“พี่รอง ท่านไม่เข้าใจหลักการที่ว่า บิดามีเมตตา บุตรก็กตัญญู พี่น้องรักใคร่ปรองดองกันงั้นหรือ? เหตุใดพอท่านกลับจากเมืองหลวง ก็มาทำให้ครอบครัวแตกแยกเช่นนี้เล่า?”
“ท่านเคยคิดหรือไม่ว่า พี่ใหญ่กับพี่สามแยกบ้านออกไปแล้ว มีไร่ผืนเล็กๆ เพียงสองหมู่ จะใช้ชีวิตกันอย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น รอข้าสอบได้เป็ขุนนาง พวกเขาสองบ้านที่แยกออกไปแล้ว ก็ไม่มีโอกาสได้มาพึ่งพาบารมีข้าอย่างแน่นอน!”
อวิ๋นโส่วจงยิ้มเยาะ “เช่นนั้นที่เ้ามาวันนี้ ก็เพื่อมาตำหนิข้าอย่างนั้นหรือ?”
อวิ๋นโส่วหลี่สะบัดแขนเสื้อด้วยท่าทางหยิ่งผยอง “หาใช่เช่นนั้นไม่ เพียงแต่ท่านพ่อกับพี่น้องมาหาถึงที่ ท่านกลับต้อนรับพวกเขาด้วยน้ำชาที่เย็นจนจืดชืด ไร้ซึ่งไมตรีจิต”
“แถมยังปล่อยให้รออยู่ทั้งบ่ายโดยไม่สนใจไยดี นี่ช่างเป็การกระทำที่ไม่กตัญญูต่อบุพการีและไร้มิตรภาพต่อพี่น้องโดยแท้! ข้าทนดูไม่ได้ จึงได้เอ่ยตำหนิท่านเพียงเท่านี้!”
อวิ๋นโส่วจงนั่งลงอย่างไม่ใส่ใจ ชุนเหมยยกน้ำชาร้อนมาให้ จากนั้นก็ถอยออกไปโดยไม่สนใจผู้เฒ่าอวิ๋นกับอวิ๋นโส่วหลี่เลยแม้แต่น้อย อวิ๋นโส่วหลี่เห็นดังนั้นก็โกรธจนหน้าซีดเผือด
อวิ๋นโส่วจงค่อยๆ จิบชาอย่างใจเย็น จากนั้นก็เอ่ยถามอย่างไม่รีบร้อน “เ้าก็พูดเองมิใช่หรือว่า บิดามีเมตตา บุตรก็กตัญญู พี่น้องรักใคร่ปรองดองกัน? สิ่งสำคัญคือ บิดาต้องมีเมตตา และน้องต้องเคารพเชื่อฟัง ในเมื่อทั้งสองข้อนี้พวกเ้ายังทำไม่ได้ แล้วจะมาเรียกร้องให้ข้ากตัญญูและมีมิตรภาพได้อย่างไร?”
“ท่าน...” อวิ๋นโส่วหลี่ลุกขึ้นยืน ชี้นิ้วไปที่อวิ๋นโส่วจง ทั้งร่างสั่นสะท้านด้วยความโกรธ
อวิ๋นโส่วจงพูดต่อด้วยน้ำเสียงดูถูก “ยิ่งไปกว่านั้น ข้าก็ไม่ได้อกตัญญู ไปถามคนทั้งหมู่บ้านดูสิ ว่ามีใครบ้างที่แยกบ้านออกมาแล้ว ยังให้เงินท่านพ่อเป็ค่าเลี้ยงดูปีละสิบตำลึงเงิน? กลับเป็เ้าเสียอีก พอมาถึงก็แสดงกิริยาไม่เคารพผู้เป็พี่เช่นนี้ ไม่รู้ว่าวิชาความรู้ที่ร่ำเรียนมาหลายปี เอาไปไว้ที่ไหนหมดแล้ว? หรือว่าเอาไปใส่ไว้ในท้องสุนัขหมดแล้ว?”
