หากจะกล่าวว่าการฝึกร่างกายระดับที่สามของเคล็ดวิชาั์นั้นมีลักษณะพิเศษ คือทนความร้อนและความเย็น แมลงไม่เข้าใกล้ ซึ่งเมื่อฝึกถึงระดับหนึ่งแล้วย่อมเป็ไปตามธรรมชาติ แต่ระดับที่สี่นั้นมีลักษณะพิเศษที่ไม่เหมือนใคร แม้ว่าจะคล้ายกันแต่ก็ไม่ใช่ระดับเดียวกันอย่างแน่นอน
ลักษณะในระดับที่สี่ของเคล็ดวิชาั์คือ...กระดูกแกร่งดั่งเหล็กกล้า แม้ชนหินหินยังแตก!
หลังจากการก้าวข้าม ผิวของหลัวเลี่ยกลายเป็สีทองสวยงามสุดจะพรรณนา ที่สำคัญกว่านั้นเขาแข็งแกร่งมาก และกระดูกของเขาก็แข็งแกร่งมากเช่นเดียวกัน ความแข็งแกร่งของเขาไร้ขีดจำกัด เขาไม่จำเป็ต้องใช้วรยุทธ์หรือใช้พลังงาน ด้วยพละกำลังในตอนนี้เพียงหมัดเดียวก็สามารถะเิหินูเาที่แข็งแกร่งได้ และไม่ใช่การแตกเป็ก้อนกรวด แต่แตกเป็ผุยผง สำหรับผู้ฝึกตนทั่วไปเกรงว่าพวกเขาต้องฝึกร่างกายถึงระดับเจ็ดหรือแปดจึงจะมีลักษณะพิเศษเช่นนี้
เมื่อก้าวข้ามขีดจำกัดนี้ ถึงจะนับว่าเป็การฝึกเคล็ดวิชาั์อย่างแท้จริง
หลัวเลี่ยไม่เกียจคร้านในการฝึกวันต่อๆ ไป นอกจากการฝึกฝนแล้ว เขายังจะเสริมความรู้ทุกประเภทเพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับตัวเอง
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
วันแห่งการทดสอบผู้พิชิตมาถึงแล้ว
เนื่องจากการทดสอบผู้พิชิตนี้เกี่ยวข้องกับการสืบทอดตำแหน่งของอ๋องหนานหลี่ ทำให้ผู้คนทั่วทั้งเมืองหลวงของแคว้นเป่ยสุ่ยให้ความสนใจมาก มีคนรีบไปยังที่ตั้งของสถานที่จัดการทดสอบ ซึ่งก็คือลานฝึกทหารของเมืองหลวง
ในอดีตลานฝึกทหารถูกปิด แต่วันนี้ประตูเปิดแล้ว และผู้คนสามารถเข้าออกได้อย่างอิสระ
ทางใต้ของลานฝึกทหารคือสถานที่ทดสอบผู้พิชิต ซึ่งได้รับการร้องขอจากผู้พิชิตใน่ปีแรกๆ โดยปกติแล้วเป็สถานที่ที่ทหารบางคนใช้ฝึกระดับแรกเป็ครั้งคราว
ทหารพลเรือนจะเฝ้าอยู่ด้านนอกสุด
ภายในมีพื้นที่เปิดโล่งขนาดใหญ่ และราชินีหลิวหงเหยียนในเครื่องแบบทหารกำลังขี่ม้าัสีแดงเพลิงเต็มไปด้วยความกล้าหาญ ประกอบกับใบหน้าไร้ที่ตินั้นราวกับจุดสีแดงท่ามกลางสีเขียว ช่างโดดเด่นและดึงดูดสายตาอันร้อนแรงนับไม่ถ้วน
ข้างๆ กันคืออ๋องชวนหลงชงโหวหู่
ชงโหวหู่ยังคงหยิ่งยโสและเ้าเล่ห์ เขาไม่เห็นจักรพรรดินีหลิวหงเหยียนอยู่ในสายตาเลย สิ่งที่เขากำลังขี่คือสัตว์ร้าย ัสีดำทะมึน และยังสวมชุดเกราะลึกลับที่มีสัญลักษณ์เป็น้ำ ซึ่งแสดงถึงน้ำดับไฟของหลิวหงเหยียน ความหมายนั้นชัดเจน และที่สำคัญกว่านั้นเขาไม่ได้สนใจหลิวหงเหยียนเลย เหมือนกับาาที่มองเห็นสิ่งมีชีวิตทั้งหมดดั่งมด และเอาตนเองเป็ศูนย์กลาง
เ้าหน้าที่พลเรือนและทหารอื่นๆ จากราชวงศ์ก็อยู่ที่นั่น
นอกจากนี้ชงจ้านหยวนลูกชายของชงโหวหู่ก็อยู่ในหมู่พวกเขาด้วย แม้ว่าเขาจะไม่มีตำแหน่ง แต่การที่เป็ลูกชายทำให้ได้รับเกียรติมาจากพ่อของเขา เขายืนอยู่ข้างชงโหวหู่ แม้แต่หลานฉายหลิงก็อยู่ที่นั่น มันยิ่งแสดงให้เห็นถึงความเย่อหยิ่งของตระกูลอ๋องชวนหลง ที่แม้แต่องค์ชายบางคนยังต้องหลีกทางให้
สำหรับหลัวเลี่ย ในฐานะผู้เข้าร่วมการทดสอบผู้พิชิต เขาไม่มีสัตว์ขี่ และยืนอยู่คนเดียวข้างหน้า พร้อมที่จะเข้าสู่สนามประลองทุกเมื่อ
