หลังจากที่ทั้งสองคนคุยเื่ของหลิวฉินไปได้ครู่หนึ่ง หลี่เทียนิก็ลังเลเล็กน้อยก่อนจะถามขึ้น “พี่สาวของผม หลี่เยว่หรูทำร้ายเธอจริงๆ ใช่ไหมครับ?”
“ใช่ครับ หลี่เยว่หรูรับสารภาพแล้ว” จ้าวอี้ไม่คิดจะปิดบังแต่อย่างใด
“ดีแล้วล่ะครับ ผมไม่อยากเห็นเื่แบบนี้เกิดขึ้นเลย ความคิดแรกเริ่มของผมคืออยากให้หลิวฉินมีชีวิตที่ดีขึ้นสักหน่อย แต่ผมไม่ได้คิดที่จะทำร้ายพี่สาวของผมเลยนะ ถ้าเธอฟื้นขึ้นมาเมื่อไร ผมจะขอร้องไม่ให้เธอฟ้องร้องพี่สาวผม” หลี่เทียนิเดินไปมาอย่างกังวล มีท่าทางอึดอัดใจ
“โอ้? ความสัมพันธ์ของพวกคุณคงดีมากเลยทีเดียว”
“ก็พอสมควรครับ หลังจากที่รู้จักกัน พวกเราก็เคยเจอกันอยู่สองสามครั้ง ความจริงแล้วผมไม่ค่อยเข้าใจการตัดสินใจของลุงผมนักหรอก แม้คนในตระกูลหลี่เราจะไม่ยอมรับเธอ แต่ก็ให้เงินเธอไปสักก้อนก็ได้ แต่ลุงของผมกลับไม่ใส่ใจเลยสักนิด นั่นเลยเป็เหตุผลที่ว่าทำไมหลิวฉินถึงได้โกรธขนาดนี้ เฮ้อ...” หลี่เทียนิถอนหายใจยาว เห็นได้ชัดว่าไม่้าเห็นหลิวฉินโกรธเคืองตระกูลหลี่
“คุณรู้จักพี่ของคุณดีไหม? รู้ไหมว่าทำไมหลิวฉินถึงบอกว่าพี่ของคุณเป็คนฆ่าพ่อของคุณ?”
จ้าวอี้หวังว่าจะได้รับข้อมูลที่เป็ประโยชน์จากปากของหลี่เทียนิบ้าง
เมื่อหลี่เทียนิได้ยินจ้าวอี้พูดเช่นนี้ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที “เป็ไปไม่ได้ เป็ไปไม่ได้หรอก หลิวฉินต้องเข้าใจอะไรผิดไปแน่ จะเป็พี่ผมได้ยังไง พี่ผมจะทำได้ยังไงกัน?”
ทันใดนั้น เสียงของเขาก็ค่อยๆ เบาลงเรื่อยๆ จนกระทั่งไม่ได้ยินอะไรอีก
“คุณสงสัยอะไรอยู่เหรอครับ?”
จ้าวอี้ถามขึ้นมาประโยคหนึ่ง หลี่เทียนิเหมือนค้นพบอะไรบางอย่าง
“ผมไม่รู้ว่าตัวเองคิดถูกไหม แต่คนที่พี่เขาไว้ใจมากที่สุดอย่างบอดี้การ์ดที่ชื่อซุนหงโปถูกเธอไล่ออกกะทันหัน อาหลงกับอาหู่ที่เป็บอดี้การ์ดที่ลุงไว้ใจที่สุด เธอก็ไม่ปล่อยพวกเขาไว้เช่นกัน คนพวกนี้รวมไปถึงพ่อของผมต่างรู้ตัวตนของหลิวฉินทั้งนั้น เพราะอย่างนี้งั้นเหรอ? ไม่ ไม่ใช่แน่ๆ ถึงพี่สาวของผม้าจะทุกสิ่งอย่างมากก็เถอะ แต่ก็ไม่น่าโเี้ขนาดนี้...ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ พอดีว่ามีเื่ต้องไปทำน่ะ”
หลี่เทียนิจากไปอย่างตื่นตระหนก จ้าวอี้มองแผ่นหลังของเขาอย่างครุ่นคิด
“คุณช่วยจับตาดูเขาหน่อยนะ นอกจากบุคคลที่สำคัญแล้ว ใครก็ตามที่มาติดต่อหลิวฉินต้องระวังไว้ พวกเราไปฮาร์เบอร์ซิตี้ที่จิมซาจุ่ยกัน!”