“ท่าน...” อวิ๋นโส่วหลี่โกรธจนแทบระงับอารมณ์ไม่อยู่ เืแทบพุ่งขึ้นมาจุกอยู่ในลำคอ จะกลืนก็ไม่ได้ จะคายก็ไม่ออก
“เดิมทีข้าเชิญอาจารย์ที่สำนักศึกษาให้มาสอนเพิ่มเติมเป็การส่วนตัวสองสามวันก่อนสอบ ท่านพ่อเห็นว่าบุตรชายของท่านก็กำลังศึกษาเล่าเรียนอยู่ จึงพาข้ามาที่นี่ ตั้งใจจะมาบอกให้ท่านทราบ ่สองสามวันนี้จะได้พาบุตรชายของท่านไปฟังอาจารย์สอนเป็การส่วนตัวด้วยกัน”
“ถึงแม้ว่าเขาจะยังเด็กเกินไป ฟังไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ฟัง แต่ไม่คิดเลยว่าท่านกลับ... ช่างเถิด! ในเมื่อท่านไม่เห็นคุณค่า เห็นความหวังดีของท่านพ่อเป็สิ่งไร้ค่า ไม่เห็นข้าผู้เป็น้องชายอยู่ในสายตา เช่นนั้นก็ช่างเถิด! ท่านพ่อ พวกเรากลับกัน!”
ผู้เฒ่าอวิ๋นมองอวิ๋นโส่วจงด้วยความผิดหวัง บ้านของอวิ๋นโส่วจงไม่เพียงซื้อที่ดิน ทำการค้ากับร้านฝูหรงเซวียนในอำเภอ คราวนี้ยังลงทุนซื้อที่ดินถึงยี่สิบหมู่เพื่อสร้างบ้านอีก
เดิมทีเขาตั้งใจจะพาอวิ๋นโส่วหลี่มาทำความรู้จักกัน และแสดงความหวังดี เผื่อว่าจะกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองบ้านได้ แต่ทัศนคติของเ้ารองช่าง... เฮ้อ!
“เ้ารอง พวกเราก็หวังดีนะ เพียงแต่น้องห้าของเ้านิสัยตรงไปตรงมาไปเล็กน้อย เ้าก็อย่าถือสาเลย”
เว้นวรรคครู่หนึ่ง เขาก็พูดต่อ “คนตระกูลเดียวกันย่อมมีสายเืเดียวกัน พวกเ้าเป็พี่น้องกัน เืข้นกว่าน้ำ ยามที่เกิดเื่อันใดขึ้นมา มีคนช่วยเหลือย่อมดีกว่า เ้า...”
อวิ๋นโส่วจงลุกขึ้นยืน “ท่านพ่อ หน้าที่ที่ข้าควรทำ ข้าย่อมทำอย่างเต็มที่ ส่วนเื่อื่นๆ ครอบครัวของข้าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวเด็ดขาด น้องห้ามีเส้นทางของน้องห้า พวกเราก็ใช้ชีวิตของพวกเรา น้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง [1] ต่างคนต่างอยู่ ไม่เกี่ยวพันกัน! ในเมื่อน้องห้าไม่ชอบหน้าพี่ชายอย่างข้า เช่นนั้นข้าก็ไม่ขอรั้งไว้แล้ว”
อวิ๋นโส่วหลี่ได้ยินดังนั้นก็โกรธจนหน้าดำคล้ำ เขาชี้นิ้วไปที่อวิ๋นโส่วจง “ท่านอย่ามาเสียใจภายหลังก็แล้วกัน! อย่าคิดว่ามีเงินอยู่ในชนบทแล้วจะราบรื่นทุกอย่าง ในบ้านไม่มีคนที่มีตำแหน่งคอยหนุนหลัง ท่านคิดว่าความร่ำรวยของท่านจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน?”
อวิ๋นโส่วจงพูดด้วยสีหน้าเ็า “เื่นี้ไม่ต้องให้น้องห้ากังวลหรอก เชิญกลับได้แล้ว ข้าไม่ส่ง!”
ผู้เฒ่าอวิ๋นมองลูกชายคนเล็กหัวแก้วหัวแหวน แล้วมองไปที่ลูกชายคนที่สองที่จากบ้านไปั้แ่เด็กและมีความคิดหนักแน่นเป็ของตัวเอง ในใจรู้สึกหนักอึ้ง การเชิญให้อาจารย์มาชี้แนะย่อมต้องใช้เงิน เขาคิดว่าจะพาอวิ๋นฉี่เยว่ไปด้วย อย่างน้อยเ้ารองก็น่าจะออกเงินให้บ้าง ไม่คิดเลยว่า...
