“แปะ!”
เมื่อเห็นหนังสือเล่มนี้ที่ชัดเจนว่าเกี่ยวข้องกับศาสตร์มืด เดม่อนแสดงสีหน้ารังเกียจทันที
ศาสตร์มืด เวทมนตร์ที่ต้องอาศัยอารมณ์ด้านลบอย่างรุนแรงถึงจะแสดงพลังออกมาได้อย่างเต็มที่ พ่อมดแม่มดทุกคนที่คลั่งไคล้พลัง ล้วนเคยหลงใหลในมันอย่างบ้าคลั่ง
แต่ในสายตาของเดม่อนแล้ว ไอ้นี่นอกจากจะไม่มีเวทป้องกันแล้ว ก็ไม่มีข้อดีอะไรเลย
ยังไม่ต้องพูดถึงว่าศาสตร์มืดมีความเสี่ยงที่จะกัดกร่อนจิตใจ พวกผู้เสพความตายที่เก่งกาจแทบทุกคน ล้วนไม่มีใครที่สภาพจิตยังปกติดี
แม้แต่คำสาปให้อภัยไม่ได้ทั้งสามที่ดูน่ากลัวนักหนา (คำสาปกรีดแทง, คำสาปสะกดจิต และที่โด่งดังที่สุดคือ คำสาปพิฆาต “อาวาดา เคดาฟร้า”) จริงๆ แล้วล้วนต้องใช้ความรู้สึกด้านลบอย่างแรงกล้า จึงจะได้ผล
นักเรียนฮอกวอตส์ชั้นปีห้าใช้คำสาปพิฆาต อาจได้ผลแค่ทำให้พ่อมดอีกคนเืกำเดาไหลเท่านั้น
หมายความว่า แค่เรียนรู้คาถานี้ยังไม่พอ ยังต้องสะกดจิตตัวเองทุกวันว่า
“เราคือฆาตกร! เราฆ่าคนไม่กระพริบตา! เราเกลียดโลกใบนี้!”
ปลุกปั่นความมืดในใจให้เข้มข้นขึ้น ถึงจะมีพลังมากขึ้น
แต่สำหรับเดม่อนผู้เป็อัจฉริยะรอบด้าน การเรียนศาสตร์มืดมันเสียเวลาชัดๆ
การแปลงร่างมันยังไม่เก่งพอเหรอ? คิดคาถาเองมันไม่น่าสนใจกว่ารึไง?
เอาเวลามาหลอกตัวเองให้กลายเป็โรคจิตเนี่ย สู้เอาไปฝึกคาถาและแปลงร่างให้ถึงขีดสุดไม่ดีกว่ารึ?
แถม...เขามาอยู่ในโลกนี้ ทุกวันมีความสุขแทบตาย จะให้เขาเกลียดโลกเหรอ? เขาทำไม่ลงหรอก!
“แปะ”
เดม่อนโยน ‘การเปิดเผยศาสตร์มืดชั้นสูง’ ที่เพิ่งหยิบขึ้นมา ลงกับพื้นทันที
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่วางใจ คว้าไม้กายสิทธิ์ออกมา เสกคาถาใส่มือที่เพิ่งแตะหนังสือไปว่า
“Expurgo Malum (ขจัดความชั่ว)!”
“Surgito (ล้างมนต์คำสาป)!”
“Scourgify (ทำความสะอาด)!”
หลังจากนั้น เขายังไม่วางใจ ใช้เวทระดับจุลภาคตรวจสอบอีกที เพื่อยืนยันว่าไม่มีสิ่งใดจากศาสตร์มืดติดมากับตนแน่นอน แล้วจึงเดินข้ามหนังสือเล่มนั้นไปตรงๆ โดยไม่แม้แต่จะมอง
ดูท่าทางของเด็กหนุ่มแล้ว ถ้าไม่ติดว่าอยู่ในห้องสมุด คงสบถออกมาแล้วด้วยซ้ำ
“มาดามพินส์! ทำไมในเขตต้องห้ามถึงมีหนังสือ ‘การเปิดเผยศาสตร์มืดชั้นสูง’ ถูกโยนทิ้งไว้แบบนี้?”
