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มเล็กน้อยและคงท่าทางสง่างามไว้ ทำให้สาวใช้เ่าั้หน้าแดงตื่นตระหนกและใจเต้นแรงทันที
“คุณชายชุยเสวี่ยเป็คนที่สมบูรณ์แบบจริงๆ นะ มีใครในโลกนี้ที่สามารถเทียบเคียงเขาได้อีกหรือเปล่า?”
"จิ๊จิ๊ เสี่ยวเถา ตกหลุมรักอีกแล้วหรือ? แม้ว่าคุณชายชุยเสวี่ยจะเป็คนใจดี แต่เขาก็สูงส่งเกินเอื้อม คนรับใช้อย่างพวกเราไม่อาจเข้าถึงได้ ล้มเลิกความคิดนี้ซะ ปลูกหญ้าของเ้าต่อไป!”
“เฮ้อ ข้าก็แค่พูดเล่นเอง ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมแม่นางฉุ่ถึงเ็ากับคุณชายชุยเสวี่ยนัก พวกเขาสองคนเป็คู่ที่ลงตัวกันมากนี่!”
“ชู่ว... อย่าเอ็ดไป นายท่านน่าจะใกล้กลับมาแล้ว ถ้าเขาได้ยินเื่ซุบซิบพวกนี้ ระวังจะถูกลงโทษ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สาวใช้ที่ชื่อเสี่ยวเถาก็รู้สึกเย็นเยียบและหุบปากทันที ไม่กล้าพูดพล่ามอีกต่อไป
คนรับใช้เหล่านี้รู้ดีว่า ฉู่เจิ้นหนานน่ากลัวแค่ไหน หากทำผิดจริง มันคงไม่ง่ายเพียงแค่ถูกตำหนิหรือทุบตี อาจถึงขั้นตัดมือตัดเท้าให้กลายเป็คนพิการ
ภายใต้การควบคุมของฉุ่เจิ้นหนาน ลานอันเป็เอกลักษณ์นี้ได้รับการปกป้องอย่างแ่าและมีกฎเกณฑ์มากมาย ดังนั้นจึงไม่มีใครสามารถบุกรุกเข้ามาได้
สำหรับเขา ฉู่ซินเหยาเป็เพียงสินค้าที่สำคัญอย่างยิ่งต่อตระกูล และเขาจะไม่มีวันยอมให้เกิดข้อผิดพลาดใดๆ
ไม่นานหลังจากนั้น เสวี่ยหานเฟยก็ออกจากลานบ้าน ในขณะที่เขากำลังจะก้าวจากจัตุรัสและออกจากประตู มองเห็นชายวัยกลางคนที่มีร่างกายสูงใหญ่ คิ้วกระบี่ตึงแข็ง เดินตรงมาหาเขา พาลมโชยพัดแรง บรรยากาศกดดันในทันที
ใบหน้าของชายคนนี้เคร่งขรึม พร้อมรัศมีที่แข็งแกร่ง คางของเขาเชิดขึ้นราวกับไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใด เขาคือหัวหน้าตระกูลฉู่เชื้อสายไป๋หยาง ฉู่เจิ้นหนาน
เมื่อเห็นฉู่เจิ้นหนานเดินมาหา เสวี่ยหานเฟยก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยกยิ้มอย่างอ่อนโยนและพูดด้วยความเคารพ “สวัสดีนายท่านฉู่ ไม่คิดว่าจะได้พบกันหลังจากที่ผู้น้อยกำลังจะกลับ ช่างบังเอิญเสียจริง”
“วันนี้ได้พบท่าน รัศมีเปล่งประกาย ยิ่งใหญ่และองอาจมาก ท่านทำให้ผู้น้อยคนนี้อับอายแล้วจริงๆ”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ฉู่เจิ้นหนานก็ค่อนข้างประทับใจ ใบหน้าที่เคร่งขรึมของเขาก็สงบลงมาก คิดว่าเด็กคนนี้พูดเป็ั้แ่อายุยังน้อย เป็เด็กที่มีพร์โดดเด่นจริงๆ
ฉู่เจิ้นหนานเผยรอยยิ้มจางๆ ที่หาได้ยากและตอบว่า “ฮ่าๆ คุณชายเสวี่ยล้อข้าเล่นหรือ? ไม่กี่วันที่ผ่านมา ข้าคิดเื่การแต่งงานของเหยาเอ๋อร์จนหัวแทบแตก เหนื่อยจนไม่มีเวลาฝึกฝน กลับเป็ท่านต่างหาก พลังปราณในลมหายใจของท่านนั้นยิ่งใหญ่ เกรงว่าจะก้าวหน้าไปไกลมากในขั้นมหาสมุทร”
เสวี่ยหานเฟยยิ้มอย่างนอบน้อมและกล่าวว่า “มืได้ๆ ในขั้นมหาสมุทรนี้ข้ายังต้องขอคำแนะนำจากนายท่านฉู่ ท้ายที่สุดแล้ว นายท่านฉู่ก็อยู่ในชั้นมหาสมุทรมาหลายปีแล้ว เป็คู่ต่อสู้ที่อยู่ยงคงกระพัน ชื่อเสียงโด่งดังดั่งฟ้าร้อง!”