หลัวเลี่ยหันหลังให้กับฝูงชน ไม่ได้มองเจาะจงไปที่ใคร เขารู้ว่าชงจ้านหยวนและคนอื่นๆ กำลังรอดูเื่ตลก และหวังว่าเขาจะตายจากการทดสอบผู้พิชิตนี้
ทว่าหลัวเลี่ยเองก็กำลังคิดว่า เขาจะสามารถฝ่าด่านที่สี่อันลึกลับที่ไม่เคยมีใครฝ่าไปได้ได้หรือไม่
เมื่อเห็นว่าใกล้จะถึงเวลาแล้ว หลิวหงเหยียนก็สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แล้วเสียงของนางก็ดังไปไกลหลายสิบลี้ “แคว้นเป่ยสุ่ยมีวิชายุทธ์เป็พื้นฐาน ก่อนหน้านี้อ๋องหนานหลี่ได้ต่อสู้ทำศึกาเพื่อบ้านเมือง ทั้งทางเหนือและทางใต้มาอย่างยาวนาน เขาได้สร้างผลงานไว้อย่างยอดเยี่ยม บัดนี้อ๋องหนานหลี่ได้จากไปแล้ว หลัวเลี่ยบุตรชายเพียงคนเดียวของเขาไม่ได้ฝักใฝ่ในวิชายุทธ์ จึงไม่มีสิทธิสืบทอดตำแหน่งอ๋องหนานหลี่ต่อ แต่เมื่อข้าคิดถึงคุณความดีที่อ๋องหนานหลี่ได้เคยกระทำไว้ ข้าก็ทนไม่ได้จริงๆ หากแต่อ๋องชวนหลงได้เตือนสติข้าหลายครา ข้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเห็นด้วย แต่เมื่อคิดถึงการเสียสละของอ๋องหนานหลี่ ข้าจึงได้มอบโอกาสพิเศษนี้ให้กับหลัวเลี่ย ทายาทเพียงคนเดียวของอ๋องหนานหลี่ เพื่อรักษาสิทธิในการสืบทอด”
นางชี้ให้เห็นเหตุผลของการจัดบททดสอบผู้พิชิตนี้ในไม่กี่คำ
อย่างไรก็ตาม ใบหน้าที่แก่ชราของอ๋องชวนหลงชงโหวหู่นั้นดูเข้มขรึมลง เพราะคำพูดของหลิวหงเหยียนบ่งบอกได้อย่างชัดเจนถึงความเย่อหยิ่ง และการขาดความเคารพจักรพรรดินีของชงโหวหู่ต่อหน้าทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลิวหงเหยียนบอกว่านางทนไม่ได้ แต่อ๋องชวนหลงกลับตักเตือนนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้ว่าอ๋องชวนหลงจะกดดันนาง แต่นางก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ภาพลักษณ์ของเขากลายเป็คนเผด็จการในสายตาทุกคน
หลิวหงเหยียนพูดเสียงดัง “หลัวเลี่ย!”
“หลัวเลี่ยรับบัญชา!” หลัวเลี่ยตอบกลับเสียงดัง
“การทดสอบผู้พิชิตนี้ เ้าเต็มใจหรือไม่” หลิวหงเหยียนกล่าว
“อ๋องชวนหลงนั้นมีอำนาจมาก คำพูดของเขาหลัวเลี่ยจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร แม้ว่าหลัวเลี่ยจะไม่ชอบการฝึกฝนวรยุทธ์ แต่เพื่อปกป้องชื่อเสียงของท่านพ่อ ต่อให้สู้จนตายก็จะไม่มีวันถอย” หลัวเลี่ยแสดงท่าทางน่าสงสารราวกับถูกตี
สิ่งที่เขาพูดทำให้หลิวหงเหยียนพอใจมากยิ่งขึ้น เมื่อรวมกับสิ่งที่นางพูดก่อนหน้านี้ มันจะเป็การทำลายชื่อเสียงของอ๋องชวนหลงชงโหวหู่อย่างร้ายแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากดูถูกอ๋องหนานหลี่ ซึ่งนี่เป็การกระตุ้นบางคนที่ชื่นชมอ๋องหนานหลี่ได้อย่างง่ายดาย
เหตุใดอ๋องชวนหลงชงโหวหู่จะมองไม่ออกว่า หลิวหงเหยียนและหลัวเลี่ยจงใจพุ่งเป้ามาที่เขา ใบหน้าของเขาแสดงความโกรธ แต่ในใจของเขาไม่ได้จริงจังกับมันเลย ในความคิดของเขา การโค่นล้มหลิวหงเหยียนและขึ้นครองบัลลังก์ได้รับการตัดสินแน่วแน่แล้ว และไม่จำเป็ต้องโกรธกับผู้กำลังจะแพ้ พวกเขาไม่คู่ควร ดังนั้นเขาจึงกล่าวเพียงเบาๆ “ถึงเวลาแล้ว ฝ่าา บททดสอบผู้พิชิตควรเริ่มต้นขึ้นได้แล้ว”
“งั้นก็เริ่มบททดสอบได้” หลิวหงเหยียนกล่าว
หลัวเลี่ยหันกลับมา และกำลังจะเดินไปที่ลานทดสอบผู้พิชิต
“ช้าก่อน!”