พอมาถึงก็ทะเลาะกันเสียแล้ว สุดท้ายผู้เฒ่าอวิ๋นก็ทำได้เพียงเดินตามลูกชายคนเล็กที่โกรธเกรี้ยวออกจากบ้านไปด้วยแผ่นหลังที่ค่อมลงเล็กน้อย
หลังครอบครัวกินอาหารเย็นเสร็จ อวิ๋นฉี่เยว่กับอวิ๋นฉี่ซานก็พากันไปที่บ้านของอาจารย์ตั่งกับอาจารย์หม่า อาจารย์ตั่งจะสอนวิชาช่างให้อวิ๋นฉี่ซานเป็เวลาหนึ่งชั่วยาม ส่วนอาจารย์หม่าจะชี้แนะเื่ข้อสอบเคอจวี่ให้อวิ๋นฉี่เยว่หนึ่งชั่วยาม
เดิมทีอวิ๋นฉี่ซานมักจะชมเชยพี่ชายต่อหน้าอาจารย์ทั้งสองอยู่เสมอ ว่าพี่ใหญ่ของเขามีสติปัญญายอดเยี่ยมเพียงใด ในคืนหนึ่งระหว่างที่อาจารย์ทั้งสองกำลังกินอาหารเย็นที่บ้านตระกูลอวิ๋น ก็เลยถือโอกาสทดสอบความรู้ของอวิ๋นฉี่เยว่ดูสักครา ผลปรากฏว่าทำให้อาจารย์ทั้งสองคนรู้สึกเสียดายพร์ในตัวเขาอย่างยิ่ง
อวิ๋นฉี่เยว่เป็ต้นกล้าแห่งการเรียนรู้ที่หายากอย่างแท้จริง ทั้งความรู้และวิสัยทัศน์ต่างก็ทำเอาพวกเขาทั้งสองคนประหลาดใจ ต่อมาอาจารย์หม่าจึงให้โจทย์อวิ๋นฉี่เยว่แต่งร้อยแก้วแปดบท [1] ผลปรากฏว่าอวิ๋นฉี่เยว่สามารถเขียนออกมาต่อหน้าอาจารย์ทั้งสองได้อย่างคล่องแคล่ว ราวกับว่าบทความนี้แต่งไว้ในใจนานแล้ว เพียงลงมือเขียนก็สำเร็จในคราวเดียว
แม้ว่าอาจารย์ทั้งสองจะให้คำแนะนำเกี่ยวกับบทความนั้นอยู่บ้าง แต่จากสีหน้าของพวกเขา คนในตระกูลอวิ๋นต่างก็มองออกว่าทั้งคู่ชื่นชมอวิ๋นฉี่เยว่เป็อย่างมาก
ั้แ่วันนั้นเป็ต้นมา อาจารย์ทั้งสองจึงตกลงกันว่าอาจารย์หม่าจะสอนอวิ๋นฉี่เยว่เป็เวลาหนึ่งชั่วยามทุกคืน ส่วนอาจารย์ตั่งก็จะหาเวลาว่างมาช่วยตรวจข้อสอบที่อาจารย์หม่าออกให้อวิ๋นฉี่เยว่
ผู้เฒ่าเฉียวก็เป็คนปากหนัก เมื่อเห็นว่าตระกูลอวิ๋นและอาจารย์ทั้งสองไม่มีท่าทีจะเปิดเผยฐานะที่แท้จริง เขาก็เก็บเื่นี้ไว้เป็ความลับ ไม่เคยปริปากพูดกับใคร ดังนั้นชาวบ้านจึงไม่มีใครรู้ว่า อาจารย์ทั้งสี่คนที่ตระกูลอวิ๋นจ้างมาช่วยสร้างบ้านนั้นมีภูมิหลังอย่างไร
ผู้เฒ่าอวิ๋นไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งที่อวิ๋นโส่วจงเช่าบ้านอีกหลังหนึ่งเพื่อให้อาจารย์ตั่งและคนอื่นๆ พักอาศัย เพียงแค่ช่างฝีมือไม่กี่คน ไม่เพียงแค่ให้ที่พักอาศัยเท่านั้น ยังซื้อสาวใช้สองคนและคนรับใช้อีกสองคนมาคอยปรนนิบัติ นี่มัน...
