ตอนที่ 2 หมาป่าในคราบลูกแกะ
ข่าวลือมีขา มันวิ่งเร็วกว่าม้าเร็วที่ส่งข่าวได้แปดร้อยลี้
เื่ที่นายน้อยเสี่ยวเฟิงหลิว ไอ้สวะผู้เป็ที่รู้กันทั่วทั้งตระกูลว่าเกลียดตำรายิ่งกว่ายาพิษ สั่งให้คนไปขนตำราพื้นฐานมาอ่านถึงห้องนอน แพร่สะพัดไปทั่วจวนตระกูลเสี่ยวรวดเร็วยิ่งกว่าไฟลามทุ่งในฤดูใบไม้ร่วง
ในตอนแรก บ่าวไพร่ต่างหัวเราะเยาะ คิดว่าเป็เื่ตลกประจำวัน บ้างก็ว่านายน้อยคงถูกตีจนสมองกระทบกระเทือน บ้างก็ว่าคงแค่อยากทำตัวเรียกร้องความสนใจจากท่านประมุข แต่เมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งวัน... สองวัน... สามวัน... กลับไม่มีใครเห็นนายน้อยออกมาอาละวาดหรือสร้างเื่ปวดหัวเช่นเคย มีเพียงความเงียบสงบที่น่าอึดอัดผิดปกติเล็ดลอดออกมาจากเรือนพักของเขา
ความเงียบ บางครั้งมันน่ากลัวยิ่งกว่าเสียงกัมปนาท
ภายในห้องอันเงียบสงบนั้น เสี่ยวเฟิงหลิวนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ดวงตาปิดสนิท แต่ในห้วงสมองของเขากลับมีข้อมูลมหาศาลไหลผ่านราวกับน้ำตกเก้าสายธารา
[...สแกนตำรา พื้นฐานสมุนไพรหนึ่งพันชนิด เสร็จสิ้น กำลังวิเคราะห์และจัดเก็บข้อมูล แยกประเภทตามสรรพคุณ ถิ่นกำเนิด และพิษวิทยา เปรียบเทียบกับฐานข้อมูลเดิม พบพืชสายพันธุ์ใหม่ 217 ชนิด อัปเดตฐานข้อมูลเสร็จสิ้น]
[...สแกนตำรา หลักการโคจรลมปราณขั้นต้น เสร็จสิ้น กำลังวิเคราะห์โครงสร้างเส้นชีพจรในโลกนี้ พบความแตกต่างจากฐานข้อมูลเดิม 17.3% กำลังสร้างแบบจำลองการไหลเวียนของพลังงานที่เหมาะสมกับร่างกายของโฮสต์...]
เปลือกตาของเขาไม่ขยับแม้แต่น้อย แต่ประสิทธิภาพในการเรียนรู้ของเขากลับเหนือกว่าอัจฉริยะใดๆ ในโลกนี้ร้อยเท่าพันเท่า! ตำราที่คนธรรมดาต้องใช้เวลาเป็เดือนๆ ในการท่องจำและทำความเข้าใจ เขากลับใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยามในการ ดูดซับ มันเข้ามาเป็ส่วนหนึ่งของความทรงจำอย่างสมบูรณ์แบบ
นี่คือพลังที่แท้จริงของหลู่ปิง พลังแห่งการเรียนรู้ที่ไร้ขีดจำกัด!
“หลู่ปิง รายงานสถานะร่างกาย” เขาเอ่ยถามในใจ
[การกำจัดพิษเสร็จสิ้น 45% การซ่อมแซมเส้นชีพจรปราณเสร็จสิ้น 38% พลังชีวิตโดยรวมฟื้นฟูสู่ระดับ 60% คาดการณ์ว่าจะกลับสู่สภาพสมบูรณ์ได้ภายใน 4 วัน]
“เร็วขึ้นกว่าที่คาดไว้” เสี่ยวเฉินพอใจกับผลลัพธ์ ร่างกายนี้แม้จะอ่อนแอและถูกปล่อยปละละเลยมานาน แต่พื้นฐานกลับไม่เลวเลยแม้แต่น้อย
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าหลายคู่ก็ดังขึ้นจากนอกเรือน ตามมาด้วยเสียงหัวเราะเยาะหยันที่ไม่ได้พยายามจะปิดบังแม้แต่น้อย
“ฮ่าๆๆ ได้ยินว่าลูกพี่ลูกน้องผู้สูงส่งของเราขยันขันแข็งขึ้นมาเสียแล้ว ถึงกับขังตัวเองอ่านตำราอยู่ในห้อง ข้าเลยต้องรีบมาดูให้เห็นกับตาว่าเป็บุญตาเสียหน่อย!”
