เมื่อถึงตอนเย็น เว่ยซูหานนึกถึงเื่ที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวัน และการจะไปหาเหยียนชิงจึงถือว่าเป็เื่ยากแล้ว เขาคิดจะลงครัวทำขนม รวมถึงเครื่องเคียงด้วยตัวเอง และให้ไป๋เส่านำไปส่งให้เหยียนชิง จากนั้นให้นางช่วยบอกเหยียนชิงว่าอย่าอ่านหนังสือดึกจนเกินไป
อีกด้านหนึ่งก็ให้ฮงเส่าไปที่เรือนหลานถิง บอกฮูหยินเหยียนว่าวันนี้เหยียนชิงเหนื่อยล้า จึงไม่อาจไปกินข้าวเย็นกับนาง
เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว หลังจากกินอาหารง่ายๆ อาบน้ำสระผมแล้วเอนตัวนอนอยู่บนตั่งตัวยาวกุ้ยเฟยด้วยผมที่ยังเปียกชื้น ชงชาั้แ่ยังไม่ค่ำจนกระทั่งถึงดึก
เมื่ออยู่คนเดียวก็มักจะคิดถึงเื่ต่างๆ อย่างอดไม่ได้ คิดถึงแผนการในอนาคตและจากนั้นความคิดก็ลอยไปไกลแสนไกลอย่างห้ามไม่อยู่ ความแค้นเคืองฝังลึกอยู่ในใจ
ดวงตาทั้งสองข้างปิดลง ทว่ายังคงไม่สามารถซ่อนจิตสังหารในใจได้ เขาต้องสังหารเหยียนิฮ่วนด้วยน้ำมือของตนเอง ไม่ว่าผู้ใดล้วนไม่อาจห้ามได้
ไป๋เส่ากลับมาอย่างรวดเร็ว บอกกล่าวคำพูดแทนเหยียนชิงว่าให้เขารีบพักผ่อน
“รู้แล้ว พวกเ้าออกไปเถิด”
เว่ยซูหานโบกมือ ความรู้สึกที่มีคนมาห่วงใยนี้เขาไม่ได้ััมานานแล้ว หลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงของตระกูล โลกของเขาได้พังทลายลงอย่างสมบูรณ์
ชีวิตที่โดนเหยียนิฮ่วนกักขังไว้ทรมานจนยอมตายเสียยังดีกว่ามีชีวิตอยู่นั้น อดทนจนมาถึงตอนท้าย แม้ชีวิตจะผ่านพ้นมรสุมบนทะเลทราย แต่สุดท้ายเส้นทางตำแหน่งขุนนางของเขากลับพบว่าถูกหลอกลวง เขาหลังจากสูญเสียครอบครัว ชีวิตที่เหลืออยู่ของเขาก็เป็ไปด้วยความยากลำบาก
สิ่งที่กอบกู้ได้หนึ่งเดียว คือความสงสารของเหยียนชิงที่มอบให้เขาอย่างลับๆ หลายครั้ง เหยียนชิงได้ก้มศีรษะขอโทษเขาหลายต่อหลายครั้งหลังจากนั้น ตอนนั้นเขาคิดว่า หากคนที่ยอมรับเขาในตอนนั้นคือเหยียนชิง ชีวิตของเขาคงปลอดภัย และราบรื่นไม่น้อย ไม่ต้องเดินเดียวดายในความมืดมิดด้วยความชอกช้ำระกำใจ ์ทรงเปิดตาแล้วกระมัง
…………………………………….
“คุณชาย นี่ก็ดึกแล้ว พักผ่อนเถอะเ้าค่ะ”
หลังจากเห็นเหยียนชิงถือหนังสือและหาวอยู่หลายต่อหลายครั้ง เฉินเซียงก็เดินเข้ามา จัดของบนโต๊ะและถามเสียงเบาว่า
“คุณชาย คืนนี้จะอยู่หอชิงเฟิงหรือไม่เ้าคะ? ”
เหยียนชิงวางที่คั่นหนังสือลง หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็เงยหน้าขึ้นและถามกลับ
“เฉินเซียง เ้าคิดว่าการที่ข้าไม่ได้อยู่ในห้องหอในคืนที่สองของการแต่งงานครั้งนี้ จะมีอะไรที่ไม่เหมาะสมหรือไม่? ”
ในวันนี้เขาใช้เวลากว่าครึ่งวันในการไตร่ตรองปัญหานี้อยู่นาน แม้จะรู้ว่าเขากับเว่ยซูหานแต่งงานกันแค่ในนามเท่านั้น แต่การบีบบังคับก็ไม่ใช่บรรทัดฐานที่ดีเท่าไรนัก
เดิมทีเขาก็ไม่มีความคิดเกินเลยกับเว่ยซูหานอยู่แล้ว บวกกับการสื่อสารที่ไม่ค่อยราบรื่นเท่าไรนักของวันนี้ เขาไม่อยากเผชิญหน้ากับเว่ยซูหานจริงๆ แต่พวกเขาเพิ่งจะแต่งงานกันได้สองวันเพียงเท่านั้น…
เฉินเซียงขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วตอบกลับหลังจากรินน้ำชาเสร็จ