“ผมคิดว่าหนังสือชั่วร้ายแบบนี้ ไม่ควรอยู่ในห้องสมุดเลย ต่อให้เป็เขตต้องห้ามก็เถอะ! มันคือการเมินเฉยต่อความปลอดภัยและการศึกษาของนักเรียน!”
ในขณะที่เสียงอันมุ่งมั่นของเดม่อนดังก้องอยู่นอกประตู มือแก่ชราข้างหนึ่งก็โผล่มาอย่างเงียบเชียบ หยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้น แล้วหายไปอีกครั้ง
ในที่ที่ไม่มีใครเห็น เ้าของมือคู่นั้นทั้งรู้สึกพึงพอใจและละอายใจในเวลาเดียวกัน เขารู้ดีว่าตัวเองไม่น่าจะเอาหนังสือเล่มนั้นให้เด็กอ่านเลย ต่อให้แค่ทดสอบก็ตาม มันก็เกินไปหน่อย
แต่ก็อย่างน้อย ตอนนี้เขาก็โล่งใจลงได้อีกเปลาะหนึ่ง คราวนี้...เหลือแค่ก้าวสุดท้ายจริงๆ
หลังจากนั้น ดัมเบิลดอร์ก็คงจะเริ่มพิจารณาแล้วว่า ถึงเวลาเหมาะสมหรือยัง ที่จะเปิดเผยทุกอย่างต่อเด็กคนนี้
เดม่อนถือหนังสืออ้างอิงสองเล่มกลับมายังห้องนั่งเล่นรวม พวกสามตัวจิ๋วที่ไม่ค่อยได้เจอเขา่นี้ ต่างก็กรูกันเข้ามา
“เดม่อน นายว่างมั้ย?”
สีหน้าของทั้งสามคนดูเหมือนค้นพบทวีปใหม่ยังไงยังงั้น
“มีอะไรเหรอ?”
“คือว่า...” รอนกระซิบข้างหูเดม่อน “แฮกริดฟักไข่ัแล้ว นายอยากไปดูมั้ย?”
“ั?”
เดม่อนเงยหน้าขึ้นทันที นึกถึงเนื้อเื่ตอนหนึ่งขึ้นมาได้
แฮกริดได้ไข่ัหลังแหลมแห่งนอร์เวย์มาจากควีเรลล์ และหลุดปากพูดว่าเซอเบอรัส “ฟลัฟฟี่” ถูกกล่อมได้ด้วยเสียงดนตรี ตอนนี้มันฟักออกมาแล้วสินะ?
“พวกเธอนี่...ตอนนี้ไม่ควรคิดกันแบบกำลังจะไปสวนสัตว์ดูลิงเล่นนะ!”
เฮอร์ไมโอนี่ขัดขึ้นอย่างไม่พอใจ ัเป็สิ่งมีชีวิตที่อันตรายอย่างยิ่ง แฮกริดเลี้ยงเองแบบนี้ถือว่าผิดกฎหมายร้ายแรง
“เฮอร์ไมโอนี่พูดถูก” เดม่อนยิ้ม “นั่นยิ่งเป็เหตุผลที่เราควรรีบไปดูมันก่อนมันจะถูกส่งตัวไป”
คำตอบของเดม่อนทำให้สีหน้าเฮอร์ไมโอนี่ดูดีขึ้น ส่วนแฮร์รี่กับรอนก็ยิ่งดีใจที่ในที่สุดหาเื่ที่ดึงความสนใจของเดม่อนได้
พูดจริงๆ พวกเขาไม่ได้ใช้เวลาด้วยกันมากนัก่นี้
แต่ทั้งสามก็รู้สึกว่าเดม่อนดูยุ่งอยู่กับเื่สำคัญตลอด ถ้าไม่ใช่เื่ใหญ่อะไร พวกเขาก็ไม่กล้าไปรบกวนเขา
กิจกรรมแบบรวมกลุ่มแบบนี้ ถือเป็ครั้งแรกเลยก็ว่าได้
ทั้งสี่คนไปที่กระท่อมของแฮกริด และเดม่อนก็ได้เห็นัหลังแหลมแห่งนอร์เวย์ขนาดเท่ากิ้งก่าอย่างที่หวังไว้
แฮกริดทิ้งงานดูแลเขตล่าสัตว์ไว้ เพราะมัวแต่ยุ่งกับลูกัที่ทำเขาแทบไม่ได้นอน ขวดบรั่นดีเปล่าๆ กับขนนกไก่เต็มพื้น อาหารโปรดของัหลังแหลมแห่งนอร์เวย์
“ฉันตั้งชื่อมันว่านอร์เบิร์ต” แฮกริดพูดพร้อมน้ำตาคลอ “ตอนนี้มันจำฉันได้แล้ว ดูสิ! นอร์เบิร์ต! นอร์เบิร์ต! แม่อยู่ไหนจ๊ะ?”