[ตรวจพบอัตราการเต้นของหัวใจโฮสต์: 60 ครั้งต่อนาที คงที่] หลู่ปิงรายงานอย่างราบเรียบ
เสี่ยวเฉินลืมตาขึ้นช้าๆ ในแววตาที่เคยสงบนิ่ง บัดนี้กลับฉายประกายเย็นเยียบราวน้ำแข็งพันปีอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะกลับมาเป็ปกติ เขารู้ดีว่าเ้าของเสียงนั้นคือใคร
ปัง!
ประตูห้องถูกผลักเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต เด็กหนุ่มสามคนก้าวเข้ามาในห้อง คนที่อยู่หน้าสุดมีรูปร่างสูงใหญ่กว่าเขาเล็กน้อย ใบหน้าหล่อเหลาแต่แฝงไว้ด้วยความโอหังและเ้าเล่ห์ เขาสวมอาภรณ์ผ้าไหมราคาแพง ประดับหยกชั้นดีที่เอว เขาคือ เสี่ยวจื่อหาน บุตรชายของลุงใหญ่เสี่ยวหลิงเฉิน และเป็หนึ่งในตัวเต็งที่จะแย่งชิงตำแหน่งประมุขน้อยในอนาคต
และที่สำคัญ เขาคือคนเดียวกับที่ปรากฏในเศษเสี้ยวความทรงจำสุดท้ายของเสี่ยวเฟิงหลิวคนเดิม!
ด้านหลังของเขาคือ เสี่ยวหลง บุตรชายของอาสี่ ร่างกายกำยำบึกบึน สมองกลวงโบ๋ มีดีแต่พละกำลัง และ เสี่ยวชิง บุตรชายของลุงรอง รูปร่างผอมบาง ท่าทางเหมือนบัณฑิต แต่แววตากลับฉายแววเหยียดหยามและอิจฉาริษยาอย่างปิดไม่มิด
“อ้อ เฟิงหลิวซงตี้ (น้องชาย) ไม่ได้เจอกันหลายวัน ดูเหมือนเ้าจะดูดีขึ้นเยอะนะ” เสี่ยวจื่อหานเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มเสแสร้ง แต่สายตากลับกวาดมองไปทั่วห้องราวกับกำลังมองหาจุดอ่อน “ได้ยินว่าเ้าเกือบจะไปดื่มน้ำแกงยายเมิ่งแล้วเสียอีก ช่างน่าเสียดาย เอ๊ย! ข้าหมายถึง ช่างโชคดีจริงๆ ที่์ยังเมตตา”
“ดูสิ! ไอ้ขยะมันอ่านตำราจริงๆ ด้วย!” เสี่ยวหลงชี้ไปยังกองตำราข้างเตียงแล้วหัวเราะเสียงดัง “เ้าคิดว่าอ่านของพวกนี้แล้วจะฉลาดขึ้นรึไง? สมองหมูต่อให้อ่านคัมภีร์เทวดาก็ยังเป็สมองหมูอยู่วันยังค่ำ!”