เสี่ยวหลินรับคำ ทั้งสองคนมุ่งหน้าไปที่ห้างสรรพสินค้าสุดหรูของฮ่องกง
สภาพแวดล้อมที่นี่สามารถใช้คำว่าหรูหรามาอธิบายได้ อีกทั้งคนที่มาที่นี่ก็ไม่ใช่คนทั่วไป แน่นอนว่าก็มีคนทั่วไปด้วย แต่พวกจ้าวอี้ที่สวมชุดลำลองธรรมดาๆ ถูกห้ามไม่ให้เข้าไป
พนักงานต้อนรับที่นี่ดีมาก ยิ่งไม่ต้องพูดเ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเลย มันจะไม่มีเหตุการณ์อย่างเช่นคนที่แสร้งทำเป็หัวสูง1หรือคนรวยเกิดเป็บ้าขึ้นมาแล้วทำตัวต่ำตม ถ้าพวกเขาไม่ให้เข้าไปเสียอย่าง พวกเขาก็จะไม่มีทางตกงานหรอก?
ทั้งสองคนไม่ได้ไปที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ พวกเขาตรงไปที่ห้องผู้จัดการแล้วชี้แจงสถานะของพวกตน จ้าวอี้เสนอคำขอของตนขึ้น “พวกคุณน่าจะมีเทปบันทึกกล้องวงจรปิดของที่นี่เมื่อหนึ่งเดือนก่อนอยู่นะครับ”
หนึ่งในรายการของใช้แบรนด์เนมล่าสุดก็คือเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ยิ่งเวลาในเทปบันทึกกล้องวงจรปิดนานเท่าไร ก็ยิ่งใช้พื้นที่ความจำในฮาร์ดดิสก์มากเท่านั้น
โชคดีที่สถานที่แห่งนี้เป็สถานที่มีระดับ และไม่รังเกียจที่จะเสียเงินให้กับด้านนี้ จ้าวอี้จึงได้มันมาอย่างรวดเร็ว
เมื่อขึ้นมาบนรถแล้ว จ้าวอี้ก็เอ่ยกับเสี่ยวหลิน "คุณช่วยจัดกำลังคนแล้วไปตามหาข้อความของหลี่เทียนิบอกซะ เร็วเข้า!"
“รับทราบครับ!”
เมื่อกลับมาถึงสถานีตำรวจ ฉือผิงฮุยก็มาบอกข่าวกับจ้าวอี้ ว่าหลี่เยว่หรูถูกประกันตัวออกไปแล้ว
“พวกเราอุตส่าห์จับกุมตัวหลี่เยว่หรูได้แล้วนะ คุณปล่อยตัวเธอไปง่ายๆ แบบนั้นได้ยังไงกัน”
ฉือผิงฮุยยิ้มอย่างขมขื่น “ไม่ปล่อยไม่ได้หรอก เบื้องบนหลายคน้าให้หลี่เยว่หรูถูกประกันตัวไป ตอนนี้เธอยังไม่ถูกตัดสินความผิดก็จริง ถึงเธอจะมีความผิด แต่คงไม่ได้รับโทษหนักเกินไปหรอก มันก็แค่ทำร้ายร่างกายเท่านั้นเอง แล้วเธอก็สัญญาว่าจะชดเชยเงินเต็มจำนวนด้วย พวกเราเลยไม่มีเหตุผลที่จะกักตัวเธอไว้ แต่คุณมั่นใจได้เลย เพราะผมได้จัดคนคอยจับตาดูเธอไว้แล้ว แถมเธอก็ตกลงด้วยว่า่นี้จะไม่ออกจากฮ่องกง”