เมื่อฉู่เจิ้นหนานได้ยินคำชมเชยนี้ เขาก็มีความสุขขึ้นมา แลดูภาคภูมิใจ แต่ก็ยังพูดอย่างสุภาพ “ฮ่าๆ ไม่กล้ารับๆ สำหรับวิชายุทธ์ ชื่อเสียงนี้ไม่มีอะไรทั้งสิ้น แต่ตระกูลฉู่ของเราอยู่ที่นี่ในเมืองชุยเสวี่ยและกำลังจัดงานแต่งครั้งใหญ่ คงต้องรบกวนคุณชายชุยเสวี่ยดูแลเสียแล้ว”
เสวี่ยหานเฟยยกมือขึ้นประสานทันทีและพูดว่า “แน่นอน ข้าสาบานในฐานะเ้าเมืองน้อยของเมืองชุยเสวี่ย รับรองว่าทุกคนในตระกูลฉู่จะรู้สึกว่าอยู่ที่นี่เหมือนอยู่บ้าน จะไม่ละเลยเลย”
“ฮ่าๆ เช่นนั้นก็ลำบากคุณชายชุยเสวี่ยแล้ว” ฉู่เจิ้นหนานเอ่ยด้วยรอยยิ้ม นอกเหนือจากการส่งของขวัญให้ฉู่ซินเหยาใน่ไม่กี่วันที่ผ่านมาแล้ว อีกฝ่ายยังมอบวัตถุิญญาจำนวนมากให้เขา ซึ่งมีประโยชน์ในการฝึกฝน เขาพอใจมาก
และตอนนี้สิ่งที่คุณชายชุยเสวี่ยพูดก็แสดงให้เห็นว่าเขายังมีแผนสำรองในการส่งของขวัญมาจนกว่าฉู่เจิ้นหนานจะพอใจ ทัศนคติเช่นนี้ พฤติกรรมเช่นนี้ สามารถเอาชนะใจผู้คนได้อย่างง่ายดายแน่นอน
สำหรับฉู่เจิ้นหนานจิ้งจอกเฒ่า เขารู้ดีอยู่แล้วว่าคำพูดของเสวี่ยหานเฟยหมายถึงอะไร
“ใช่แล้ว ไม่ทราบว่าการแต่งงานของซินเหยา นายท่านฉู่คิดเห็นอย่างไร?” เมื่อเห็นรอยยิ้มที่พึงพอใจของฉู่เจิ้นหนาน ฉู่หานเฟยก็รีบถามทันที ความกระตือรือร้นที่มองไม่เห็นปรากฏอยู่ในดวงตาของเขา
“สำหรับตัวเลือกสามีข้ายังไม่ได้ตัดสินใจ แต่คุณชายชุยเสวี่ยเป็คนที่มีความสามารถ มีใจให้ซินเหยาเราไม่น้อย ตระกูลเสวี่ยร่ำรวยและมีอำนาจขนาดนั้น ข้ามองเห็นความจริงใจของท่าน ฮ่าๆ คุณชายชุนเสวี่ยไม่จำเป็ต้องกังวลมากเกินไป”