“เ้าพูดเช่นนั้นก็ไม่ถูกนะ พี่หลง” เสี่ยวชิงโบกพัดในมืออย่างชดช้อย “อย่างน้อยเขาก็รู้จักหาอะไรทำแก้เบื่อ ดีกว่าออกไปสร้างความอับอายขายขี้หน้าให้ตระกูลเหมือนเช่นเคย”
คมดาบแห่งวาจาพุ่งเข้าใส่จากทุกทิศทาง หากเป็เสี่ยวเฟิงหลิวคนเดิม คงโกรธจนหน้าดำหน้าแดง ลุกขึ้นมาโวยวายอาละวาด และสุดท้ายก็ถูกรุมเยาะเย้ยจนกลายเป็ตัวตลก
แต่เสี่ยวเฉินเพียงแค่เงยหน้าขึ้นจากตำราที่แสร้งทำเป็อ่านอยู่ เขามองทั้งสามคนด้วยสายตาเรียบเฉย ราวกับกำลังมองดูเด็กสามคนกำลังเล่นละครลิง แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ชัดเจน
“ขอบคุณพี่จื่อหานที่เป็ห่วง รอดตายครั้งนี้ทำให้ข้าคิดอะไรได้หลายอย่าง” เขายิ้มบางๆ ที่มุมปาก “โดยเฉพาะเื่ การเลือกคบคน”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเสี่ยวจื่อหานชะงักไปเล็กน้อย
เสี่ยวเฉินหันไปมองเสี่ยวหลง “ส่วนที่พี่หลงพูดก็ถูก สมองหมูอ่านคัมภีร์ก็ยังเป็สมองหมู แต่ข้าสงสัยอยู่อย่าง คนที่ไม่เคยคิดจะแตะตำราเลยแม้แต่ครั้งเดียว จะรู้ได้อย่างไรว่าสมองตัวเองเป็สมองคนหรือสมองหมูกันแน่?”
“เ้า! เ้าด่าข้างั้นรึ!” เสี่ยวหลงหน้าแดงก่ำ กำหมัดแน่น
“ข้าเปล่า” เสี่ยวเฉินส่ายหน้าอย่างใสซื่อ “ข้าแค่สงสัย ตามหลักเหตุและผลเท่านั้นเอง”
จากนั้นเขาก็หันไปทางเสี่ยวชิง “และที่พี่ชิงพูด ก็มีเหตุผลที่สุด” เขากล่าวพลางปิดตำราลงช้าๆ “การขังตัวเองอ่านตำราอยู่ในห้อง มันน่าเบื่อน้อยกว่าการต้องทนฟังเสียงคนบางคนที่ปากดีแต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาเป็ไหนๆ”
ฉึก! ฉึก! ฉึก!
คำพูดสามประโยค สั้นๆ ง่ายๆ แต่กลับเหมือนมีดสามเล่มที่ปักเข้ากลางใจของทั้งสามคนอย่างแม่นยำ!
บรรยากาศในห้องเย็นเยียบลงถนัดตา!
เสี่ยวจื่อหาน เสี่ยวหลง และเสี่ยวชิง ต่างจ้องมองเสี่ยวเฟิงหลิวด้วยความตกตะลึง นี่มัน ไอ้ขยะเฟิงหลิวที่พวกเขารู้จักจริงหรือ? เ้าเด็กโง่ที่ไม่เคยโต้เถียงใครเป็ ทำไมวันนี้ถึงได้ปากคอเราะร้ายและเฉียบคมถึงเพียงนี้!
“ดูท่า การถูกตีหัวครั้งนั้นจะไม่ได้ทำให้เ้าโง่ลง แต่กลับทำให้เ้าปากดีขึ้นนะ” เสี่ยวจื่อหานหรี่ตาลง ในที่สุดรอยยิ้มจอมปลอมก็หายไป เหลือเพียงความเ็าและอำมหิต “แต่ปากดีไปก็เท่านั้น ในโลกของผู้ฝึกยุทธ์ เขาใช้กำปั้นตัดสิน ไม่ใช่ลมปาก”
“ข้ารู้” เสี่ยวเฉินตอบรับอย่างใจเย็น “แต่ก่อนจะใช้กำปั้นได้ ก็ต้องมีสมองไว้คิดก่อนมิใช่หรือ?”
“บังอาจ!” เสี่ยวหลงทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาคำรามลั่นแล้วพุ่งเข้ามาหมายจะกระชากคอเสื้อเสี่ยวเฉิน
แต่ก่อนที่มือของเขาจะมาถึงตัว...
“หยุดนะ!”
