10 ตุลาคม พ.ศ. 2454 เมื่อกลุ่มจลาจลอู่ชางลุกฮือ จักรพรรดิผู้รับผิดชอบปกป้องบ้านเมืองในเมืองหลวงตระหนักได้ว่าจุดจบใกล้จะมาถึงแล้ว และด้วยวิสัยทัศน์ที่มองไปข้างหน้า เขาได้นำอัศวินชั้นยอด 1,000 นาย รวมทั้งสมาชิกครอบครัวขนของมีค่าออกมาด้วย นอกจากนี้ยังมีปืนต่างประเทศและปืนใหญ่ซึ่งซูสีไทเฮาทิ้งไว้ในโกดังและไม่เคยเหลียวแล ครอบครัวของพวกเขาย้ายไปอยู่ที่หมู่บ้านเบเลอร์จวบจนปัจจุบัน
เป็ไปตามที่คาดการณ์ไว้ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2455 ปูยีได้ประกาศสละราชสมบัติ ราชวงศ์ชิงถูกถอดออกจากเวทีประวัติศาสตร์อย่างเป็ทางการ จักรพรรดิได้เสร็จสิ้นขั้นตอนแรกของการวางรากฐานของหมู่บ้านแล้ว
เวลาต่อมา โลกได้เข้าสู่ภาวะาอันวุ่นวาย แต่ไม่มีขุนศึกคนใดกล้าฝ่าเข้ามาในหมู่บ้านเบเลอร์ เพราะไม่มีหนทางไป ไม่สามารถขนปืนใหญ่และเคลื่อนรถถังเข้ามาได้ ครั้นจะส่งกองกำลังเข้ามาโจมตี ป่าก็กลายเป็พื้นที่ล่าสัตว์ที่ดีที่สุดสำหรับนักล่าบนหลังม้าเ่าั้เสียแล้ว
ทันทีที่าโลกครั้งที่สองจบลง ก็เกิดาต่อต้านญี่ปุ่น ากลางเมือง ราชวงศ์ได้ถูกก่อตั้งขึ้นมาใหม่ กิจกรรมต่างๆ ...หมู่บ้านเบเลอร์ยังคงเจริญรุ่งเรืองด้วยตัวของตัวเอง กระทั่งมีการปฏิรูปและการเปิดกว้าง หมู่บ้านเบเลอร์จึงเริ่มติดต่อกับโลกภายนอก ถนนสายเดียวบนูเานี้นำไปสู่โลกภายนอก เป็ประตูเปิดให้หมู่บ้านเบเลอร์ออกสู่โลกภายนอก
ในยุค 80 ขณะที่เมืองชายฝั่งเปลี่ยนไปในแต่ละวัน หมู่บ้านเบเลอร์เองก็เปลี่ยนจากภาพลักษณ์ของความเป็ชนบทไป หัวหน้าหมู่บ้านในเวลานั้นคือพ่อของเจิ้นถิง เขาได้บรรลุข้อตกลงร่วมกันกับรัฐบาล นำเอาสมบัติโบราณของชาติออกมาจำนวนมหาศาล เพื่อแลกกับวัสดุก่อสร้างและของใช้ในชีวิตประจำวันที่จำเป็สำหรับหมู่บ้านเบเลอร์ และจัดให้สถานที่แห่งนี้เป็เขตสงวนสำหรับราชวงศ์ ดังเช่นดินแดนที่สหรัฐอเมริกาสงวนไว้สำหรับชาวอินเดียแดง
หมู่บ้านเบเลอร์เรียกได้ว่าเจริญรุ่งเรืองนับั้แ่นั้นเป็ต้นมา ด้วยรากฐานของบรรพบุรุษ ทุกครอบครัวอยู่ดีกินดี หัวหน้าหมู่บ้าน เจิ้นถิง ถือเป็ผู้ใหญ่บ้านรุ่นที่ 3 นับั้แ่ก่อตั้งหมู่บ้านเบเลอร์มา เขาเป็แบบอย่างของการ “ส่งบุตรหลานไปศึกษาต่อ” และนำกลับมาพัฒนาหมู่บ้านเบเลอร์ให้รุ่งเรืองอีก