เขาเป็บิดาผู้ให้กำเนิดของมันแท้ๆ ไฉนถึงไม่เคยเอาใจใส่เขาเช่นนี้บ้าง หากเขารู้ว่าในบรรดาคนทั้งสี่ที่อวิ๋นโส่วจงให้การต้อนรับดูแลอยู่นั้น มีถึงสองคนที่เป็จิ้นซื่อในรัชศกหงอู่ คงจะรีบพาอวิ๋นโส่วหลี่มาที่นี่เป็แน่
น่าขันที่อวิ๋นโส่วหลี่ยังคงภูมิใจที่เขาจ้างบัณฑิตซิ่วไฉจากสำนักศึกษา มาชี้แนะข้อสอบให้เป็การส่วนตัว คิดว่าการพาอวิ๋นฉี่เยว่ไปด้วยนั้น เป็บุญคุณอันใหญ่หลวงของเขา!
อวิ๋นฉี่เยว่กับอวิ๋นฉี่ซานไปที่บ้านของอาจารย์ทั้งสี่ท่านแล้ว ส่วนอวิ๋นเจียวก็อยู่คุยกับอวิ๋นโส่วจงและฟางซื่อที่ห้องโถง
ฟางซื่อกำลังปักผ้า ส่วนอวิ๋นเจียวกำลังถักเชือกร้อยกระดุม เป็งานฝีมือที่อวิ๋นเหลียนเอ๋อร์เพิ่งสอนนางเมื่อไม่นานมานี้ พอพูดถึงอวิ๋นโส่วหลี่ที่มาเยี่ยมเป็ครั้งแรก ทุกคนต่างก็ขมวดคิ้ว
อวิ๋นโส่วจงเอ่ยขึ้น “ตอนนี้ที่บ้านจ้างผู้คุ้มกันหญิงมาสองคน แต่ข้าคิดว่ายังไม่พอ เพียงแต่ถ้าจ้างเพิ่มอีกสองคน บ้านก็ไม่มีที่พอให้อยู่” เพราะตอนนี้ที่บ้านมีห้องน้อยเกินไป ตอนกลางคืนผู้คุ้มกันหญิงทั้งสองคนจึงต้องไปนอนที่บ้านของอาจารย์าุโทั้งสี่ท่าน
ฟางซื่อเอ่ยว่า “อย่าเพิ่งรีบร้อน รอให้บ้านของพวกเราสร้างเสร็จก่อนเถิด ถึงตอนนั้นคงต้องจ้างคนเพิ่มอีกมาก พอมีห้องพักคนรับใช้และประตูบ้านหลายชั้น คนนอกก็คงไม่สามารถเข้ามาได้ง่ายๆ” อวิ๋นโส่วจงพยักหน้าเห็นด้วย
อวิ๋นเจียวกลอกตาไปมา แล้วพูดแทรกขึ้นมาว่า “ท่านแม่ จ้างช่างปักมาอีกสองคนเถิดเ้าค่ะ”
ฟางซื่อได้ยินดังนั้นก็ใเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มๆ “อืม ควรจ้างช่างปักมาเพิ่มอีกสองคน เจียวเอ๋อร์ช่างคิดได้รอบคอบจริงๆ”
จากนั้นก็พูดต่อ “รอให้บ้านใหม่สร้างเสร็จ ข้าจะหาฤกษ์แต่งงานให้ชุนเหมยกับอากุ้ย พวกเขาทั้งคู่เป็คนซื่อสัตย์และหนักแน่น ถึงตอนนั้นให้คนหนึ่งเป็คนดูแลงานนอกบ้าน และอีกคนดูแลงานในบ้าน”
เชิงอรรถ
[1] น้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง (井水不犯河水) หมายถึง ต่างคนต่างอยู่ ไม่ยุ่งเกี่ยวกันหรือไม่รบกวนซึ่งกันและกัน
[1] ร้อยแก้วแปดบท (八股文) รูปแบบการเขียนเรียงความที่ใช้ในการสอบคัดเลือกขุนนางหรือเคอจวี่ ซึ่งมีรูปแบบที่เข้มงวดและซับซ้อน เป็การเขียนตอบข้อสอบโดยแบ่งเป็แปดตอน
[2] จิ้นซื่อ (进士) เป็ตำแหน่งบัณฑิตที่ผ่านการสอบหน้าพระที่นั่ง ในระบบการสอบคัดเลือกขุนนางของจีนในสมัยโบราณ ผู้ที่มีคะแนนสูงสุดจะเรียกว่า จอหงวน