สิ่งที่แฮกริดคาดไม่ถึงก็คือ ัที่เคยไม่สนใจใคร ตอนนี้กลับคลานตรงไปหาเดม่อน โบกปีกที่ยังไม่กางเต็มด้วยความดีใจ
เดม่อนยิ้ม ยื่นมือให้มัน มันก็ปีนขึ้นมือเขาทันที แล้วไต่ขึ้นไปบนไหล่ ก่อนจะพ่นประกายไฟอย่างเท่ห์ๆ
“โอ้พระเ้า...นอร์เบิร์ต...” แฮกริดอึ้งกับภาพัสุดที่รักสนิทสนมกับเดม่อนเกินหน้าเกินตาเขาเสียอีก
เดม่อนเกาใต้คางัน้อย แล้วพูดเื่ที่แฮร์รี่กับคนอื่นเป็ห่วง:
“แฮกริด นายเลี้ยงมันไว้แบบนี้ไม่ได้หรอก ัหลังแหลมแห่งนอร์เวย์โตเร็วมาก อีกสองสัปดาห์ มันจะตัวใหญ่เท่าบ้านนายแล้วนะ”
แฮกริดกัดปากพูดว่า
“ฉันรู้...ฉันรู้ว่าเลี้ยงไว้ไม่ได้ แต่ฉันก็ทิ้งมันไม่ได้...ทำไม่ได้หรอก...”
แฮร์รี่เลยเสนอขึ้นว่า
“พี่ชายของรอนคือชาร์ลีอยู่ที่โรมาเนีย เขาวิจัยัอยู่ พวกเราน่าจะส่งนอร์เบิร์ตไปให้เขาเลี้ยง แล้วค่อยปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ”
แม้แฮกริดยังไม่อยากยอมรับ แต่แฮร์รี่กับรอนก็ดูออกว่าเขาเริ่มลังเลแล้ว ถ้าคุยอีกสักหน่อยคงจะยอม
แต่แล้วเดม่อนก็พูดขึ้นอย่างกะทันหันว่า
“เราสามารถเลี้ยงมันไว้ในป่าต้องห้ามได้นะ”
สามคนหันขวับมามองหน้าเดม่อน สีหน้าราวกับจะพูดว่า เดม่อน นายเสียสติแล้วเหรอ!?
แฮกริดก็มีสีหน้าแปลกประหลาดเช่นกัน พูดอย่างลังเลว่า
“จะ...จะได้เหรอ? ฉันกลัวว่านอร์เบิร์ตตอนโตจะฆ่าสัตว์ในป่าหมดเลยน่ะสิ”
“แน่นอน ก่อนหน้านั้น เราต้องฝึกให้มันเชื่องก่อน”
เดม่อนคว้าัน้อยจากไหล่ขึ้นมามองตาตรงๆ พร้อมกับเพิ่มแรงกดในมือเล็กน้อย
“แฮ่!!!”
ลูกัส่งเสียงร้องด้วยความไม่พอใจจากความเจ็บ มองเดม่อนอย่างไม่ไว้ใจอีกต่อไป
ท่ามกลางเสียงร้องใของทุกคน มันอ้าปากกว้าง แล้วกัดเข้าไปที่มือของเดม่อนอย่างแรง!
(จบบท)
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้