“ตามหลักแล้ว คุณชายก็ควรจะกลับห้องหออยู่เป็เพื่อนฮูหยินคนใหม่ถึงจะเหมาะเ้าค่ะ แม้จะเป็เพียงแค่การแสดงละคร ทว่าก็ควรต้องกลับไปบ้านฝ่ายเ้าสาวเพื่อคารวะญาติผู้ใหญ่ของฝ่ายนั้นสักสามวันก่อน ค่อยแยกห้องนอนกับฮูหยินใหม่ถึงจะเหมาะสม ทำเช่นนี้ลำดับพิธีถึงจะสมบูรณ์ แม้ว่าบ่าวรับใช้ในเรือนจะไม่นินทา แต่ก็ยากจะรับประกันได้ว่าคนนอกจะไม่รู้เื่ ถ้าคนอื่นรู้เื่เข้า เกรงว่าในอนาคตฮูหยินใหม่จะควบคุมงานทั้งภายในและภายนอกได้ยาก การแต่งงานครั้งนี้ถือเป็งานที่พิเศษ และนับแต่นี้ไปท่านก็สนับสนุนฮูหยินคนใหม่… ทุกคนคอยจับตาท่านอยู่นะเ้าคะ”
ความหมายของเฉินเซียงนั้นชัดเจนมาก พูดได้สมเหตุสมผล อันที่จริงเหยียนชิงเองก็รู้อยู่แก่ใจ เขานวดหน้าผากอย่างจนปัญญาก่อนจะลุกขึ้น
“เอาล่ะ ข้าจะไปอยู่ห้องหอสักสองสามวัน หลังจากกลับไปบ้านเ้าสาวสามวันก็จะออกไปเดินเล่นกับเขา พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าเขาสำคัญ ให้ตำแหน่งของเขามั่นคงขึ้น”
แต่ไหนแต่ไรมา ภรรยาชายก็ไม่มีฐานะสูงส่งอะไร โดยเฉพาะครอบครัวใหญ่ ชาติที่แล้วเขาเห็นมานักต่อนัก หากเขาไม่หนุนหลังเว่ยซูหาน เกรงว่าคนที่มักสร้างปัญหาจะแอบหาข้อบกพร่องแล้วลอบกัด ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นคนไกล แค่พวกของเหยียนิฮ่วนเ่าั้ก็เหลือจะต้านรับ
อิ้งหลีส่งเหยียนชิงกลับไปที่เรือนเซียวเหยาซึ่งถือว่าเป็ห้องหอเสร็จ เมื่อถึงหน้าประตูเรือนเขาก็ถอยกลับไป ให้เหยียนชิงเดินเข้าไปเอง เมื่อไปถึงประตู หลินชวนก็รีบออกมาต้อนรับ
“คุณชาย ท่านมาแล้ว ข้านึกว่าวันนี้ท่านจะไม่มาเสียอีกขอรับ”
เหยียนชิงรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย จึงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ซูหานหลับหรือยัง?”
หลินชวนเกาท้ายทอย “ยังขอรับ ชมจันทร์อยู่ในชานเรือนอยู่ขอรับ…”
“ดึกป่านนี้แล้วเหตุใดยังไม่พักผ่อนอีก…”
เหยียนชิงบ่นพึมพำ ก่อนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า จันทราหลบซ่อนเข้าไปในมวลหมู่เมฆา และคืนนี้ก็ไม่ใช่คืนพระจันทร์เต็มดวง ทิวทัศน์ก็ดูไม่ได้งดงามปานนั้น
หลินชวนคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พูดอย่างระมัดระวัง “ฮูหยินน้อยคล้ายจะอารมณ์ไม่ดีขอรับ…”
เหยียนชิงพยักหน้า “รู้แล้ว เ้ากลับไปเถอะ ข้าจะเข้าไปจัดการเอง”
พูดจบก็เดินขึ้นระเบียงทางเดินไป อาศัยแสงไฟชานเรือนก็มองเห็นเว่ยซูหานเอนกายอยู่บนตั่งกุ้ยเฟยข้างศาลาเล็กๆ ในชานเรือน
“ขอรับ” หลินซวนโค้งคำนับก่อนจะถอยออกไป
เว่ยซูหานจมอยู่ในความทรงจำของตัวเองไม่อาจหลุดพ้นจากมันได้ จนกระทั่งเหยียนชิงใช้มือมาััตัวเขา เขาถึงได้ลืมตาขึ้นราวกับตื่นจากความฝัน ่ระยะเวลานั้นยังไม่สามารถบอกได้ชัดเจนว่ามันคือความฝันหรือความจริง หลังจากมองเหยียนชิงอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็คว้าข้อมือของอีกฝ่ายแล้วดึงเข้ามาในอ้อมกอดของตน
เหยียนชิงที่ยังไม่ทันตั้งตัวก็ล้มลงในอ้อมกอดที่กว้างใหญ่ เพราะเว่ยซูหานเอนกายนอนอยู่ หลังจากเหยียนชิงล้มลงไปก็นอนฟุบลงบนตัวของเขา มือของเว่ยซูหานถือโอกาสนี้โอบเขาเอาไว้ ท่าทางนี้คลุมเครืออย่างบอกไม่ถูก