จ้าวอี้ครุ่นคิด มันเป็เช่นนี้จริงๆ
“ผม้าประกันตัวโจวเหวินิ ไม่มีปัญหาใช่ไหมครับ? ผมแค่ปล่อยให้เขาไปสูดอากาศบริสุทธิ์บ้าง และก็ทำให้มั่นใจว่าเขาจะไม่ออกจากฮ่องกงเท่านั้น มันผ่านมาหลายวันแล้ว แถมข้อกล่าวหาของเขาก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรเลยด้วย”
จ้าวอี้เสนอคำขอนี้ขึ้นมา
ฉือผิงฮุยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ก็ได้ ผมเห็นด้วย”
มองแสงตะวันยามเย็นที่ค่อยๆ สลัวลง อารมณ์ของเหล่าโจวมีมากมายไร้ที่สิ้นสุด
“ครั้งนี้ต้องขอบใจนายมากๆ ไม่งั้นฉันก็ไม่รู้ว่าจะต้องอยู่ในนี้ไปอีกนานแค่ไหน”
“เื่ยังไม่จบหรอกครับ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่พบเงื่อนงำการเสียชีวิตของหลี่ต้าเฮิงเลยครับ แล้วคุณก็ยังเป็ผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งอยู่ ที่ผมทำไปก็เพื่อให้คุณได้เป็อิสระบ้าง ถ้าไม่มีพยานหลักฐานใหม่ ผมเกรงว่าคุณอาจต้องเผชิญกับการถูกดำเนินคดีอาญา” ที่จ้าวอี้พูดเป็ความจริง และข้อสงสัยก็ยังคงเป็ข้อสงสัย หลักฐานในตอนนี้ล้วนชี้ไปที่เหล่าโจว ซึ่งมันไม่ดีต่อเหล่าโจวเป็อย่างมาก
“ฉันรู้ว่านายทำสุดความสามารถแล้ว เื่นี้ให้ฟ้าเป็ผู้ลิขิตเถอะ พวกเราไปดื่มกัน!” เหล่าโจวกลับมองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เข้ามาตบไหล่จ้าวอี้
ทั้งสองคนเลือกร้านอาหารตามสั่งร้านหนึ่ง ดื่มเหล้าไปด้วยพูดคุยไปด้วย
ระหว่างที่คุยกัน ก็พูดถึงตัวหลิวฉิน
“มันแปลกมาก ในบ้านของหลิวฉิน ผมพบกระจกทองแดงบานหนึ่งด้วย กระจกทองแดงบานนี้เหมือนกับที่พวกเราพบในบ้านเฉิงเซินเลยล่ะครับ”
เหล่าโจวมีท่าทางจริงจังขึ้นในพริบตา “นายแน่ใจนะ?”