เขานำเทคโนโลยีขั้นสูงจากโลกภายนอกกลับเข้ามา โรงพยาบาลชั้นนำถูกสร้างขึ้นในหมู่บ้านเบเลอร์ โรงเรียนที่มีระบบการศึกษาที่ดีที่สุดั้แ่อนุบาลจนถึงมัธยมปลาย แม้แต่ตำรวจที่สถานีตำรวจแห่งนี้ก็ยังเป็ลูกหลานของหมู่บ้านเบเลอร์ซึ่งกลับมาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ
และนั่นทำให้หมู่บ้านเบเลอร์ไม่มีบุคคลภายนอกเข้าพักอาศัยเลย เป็การผสมผสานชีวิตสมัยใหม่จากโลกภายนอกโดยสมบูรณ์แบบ ทุกครัวเรือนกลายเป็คฤหาสน์ขนาดย่อม ทุกซอกทุกซอยถูกปูด้วยกระเบื้องหินอ่อน แสงไฟในยามค่ำคืนส่องสว่างกว่าในเมือง ใครจะไปคิดล่ะว่ากำลังอยู่ท่ามกลางหุบเขา
ซูเปอร์มาร์เก็ตระดับไฮ-เอนด์เปิดตลอด 24 ชั่วโมง หาปลาแซลมอนสดทานได้ในเวลาเที่ยงคืน ในสมาคมเบเลอร์มีอ่างแช่เท้าซึ่งนวดซาวน่าอัตโนมัติ แต่ก็ยังคงความเพลิดเพลินในสไตล์จักรพรรดิจีนเอาไว้
“นี่มันหมู่บ้านชนบทเหรอ?” มุมปากของเซี่ยวอี๋กระตุกกึก เสียงกรีดร้องของเด็กๆ บนรถไฟเหาะแว่วมาแต่ไกล
“โลกนี้ช่างกว้างใหญ่ไพศาล หลายสิ่งหลายอย่างไม่อาจตัดสินได้ด้วยสามัญสำนึก แม่เอ๊ย ตระกูลตาเฒ่าเฝิงก็ไม่ได้ยากจน ครั้งนี้ฉันจะกลับไปแนะนำให้พ่อสร้างสวนสนุกเพื่อความบันเทิง!” เฝิงเฉวียนกล่าวอย่างไม่พอใจ
“ล้อมรอบด้วยูเาและป่าทึบ เป้าหมายอยู่ในระดับต่ำ ไฟสว่างยามค่ำคืน...ช่างเป็สภาพแวดล้อมในอุดมคติของสไนเปอร์” เสิ่นิถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่าให้กับสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ห่วยแตกเช่นนี้ จนเขาใกล้จะถึงขีดสุด
“ไปกันเถอะ เรามาดึกมากแล้ว” เฝิงเฉวียนนำเสิ่นิและเซี่ยวอี๋เดินเข้าไปในหมู่บ้าน พวกเขาพบชาวบ้านระหว่างทาง ทุกคนต่างแต่งตัวสีสันฉูดฉาด สวมแบรนด์ดัง และกล่าวทักทายอย่างสนิทสนม เด็กน้อยอายุเพียงไม่กี่ขวบ คุณยายอายุไม่ถึง 80 ปี ล้วนมีรอยยิ้มที่น่ารักบนใบหน้า ดูเหมือนว่าในชีวิตของพวกเขา หาอารมณ์อื่นไม่ได้เลยนอกจากความสุข นี่คือสิ่งที่ทุกคนสมควรแสดงออกบนสรวง์บนดินไม่ใช่หรือ?