ฉู่เจิ้นหนานตอบด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าดูเหมือนเขาจะโอนอ่อนไปทางตระกูลเสวี่ย แต่เขาก็ยังไม่ได้เปิดเผยความคิดที่แท้จริงใดๆ ออกมา มีเพียงคำพูดที่ดูเรียบเฉย
แน่นอนว่าเสวี่ยหานเฟยไม่ใช่คนโง่ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่พูดอะไรออกมาก็เปลี่ยนเื่ทันที “ฮ่าๆ เช่นนั้นทุกอย่างก็ต้องรบกวนนายท่านฉู่แล้ว ตอนนี้ก็ได้เวลาแล้ว ผู้น้อยต้องขอตัวก่อน”
เสวี่ยหานเฟยเผยรอยยิ้มที่คุ้นเคยและโค้งคำนับ จากนั้นก็เดินออกจากลานบ้านด้วยท่วงท่าที่สง่างาม และกลับไปที่รถม้า
ส่วนฉู่เจิ้นหนานก็ยังคงเงียบ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย หันหน้ามองไปทางด้านหลังของคุณชายชุยเสวี่ย ยกยิ้มที่มุมปากแล้วเดินเข้าไปในลานบ้านอย่างรวดเร็ว
ต่างฝ่ายต่างก็กำลังคิดราวกับมีกระดานลูกคิดอยู่ในมือ
ยามนี้ บนถนนที่พลุกพล่าน รถม้าสีดำทองกำลังเคลื่อนไปยังจวนเสวี่ย เสียงดังอึกอึก ภายในรถม้า มองเห็นคุณชายชุยเสวี่ยที่เปลี่ยนไปจากสภาวะปกติของเขา หุบรอยยิ้มอันอบอุ่นลง ดวงตาหรี่เล็กส่องสว่างด้วยแสงเย็นเยียบ ในมือที่จับพัดขนนกอัญมณียังคงสั่นอยู่
ข้างๆ เขามีนายพลคนหนึ่งถือกระบี่ด้วยใบหน้าเคร่งขรึม เมื่อเห็นสีหน้าของคุณชายชุนเสวี่ย จึงถามว่า “คุณชาย ครั้งนี้แม่นางฉู่ยังไม่รับของขวัญของท่านอีกหรือขอรับ?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ คุณชายชุยเสวี่ยก็เลิกคิ้วขึ้น เลิกพัดพัดขนนก และตบมันลงบนฝ่ามือทันที
น้ำเสียงของเขาเ็า เยาะเย้ย “หึ ฉู่ซินเหยาผู้นี้สวยมาก ทรวดทรงก็ดีมาก น่าเสียดายที่นางไม่เข้าใจอะไรเลยแถมยังหยิ่งยโสยิ่งนัก!”