“แน่ใจครับ กระจกทองแดงบานนี้เป็ของกลางชิ้นสำคัญ ตอนนี้ถูกเก็บไว้ในห้องเก็บของกลางครับ หลี่เยว่หรูใช้มันทำร้ายหลิวฉิน จนถึงวันนี้หลิวฉินก็ยังไม่ฟื้นเลยครับ”
“ก็ไม่แปลก กระจกทองแดงนั่นมันชั่วร้ายมาก นายอาจไม่เชื่อ แต่นี่เป็เื่จริง ฉันคิดว่าหลิวฉินคงจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานแล้วล่ะ”
เหล่าโจวกล่าวอย่างมีลับลมคมใน ท่าทางแปลกมาก
“จะเป็ไปได้ยังไงกันครับ? ตอนนี้อาการของหลิวฉินคงที่แล้วนะครับ ถึงแม้เธอจะยังไม่ได้สติ แต่แพทย์ก็วินิจฉัยแล้วว่ามันเป็เื่ของเวลาจนกว่าเธอจะฟื้นขึ้นมา”
“ก็หวังว่าจะเป็อย่างนั้นล่ะนะ ตอนนี้ฉันก็เหมือนพระโพธิสัตว์ข้ามแม่น้ำ ตัวเองยังคุ้มครอง2ยากเลย เื่นี้ฉันคงทำอะไรไม่ได้หรอก” เมื่อนึกถึงสถานการณ์ที่ตนเองเผชิญอยู่ เหล่าโจวก็ยิ้มอย่างขมขื่น แล้วดื่มเหล้าเข้าไปอีกอึกใหญ่
เหล่าโจวดื่มจนเมา จ้าวอี้พาเขาไปส่งที่โรงแรมที่ตนพักอยู่ เป็ห้องคู่มาตรฐานที่ทั้งสองคนพักอยู่ด้วยกัน ั้แ่ประกันตัวเหล่าโจวมา และทำข้อตกลงกับฉือผิงฮุยไว้ว่าเหล่าโจวจะไม่สามารถออกจากฮ่องกงได้นั้น จ้าวอี้ก็ไม่อยากให้เกิดเื่ไม่คาดฝันใดๆ ขึ้น
หลังจัดท่าทางให้เหล่าโจวเสร็จ เสียงโทรศัพท์ของจ้าวอี้ก็ดังขึ้น
มองเหล่าโจวที่หลับสนิทไปแล้ว จ้าวอี้ครุ่นคิด ก่อนจะตัดสินใจไปรับโทรศัพท์ที่ประตู
ตอนที่เขาปิดประตูนั้น เขาไม่ได้สังเกตเลยว่า เหล่าโจวที่ควรจะหลับสนิทไปแล้ว กลับลืมตาขึ้นทันที สองตาสดใส ไม่มีร่องรอยของอาการมึนเมาแม้แต่น้อย?
“ฮัลโหล? นึกยังไงถึงโทรหาฉันเนี่ย?”
คนที่โทรมาเป็คนคุ้นเคยของจ้าวอี้ หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในหน่วยพิเศษของเขา เป็ที่รู้จักกันในชื่อเจี่ยงจาวตี้ ดอกไม้ผู้พิชิตแห่งกองทัพ
ดูจากชื่อก็พอจะบอกได้ว่าพ่อแม่ของเธอหวังว่าจะมีลูกชาย แต่ตามที่จ้าวอี้เข้าใจนั้น พวกเขามีลูกสาวเพียงคนเดียว ดังนั้นจึงเลี้ยงเธอมาแบบลูกผู้ชาย เข้าร่วมกองทัพและฝึกฝนด้วยกัน ท้ายที่สุด ลูกสาวของพวกเขาก็เข้ามายืนอยู่ในหน่วยพิเศษที่มีผู้ชายอยู่เป็จำนวนมาก
จ้าวอี้มั่นใจว่าเธอพึ่งพาความแข็งแกร่งของตนเองมาั้แ่แรก จ้าวอี้ไม่เคยให้สิทธิพิเศษใดๆ ที่เป็ผลมาจากเพศสภาพของเธอ จินตนาการได้เลยว่า ฉายาดอกไม้ผู้พิชิตแห่งกองทัพนั้นไม่มีส่วนประกอบของความชุ่มชื่นอยู่เลย
“จ้าวอี้ ฉันออกจากกองทัพแล้วนะ ฉันอยู่ที่เมือง J ตอนนี้นายอยู่ที่ไหนน่ะ ออกมาดื่มกับฉันหน่อยสิ!” สาวแก่นก็คือสาวแก่น เธอเอ่ยถึงเป้าหมายของตนเองอย่างร่าเริง
“ทำไมเธอถึงออกล่ะ?”