เด็กชายตัวน้อยอายุเจ็ดหรือแปดขวบมอบดอกไม้ให้กับเซี่ยวอี๋ ปากก็เรียก “พี่สาว” เรียกจนกระทั่งเซี่ยวอี๋ยิ้มไม่หุบ
นี่เป็ทางเดินตรงทางเดียว ทั้งสามคนเดินมาถึงสถานที่ซึ่งเฝิงเฉวียนเรียกว่าบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน...มันเป็อาคารก่อสร้างขนาดใหญ่เหมือนวัดลามะ ด้านนอกมีกำแพงอิฐสีแดงสูง 8 เมตร ภายในนั้นมีลานบ้าน สวน อาคารพักอาศัย และยังมีคอกม้าอีกด้วย
พื้นที่ทั้งหมดถูกปูด้วยกระเบื้องเคลือบ สระหินรูปทรงสวยงาม อาคารทั้งหลังได้รับนำศิลปะสถาปัตยกรรมสูงสุดของราชวงศ์ชิงเมื่อร้อยปีก่อนมาประยุกต์ใช้ นี่คืองานศิลปะที่ดูเหมือนเดินทางผ่านกาลเวลาและอวกาศไปสู่ความล้ำสมัย
“มีซุ้มประตูจริงๆ ด้วย เวอร์ไปไหม?” เซี่ยวอี๋ยืนอยู่ที่หน้าซุ้มประตูทรงโค้งสูง 3 เมตรซึ่งตั้งตระหง่าน เธอััได้ถึงความยิ่งใหญ่ของจักรพรรดิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นตัวหนังสือ “คฤหาสน์จักรพรรดิ” สลักอยู่บนแผ่นโลหะ เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมอง
“บรรพบุรุษของหัวหน้าหมู่บ้านคือจักรพรรดิ ในอดีตวังหลวงก็ก่อสร้างในลักษณะนี้ ทุกอย่างเป็เื่ของการสร้างบรรยากาศ” เฝิงเฉวียนไม่รู้สึกอิจฉา ยังไงซะ ประตูบ้านของเขาก็ใหญ่กว่านี้
ในขณะที่กล่าว เขาก็กดออดสีบรอนซ์ที่หน้าประตู
“ใครน่ะ?” ผ่านไปเป็เวลานาน ที่สุดก็มีเสียงอันสูงวัยตอบกลับมา
“พ่อบ้านไท่ นี่ผมเอง เฝิงเฉวียน เปิดประตูเถอะ” เฝิงเฉวียนร้องเรียก
“ที่แท้ก็นายน้อยเฝิงนี่เอง นายน้อยกลับมาแล้ว รอสักครู่ ผมจะเปิดประตูให้!” พ่อบ้านไท่ตอบรับด้วยความดีใจ ก่อนจะไออยู่ครู่หนึ่ง ราวกับกำลังจะตายมิตายแหล่
ระหว่างที่รอเปิดประตูอยู่นั้น เสิ่นิก็สังเกตเห็นตัวอักษรพิเศษบนฝาผนังข้างซุ้มประตู เห็นได้ชัดว่ามันถูกสลักไว้ด้วยมีด
และเวลาที่สลักไว้ไม่น่าจะเกิน 1 เดือน มันเป็ภาษาแมนจู ซึ่งเสิ่นิอ่านไม่ออก จึงได้แต่หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปตัวอักษรนั้นไว้
ณ เวลานี้ พลซุ่มยิงปริศนาอยู่ในชุดลายพรางสีเขียวขนปุยเหมือนมีพรมอยู่ทั่วร่าง นั่งพิงครึ่งตัวอยู่บนก้อนหินบนูเา มือปืนตั้งตัวปืนไว้บนเข่า คอยมองดูการเคลื่อนไหวที่นอกประตูวังผ่านกล้องสไนเปอร์กำลังสูง