ชงโหวหู่หยุดดื่ม
หลัวเลี่ยขมวดคิ้วและหันกลับมามองที่เขา
หลิวหงเหยียนก็ไม่พอใจเช่นกัน ในฐานะจักรพรรดินีนางถึงกับพูดว่ามันเริ่มขึ้นแล้ว แต่ข้าราชบริพารผู้นี้ขัดขวางนางอย่างโจ่งแจ้ง แม้ต่อหน้าทุกคนเขาก็ไม่ได้ซ่อนความกำเริบเสิบสานไว้เลย
“ฝ่าา ข้านี้รู้สึกว่าสิทธิในการสืบทอดของอ๋องหนานหลี่ไม่ใช่ของเล่นของเด็ก เนื่องจากหลัวเลี่ยจะต้องถูกทดสอบ เพื่อดูว่าเขามีคุณสมบัติที่จะเป็อ๋องหนานหลี่หรือไม่ เขาควรจับคู่กับบุคคลอื่น หากหลัวเลี่ยล้มเหลว แต่บุคคลนั้นกลับทำสำเร็จ เขาก็จะสามารถขึ้นเป็อ๋องหนานหลี่องค์ใหม่ได้” ชงโหวหู่กล่าว
“อ๋องชวนหลงรีบร้อนเกินไปแล้ว” หลิวหงเหยียนพูดด้วยน้ำเสียงลึกล้ำ
ชงโหวหู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เื่ของบ้านเมืองเป็เื่สำคัญ การขึ้นครองบัลลังก์ของอ๋องหนานหลี่นี้สำคัญกับบ้านเมืองมาก”
หลิวหงเหยียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตะคอก “ถ้าอย่างนั้นไม่ทราบว่าอ๋องชวนหลงกำลังพูดถึงใคร”
ชงโหวหู่ตบมือ
ชายหนุ่มร่างกำยำก้าวออกมาจากด้านหลังฝูงชนทันที เขาก้าวมาด้านหน้า ก่อนจะทำความเคารพหลิวหงเหยียนและชงโหวหู่
การปรากฏตัวของบุคคลนี้ทำให้เกิดความโกลาหล
“เป็เขา หลัวชื่อสิง!”
“นายน้อยแห่งหอัแดง อยู่ในการจัดอันดับเยาวชนอันดับสองของแคว้นเป่ยสุ่ยรองจากชงจ้านหยวน เขาคือคนของชงโหวหู่หรอกหรือ”
เมื่อได้ยินเสียงกระซิบรอบๆ ตัว หลัวเลี่ยก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน
ชื่อเสียงของหลัวชื่อสิงนี้ไม่น้อยเลย
นอกจากหลัวชื่อสิงเก่งเป็อันดับสองในรุ่นเยาวชนแล้ว ในหมู่คนรุ่นใหม่เขาก็เป็หนึ่งในห้าอันดับแรกของแคว้นเป่ยสุ่ย
“หลัวชื่อสิงเป็เพียงสามัญชน เขามีคุณสมบัติอะไรที่จะแข่งขันเพื่อตำแหน่งอ๋องหนานหลี่” ตอนแรกหลิวหงเหยียนคิดว่าผู้ถูกเสนอชื่อจะเป็ชงจ้านหยวนลูกชายของเขา
“ฝ่าาไม่ทราบหรือ หลัวชื่อสิงผู้นี้ไม่ใช่สามัญชน เขาเป็บุตรชายอีกคนของอ๋องหนานหลี่” การเหลือบมองเพียงครั้งเดียวของชงโหวหู่ทำให้เกิดความโกลาหล
หลิวหงเหยียนพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม “มีหลักฐานหรือ”
ชงโหวหู่ยิ้มและพูดว่า “แน่นอน!”
มีคนคนหนึ่งเดินออกมาจากฝูงชน เขาเป็ชายวัยกลางคนสวมเสื้อคลุมสีดำคอกลมปักลายเปลวไฟ เขาคืออูไท่ไหล พ่อบ้านใหญ่แห่งจวนหนานหลี่