นายพลรู้สึกสับสนเล็กน้อยและถามว่า “ด้วยกำลังของคุณชาย เหตุใดจึงไม่จับนางไว้เล่าขอรับ? เมื่อถึงเวลาข้าวจะสุก ก็ไม่สำคัญแล้วว่านางจะยอมรับหรือไม่”
“ไม่ได้เด็ดขาด!” คุณชายชุยเสวี่ยส่ายหัว จ้องมองลงไปจากรถม้าแล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม “ข้าไม่ใช่คนเดียวที่เกี่ยวข้องกับการรับสมัครเ้าบ่าวในครั้งนี้ ยังมีผู้ชายน่ารำคาญอีกสองสามคนที่ได้รับเช่นกัน แม่ว่าคุณชายเช่นข้าจะไม่กลัวเื้ัครอบครัวของพวกเขา แต่ถ้าเื่ยุ่งขึ้นมาเกรงว่ามันจะส่งผลกระทบต่อเราด้วย”
“นอกจากนี้ แม้ว่าจิ้งจอกเฒ่าฉู่เจิ้นหนานจะไม่แข็งแกร่งมากนัก แต่สายหลักของตระกูลฉู่ที่อยู่เื้ัเขาเป็กำลังสำคัญในราชวงศ์ปัจจุบัน เราไม่อาจรุกรานเขาได้”
“อีกอย่าง ถ้าข้าที่เป็คุณชายลงมือเช่นนั้น ภาพลักษณ์ที่ทุ่มเทสร้างขึ้นมาอย่างหนักก็จะตกต่ำลง จะได้ไม่คุ้มเสีย” คุณชายชุยเสวี่ยหัวเราะเบาๆ แสร้งทำเป็สง่างามแล้วเสยผมบนหน้าผาก เขาพูดต่อ “เ้าก็น่าจะรู้ว่าภาพลักษณ์นั้นสำคัญมาก"
“ข้าน้อยเข้าใจแล้วขอรับ” นายพลเองก็ยิ้มอย่างน่ากลัวเช่นกัน
“ส่วนที่ว่าข้าจะเอาชนะคนงามที่ไม่มีใครเทียบนี้ได้หรือไม่ ข้าไม่ได้กังวลเลย มันเป็แค่เื่ของเวลา” คุณชายชุยเสวี่ยคลี่พัดขนนกอีกครั้ง โบกมือเบาๆ แล้วควบแน่นปราณเป็ผลึกน้ำแข็ง เขามองดูอย่างสบายๆ และพูดว่า “ข้าไม่เชื่อว่าฉู่เจิ้นหนานจะปฏิเสธของหมั้นที่มากมายขนาดนั้นจากตระกูลเรา ฮ่าๆ”
หลังจากพูดจบ เสวี่ยหานเฟยก็หยิบผลึกน้ำแข็งที่สวยงามที่สุด บริสุทธิ์ที่สุด และโปร่งใสที่สุดขึ้นมาด้วยมือซ้าย เล่นกับมันสองสามครั้ง จากนั้นก็บดขยี้มันอย่างแรงในทันใด ทำให้เศษน้ำแข็งปลิวไปรอบๆ ในเวลาเดียวกัน ร่องรอยของน้ำแข็งก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา ด้วยรอยยิ้มอันชั่วร้าย
ในลานบ้าน คนรับใช้เดินสวนกันไปมา แต่ฉู่ซินเหยายังคงนั่งอยู่ในศาลากลางทะเลสาบอย่างเหม่อลอย ไม่รู้เลยว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
ในเวลาเดียวกัน สาวใช้สองคนที่ยืนขนาบข้างนางด้วยท่าทีที่สูงส่งและมีพลังอันแข็งแกร่ง เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงสองคนนี้เป็นักรบิญญาและมีทักษะวิชายุทธ์ที่ยอดเยี่ยม พวกนางเป็ผู้คุ้มกันที่ฉู่เจิ้นหนานวางไว้รอบตัวฉู่ซินเหยา และเป็ผู้เฝ้าดูด้วยอีกต่อหนึ่ง
ไม่ใช่ว่าฉู่ซินเหยาไม่เคยคิดที่จะหลบหนี แต่ตอนนี้นางถูกขังอยู่ในลานที่เหมือนกรงนี้ สำหรับนางที่ไม่รู้วิชายุทธ์ก็ไม่อาจจะบินข้ามไปได้
“นายท่าน”
ทันใดนั้นก็มีคำทักทายจากสาวใช้ดังขึ้นมา ฉู่เจิ้นหนานเดินเข้ามาโดยเชิดหน้าขึ้นสูง เขาเดินเข้าไปในศาลากลางทะเลสาบ มองเห็นฉู่ซินเหยาที่นิ่งเฉยก็ขมวดคิ้วทันที
เขาดุด้วยน้ำเสียงเ็า “เหยาเอ๋อร์ เ้ากำลังจะแต่งงาน ดังนั้นเ้าควรจะมีความสุข แต่ตอนนี้เ้ากลับทำตัวไร้ชีวิตชีวาตลอดทั้งวัน นี่มันช่างไม่สุภาพเสียนี่กระไร หน้าตาตระกูลฉู่ของเราถูกเ้าเหยียบเล่นสิ้นแล้ว!”