เสียงใสดุจระฆังเงิน แต่แฝงไว้ด้วยความเ็าดังขึ้นที่หน้าประตู เสี่ยวเยว่เอ๋อร์ ยืนอยู่ที่นั่นั้แ่เมื่อไหร่ไม่มีใครทราบ นางคือไข่มุกเม็ดงามแห่งตระกูลเสี่ยว บุตรสาวของลุงรอง และเป็พี่สาวแท้ๆ ของเสี่ยวชิง ความงามของนางล่มเมือง ความสามารถในการปรุงโอสถของนางก็เป็อันดับหนึ่งในรุ่นเยาว์ นางเป็คนเดียวในบรรดาลูกพี่ลูกน้องที่ไม่เคยรังแกหรือดูถูกเสี่ยวเฟิงหลิวเลย
“พวกท่านพี่มาทำอะไรกันที่นี่? เฟิงหลิวยังไม่หายดี พวกท่านจะมารังแกอะไรเขากันอีก!” นางก้าวเข้ามาขวางหน้าเสี่ยวหลงไว้ แววตาที่เคยอ่อนโยนบัดนี้กลับแข็งกร้าว
“เยว่เอ๋อร์ นี่มันเื่ของผู้ชาย เ้าอย่าเข้ามายุ่ง!” เสี่ยวจื่อหานขมวดคิ้ว
“เื่ของผู้ชาย?” นางแค่นเสียงหัวเราะ “สามรุมหนึ่ง นี่นับเป็เื่ของผู้ชายั้แ่เมื่อใดกัน? หรือว่าบรรทัดฐานของพี่จื่อหานต่ำเตี้ยเรี่ยดินถึงเพียงนี้?”
“เ้า!” เสี่ยวจื่อหานถึงกับพูดไม่ออก การถูกสตรีงดงามตอกหน้ากลับมาเช่นนี้ทำให้เขาเสียหน้าอย่างรุนแรง
เสี่ยวชิงรีบเข้ามาไกล่เกลี่ย “พี่หญิง ท่านเข้าใจผิดแล้ว พวกเราแค่มาเยี่ยมเยียนเฟิงหลิวด้วยความเป็ห่วงเท่านั้น”
“ความเป็ห่วงของพวกท่านน่ะ เก็บไว้ใช้กับตัวเองเถอะ!” เสี่ยวเยว่เอ๋อร์กล่าวอย่างไม่ไว้หน้า “เชิญพวกท่านกลับไปได้แล้ว อย่ามารบกวนการพักผ่อนของเฟิงหลิวอีก!”
เสี่ยวจื่อหานกัดฟันกรอด เขามองลึกเข้าไปในดวงตาของเสี่ยวเฉินที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่บนเตียงด้วยท่าทีสบายๆ ราวกับเื่ทั้งหมดไม่เกี่ยวกับตนเองเลยสักนิด เขาสะบัดแขนเสื้ออย่างแรง
“หึ! วันนี้เห็นแก่หน้าเยว่เอ๋อร์ ข้าจะปล่อยเ้าไปก่อน!” เขากล่าวทิ้งท้าย “แต่จำไว้ให้ดี เฟิงหลิว อีกไม่ถึงสองเดือนจะถึง การแข่งขันประลองสมุนไพรประจำปีแล้ว ข้าอยากจะรอดูนักว่าคนที่ไม่เอาไหนอย่างเ้า จะเอาปัญญาที่ไหนไปลงแข่งขันกับคนอื่น!”
พูดจบ เขาก็หันหลังเดินจากไปอย่างหัวเสีย เสี่ยวหลงและเสี่ยวชิงรีบเดินตามไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อทั้งสามคนจากไปแล้ว บรรยากาศในห้องก็ผ่อนคลายลง เสี่ยวเยว่เอ๋อร์หันมามองเสี่ยวเฟิงหลิวด้วยแววตาเป็ห่วง “เ้าไม่เป็ไรนะ? พวกเขาทำอะไรเ้ารึเปล่า?”