จ้าวอี้ประหลาดใจมาก แต่เขาก็รู้ดีว่า พ่อแม่ของเจี่ยงจาวตี้เป็คนใหญ่คนโตในกองทัพ ไม่เหมือนคนธรรมดาเช่นตน
“ไม่มีอะไรหรอก คนที่บ้านไม่อยากให้ฉันไปเสี่ยงอันตรายอีกแล้วน่ะ เพราะงั้นฉันก็เลยลาออก ตอนนี้ยังไม่ได้วางแผนว่าจะทำงานอะไรหรอก ฉันอยากเจอนายน่ะ”
เจี่ยงจาวตี้ไม่อยากคุยเื่นี้อีก
พ่อแม่ของเธอไม่ได้อยากให้เธอถอนตัวแบบนี้ การที่เจี่ยงจาวตี้สามารถขึ้นมาถึงระดับนี้ได้นั้น เธอต้องเสียหยาดเหงื่อมากกว่าผู้ชาย ต้องรู้ไว้ว่า เธอไม่ได้มีตำแหน่งพลเรือน เธอมีเงินทองมากมาย หากพูดว่าจะถอนตัวก็ถอนตัว จะมีที่ไหนง่ายดายขนาดนี้?
“ฉันมาทำธุระที่ฮ่องกงน่ะ ไม่กี่วันก็จะกลับไปแล้ว”
จ้าวอี้อธิบายสถานการณ์ของตัวเองอย่างง่ายๆ จากนั้นก็เล่าถึงความลำบากที่ตนต้องเผชิญ
เขาไว้ใจเจี่ยงจาวตี้อย่างไม่มีเงื่อนไข จ้าวอี้เชื่อว่าถ้ามีอันตรายเกิดขึ้น เจี่ยงจาวตี้จะต้องเข้ามารับะุแทนตนอย่างไม่ลังเลแน่ และเขาก็จะทำแบบนี้เช่นเดียวกัน ในมุมมองของเขานั้น นี่เป็มิตรภาพของเพื่อนร่วมรบที่ผ่านการทดสอบในสนามรบมาแล้ว
“อะไรนะ? พวกนายถูกยิงเหรอ? เป็ไงบ้าง? นายได้รับาเ็หรือเปล่า ฉันจะบินไปฮ่องกงคืนนี้เลย ไอ้เวรคนไหนมันทำกัน กล้ามาตอแยหัวหน้าหน่วยของฉันงั้นเหรอ มันคงไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่ออีกแล้วสินะ!” น้ำเสียงของเจี่ยงจาวตี้เคร่งเครียดอย่างมาก เต็มเปี่ยมไปด้วยความชั่วร้าย
“ฉันไม่เป็ไรหรอก ไม่งั้นจะมาคุยกับเธอได้ยังไงเล่า? เพียงแต่คดีนี้มันไม่ง่ายที่จะรับมือเท่าไรน่ะ”
จ้าวอี้รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและการปลอบโยนเจี่ยงจาวตี้ที่โมโหอยู่ อย่าได้คาดหวังถึงอารมณ์ที่ดีๆ จากสาวแก่นที่ฝึกฝนร่วมกับกลุ่มผู้ชายมาโดยตลอดเลย
เจี่ยงจาวตี้ที่อยู่ปลายสายเริ่มใจเย็นลง “ในความคิดของฉันนะ การที่มีคนลอบสังหารพวกนายมันต้องไม่ไร้เหตุผลแน่นอน แถมพวกนายก็ไม่ได้ไปผิดใจกับใครด้วย ผู้หญิงที่นายพูดถึงก็น่าสงสัยมาก มันก็ไม่แน่หรอกนะ ไม่อย่างนั้นเธอคงฉวยโอกาสกำจัดพวกนายตอนที่ขึ้นเขาไปแล้ว แต่เธอกลับเลือกลงมือตอนลงเขา บางทีอาจจะมีเหตุผลอื่นอยู่ก็ได้”