น้ำเสียงของฉู่เจิ้นหนานดุดันมาก เขาะโด้วยพลังปราณอันเข้มข้น ทำให้น้ำในทะเลสาบโดยรอบปั่นป่วนและสาดกระเซ็น แม้แต่สาวใช้ทั้งสองก็แทบจะทนไม่ไหว
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉู่เจิ้นหนานโกรธฉู่ซินเหยา และแม้ว่าเสียงะโดุด่าจะฟังดูดุร้าย แต่จริงๆ แล้วมันไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับฉู่ซินเหยาเท่าใดนัก
เพราะฉู่เจิ้นหนานคำนึงถึงร่างกายที่เปราะบางของฉู่ซินเหยาจึงควบคุมทิศทางของคลื่นเสียง มีเพียงสาวใช้เท่านั้นที่ต้องทนทุกข์ทรมาน
ฉู่ซินเหยาสำคัญมากต่อข้อตกลงการแต่งงานครั้งนี้ ฉู่เจิ้นหนานจะปล่อยให้นางทนทุกข์ทรมานได้อย่างไร?
“ั้แ่ต้นจนจบเ้าคือคนที่อยากแต่งงาน แต่ข้าไม่เคยบอกว่าอยากแต่งงาน!” ฉู่ซินเหยาดื้อรั้นมาก นางนั่งบนเก้าอี้หินหันไปจับจ้องฉุ่เจิ้นหนานด้วยสายตาเคียดแค้นอย่างไม่คิดจะยอมแพ้
ฉู่เจิ้นหนานหรี่ตาลงเล็กน้อย ลมหายใจของเขาผันผวน เห็นได้ชัดว่าเขาเริ่มโกรธ ทันใดนั้นเขาก็โบกมือให้สาวใช้ทั้งสองออกไปจากศาลา
จากนั้น เขาก็ข่มความโกรธในใจอยู่นาน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม “เหยาเอ๋อร์ แม้ว่าเ้าจะไม่ใช่ลูกหลานของตระกูลฉู่เรา แต่ในเมื่อเ้าเข้าร่วมตระกูลฉู่แล้ว เ้าก็ควรอุทิศตนเพื่อครอบครัว!”
“ด้วยความงามที่ไม่มีใครเทียบได้ของเ้า ไม่ช้าก็เร็วเ้าก็จะถูกใช้เป็เครื่องมือเชื่อมสัมพันธ์ เพื่ออนาคตของตระกูล เ้าถูกกำหนดให้ต้องเสียสละ! ถ้าตอนนั้นฉู่ซานเหอไม่หายตัวไป ข้าเชื่อว่าเขาก็จะทำแบบเดียวกันแน่!”
“ไร้สาระ! พ่อบุญธรรมไม่น่ารังเกียจเช่นเ้า ที่ทรยศต่อตระกูลเพื่อหากำไรใส่ตัว!” ฉู่ซินเหยาตอบโต้ด้วยความโกรธ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
“เหยาเอ๋อร์ เ้าไร้เดียงสามากจริงๆ!” ฉู่เจิ้นหนานเยาะเย้ย ไม่เห็นด้วยกับคำพูดของฉู่ซินเหยา
เขาหันหลังกลับ ยืนเอามือไพล่หลัง จ้องมองที่ทะเลสาบแล้วพูดว่า “ความเจริญรุ่งเรืองของตระกูลฉู่นั้นขาดพันธมิตรที่เข้มแข็งไปไม่ได้ ไม่เช่นนั้นฉู่ซานเหอจะทิ้งตัวหมากที่สวยงามเช่นเ้าไว้โดยไม่ได้ใช้งานหรือ? อย่ามาล้อเล่นเลย อีกอย่างเ้าก็ไม่มีคนรัก ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมเ้าถึงต่อต้านการแต่งงานขนาดนี้!”
“ใครบอกว่าข้าไม่มีคนรัก?!!” ฉู่ซินเหยากัดฟันโต้กลับทันที