เสี่ยวเฉินส่ายหน้าช้าๆ เขามองสตรีตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน ในความทรงจำของเฟิงหลิวคนเดิม สตรีผู้นี้เปรียบเสมือนแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตที่มืดมนของเขา “ขอบคุณท่านพี่เยว่เอ๋อร์ที่ช่วยเหลือ”
“ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก” นางถอนหายใจ “ข้าแค่ทนดูพวกเขาทำตัวอันธพาลไม่ไหว แต่เ้าเองก็เปลี่ยนไปมากนะ วันนี้เ้าดูไม่เหมือนเดิมเลย”
“คนเราเมื่อเดินผ่านประตูผีมาแล้วครั้งหนึ่ง ย่อมต้องเปลี่ยนแปลงเป็ธรรมดา” เขายิ้มบางๆ
เสี่ยวเยว่เอ๋อร์พยักหน้าอย่างเข้าใจ นางหยิบขวดยาเล็กๆ ออกมาจากแขนเสื้อส่งให้เขา “นี่คือ โอสถหยกเย็น ที่ข้าหลอมขึ้นเอง มันช่วยบำรุงเส้นชีพจรและฟื้นฟูพลังปราณได้ดี เ้ารับไว้เถอะ”
เสี่ยวเฉินรับขวดยามา เขารู้สึกได้ถึงไอเย็นจางๆ ที่แผ่ออกมาจากมัน [วิเคราะห์ส่วนประกอบ: บัวหิมะพันปี หญ้าิญญาน้ำค้าง แก่นผลึกน้ำแข็ง คุณภาพ: ระดับสูง] หลู่ปิงรายงานทันที
“ขอบคุณท่านพี่อีกครั้ง” เขากล่าวอย่างจริงใจ
หลังจากเสี่ยวเยว่เอ๋อร์กลับไปแล้ว เสี่ยวเฉินก็นั่งนิ่งอยู่ในความเงียบ คำพูดของเสี่ยวจื่อหานยังคงก้องอยู่ในหัว
“การแข่งขันประลองสมุนไพรประจำปี”
เขาเรียกความทรงจำเกี่ยวกับเื่นี้ขึ้นมา มันคืองานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเมืองหลิงโจว เป็เวทีที่ตระกูลนักหลอมโอสถต่างๆ จะส่งตัวแทนรุ่นเยาว์มาประลองความสามารถในการจำแนกสมุนไพรและหลอมโอสถ ผู้ชนะไม่เพียงแต่จะได้รับเกียรติยศและชื่อเสียง แต่รางวัลในปีนี้ยังยิ่งใหญ่เป็พิเศษ สิทธิ์ในการตลาดสมุนไพร ของเมืองหลิงโจวถึงครึ่งหนึ่ง!
นี่มันไม่ใช่แค่การประลอง แต่มันคือาทางเศรษฐกิจที่เดิมพันด้วยอนาคตของทั้งตระกูล!
และมัน ก็คือเวทีที่สมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับเขา!
“หลู่ปิง วิเคราะห์โอกาสที่ข้าจะชนะการแข่งขันนี้”
[กำลังประมวลผล จากข้อมูลตำราพื้นฐานที่ได้รับมา โอกาสชนะ: 0.01%]
คำตอบนั้นไม่ได้ทำให้เขาแปลกใจเลย “แล้วถ้า้าเพิ่มโอกาสให้ถึง 90% ล่ะ?”
[คำแนะนำ: โฮสต์จำเป็ต้องเข้าถึงองค์ความรู้ในระดับที่สูงขึ้น แนะนำให้ไปยังหอตำรา ของตระกูลเสี่ยว ที่นั่นอาจมีคัมภีร์การหลอมโอสถหรือวิชาบำเพ็ญเพียรในระดับที่สูงกว่า]
ดวงตาของเสี่ยวเฉินทอประกายวาววับ หอตำราสถานที่ที่เสี่ยวเฟิงหลิวคนเดิมไม่เคยคิดจะย่างกรายเข้าไปเลยตลอดชีวิต
“ดี! เช่นนั้นเป้าหมายต่อไป ก็คือหอตำรา!”
นี่จะเป็ก้าวแรกที่แท้จริงของการเปลี่ยนแปลง เขาจะใช้การแข่งขันครั้งนี้ประกาศให้ทุกคนในตระกูลเสี่ยว และทุกคนในเมืองหลิงโจวได้รู้
ว่าขยะ ที่ทุกคนเคยเหยียบย่ำ บัดนี้ ได้กลายเป็พญาัที่พร้อมจะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้ว