เมื่อจ้าวอี้ได้ยิน ดวงตาก็เป็ประกายขึ้น “ที่เธอพูดก็มีเหตุผล พวกเราแค่ไปเลือกจุดที่จะทำพิธีฝังเท่านั้นเอง สุสานนี้มีมันปัญหาหรือไงกัน? ใช่แล้ว ตอนนั้น พื้นดินตรงนั้นนุ่มมาก เหมือนจะมีร่องรอยการถูกขุดค้นด้วย”
“งั้นนายก็ลองดูสิ เอาอย่างนี้ละกัน คืนนี้ฉันจะดูว่ามีเครื่องบินไปฮ่องกงไหม ฉังคงไปถึงที่นั่นอย่างช้าที่สุดก็พรุ่งนี้ เท่านี้แหละ ฉันไปสนามบินก่อนนะ!” เจี่ยงจาวตี้เอ่ยอย่างเร่งรีบก่อนจะตัดสาย
“เธอไม่ต้องมาหรอกน่า พักผ่อนอยู่ที่เมือง J เถอะ แล้วฉันจะรีบกลับไป”
พูดตามตรง แม้ตอนนั้นจ้าวอี้จะเป็หัวหน้า แต่จ้าวอี้ก็กลัวดอกไม้ผู้พิชิตแห่งกองทัพคนนี้อยู่เล็กน้อย เหตุผลนั้นง่ายมาก เพราะเห็นได้ชัดเลยว่าท่าทางของเจี่ยงจาวตี้ที่มีต่อจ้าวอี้นั้นไม่เหมือนกับคนอื่น อย่างเช่น บางครั้งเธอช่วยจ้าวอี้ซักผ้า ก็ซักเสียจนเสื้อผ้าขาด เวลาทำอาหาร อาหารจานนั้นจะมีเนื้อเยอะมาก แต่ก็กึ่งสุกกึ่งดิบ…และยังมีเื่อื่นๆ อีกไม่น้อย จ้าวอี้ไม่ใช่คนโง่ เขาจะไม่เข้าใจความหมายได้อย่างไรกัน?
เพียงแต่ ในฐานะเ้าหน้าที่ของหน่วยพิเศษคนหนึ่ง ณ ตอนนั้น มีวันนี้ก็อาจไม่มีพรุ่งนี้ก็ได้ ความเป็ความตายถือเป็เื่ปกติ จ้าวอี้ไม่กล้าคาดหวังกับเื่เช่นนี้ เขากลัวว่าถ้าตนเองต้องเสียสละจริงๆ มันจะไม่เป็การทำให้อีกฝ่ายเสียเวลาหรอกหรือ?
“นายไม่มีคนที่ไว้ใจได้อยู่ที่นั่นเลยนะ ฉันจะไปช่วยนายอีกแรงหนึ่ง พอจัดการคดีเสร็จก็เที่ยวเล่นอยู่ที่ฮ่องกงสักหน่อย ฉันยังไม่เคยไปฮ่องกงเลย! เอาแบบนี้แหละ” เจี่ยงจาวตี้ไม่เปิดโอกาสให้พูดแล้วก็ตัดสายไป
เมื่อได้ยินเสียงสายไม่ว่างในโทรศัพท์ จ้าวอี้ก็นิ่งงันแล้วส่ายหน้า นี่เป็นิสัยของดอกไม้ผู้พิชิตแห่งกองทัพ
เธอเต็มใจจะมาก็มาแล้วกัน
อีกทั้ง จ้าวอี้คิดว่า สิ่งที่เจี่ยงจาวตี้พูดก็ไม่ได้ไร้เหตุผลเสียทีเดียว
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเตรียมการมาั้แ่แรกแล้ว ไม่มีความแตกต่างระหว่างการลงมือทั้งตอนขึ้นเขาหรือตอนลงเขา ตามปกติแล้วยิ่งเร็วก็ยิ่งดี แต่อีกฝ่ายเลือกลงมือตอนลงเขา มันไม่มีเหตุผลอื่นอีก ดูเหมือนว่าน่าจะตรวจสอบได้อยู่
-------------------------------------------
1 เปรียบเปรย หมายถึง คนที่ดูิ่คนที่ต่ำต้อยกว่า
2 เปรียบเปรย หมายถึง ตัวเองยังเอาตัวไม่รอดแล้วจะไปปกป้องคนอื่นได้อย่างไร