ทันใดนั้น เสิ่นิก็หันศีรษะกลับไปมองยังูเาลูกที่มือปืนอยู่ ดวงตาเฉียบคมราวกับมองทะลุความมืดและป่าทึบได้ พลซุ่มยิงใจนตัวสั่น เขาผละถอยหลังไปด้วยความใ
“ที่แท้ก็เป็ ‘เพื่อนร่วมสายงาน’ ...” ดูเหมือนสไนเปอร์นั้นจะมีสัญชาตญาณขั้นสูงเช่นนี้ สามารถเลือกคู่หูมือปืนได้จากกองทหารนับไม่ถ้วน นี่คือสัญชาตญาณ นอกจากนี้ยังเป็กลิ่นของศัตรูเก่าอีกด้วย
ประตูไม้มะฮอกกานีแบบเปิดสองชั้นตอกหมุดสูง 3 เมตรถูกเปิดโดยพ่อบ้านไท่ พ่อบ้านไท่ผู้ซึ่งไอจนแทบตายมีผมขาวโพลนทั้งศีรษะ เขาสูงเพียง 1.6 เมตร ิัเหี่ยวย่น มีหนวดขาว และรอยยิ้มใจดีบนใบหน้านั้นบ่งบอกได้ถึงความสุขของเขา มองอย่างไรชายชราก็น่าจะมีอายุเกิน 80 ปีแล้ว
“เชิญทุกท่าน!” พ่อบ้านไท่ถือตะเกียงไว้ในมือพร้อมกล่าวทักทายอย่างอบอุ่น
“คุณลุงหลับหรือยัง?” เฝิงเฉวียนรู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน เขายื่นสัมภาระให้พ่อบ้านในวัย 80 กว่าปี
“ยังๆ นายยังอ่านตำราอยู่ในห้องหนังสือ” พ่อบ้านไท่กล่าวพลางจะหยิบสัมภาระของเสิ่นิและเซี่ยวอี๋ เสิ่นิก็ทำตัวเป็แขกของเ้าบ้าน เขายื่นสัมภาระไปให้พ่อบ้านไท่ ส่วนเซี่ยวอี๋นั้นรู้สึกละอายใจ เพราะสัมภาระที่ด้านหลังของเธอนั้นเต็มไปด้วยอะไรต่อมิอะไรมากมาย ราวกับกระเป๋าทหารที่จะไปออกรบ
“ไม่ต้องค่ะคุณลุง หนูถือเองได้” เซี่ยวอี๋กล่าวขอบคุณและทำสายตาขุ่นเคืองใส่เฝิงเฉวียนและเสิ่นิ “พวกนายมีความคิดและศีลธรรมกันบ้างหรือเปล่า? การเคารพผู้สูงวัยและเมตตาต่อเด็กน่ะรู้จักกันบ้างไหม? คิดยังไงให้ผู้สูงอายุแบกกระเป๋าให้”
“อย่าดูถูกพ่อบ้านไท่ ถ้าเอาเข้าจริง พวกเราสามคนไม่ได้แอ้มเขาหรอก” เฝิงเฉวียนไพล่มือหลังศีรษะ เขาเดินเข้าไปในคฤหาสน์โดยไม่แยแส
“เขาพูดถูก คุณเห็นเ้าสิ่งนี้ไหม?” เสิ่นิเดินมาถึงที่ด้านในของประตูและตบไปที่ข้างกำแพง มันคือคานสี่เหลี่ยมที่ใช้ล็อกประตูเมื่อครู่นี้ คานประตูโบราณสูง 2 เมตร ทำจากไม้เนื้อแข็ง น้ำหนักมากกว่า 150 กิโลกรัม ประตูที่มันล็อกอยู่ ต่อให้เป็รถยนต์ก็ฝ่าเข้าไปไม่ได้
วัตถุที่หนักเช่นนี้ แต่ชายชราที่อยู่ตรงหน้าเซี่ยวอี๋กลับขยับขึ้นลงได้โดยลำพัง...
“คุณหนูช่างเป็คนดี แต่ข้าน้อยเป็เพียงแค่ผู้รับใช้เท่านั้น แม้จะอายุมากแล้ว แต่กำลังวังชายังพอมีอยู่ ให้กระผมได้รับใช้เถอะ!” พ่อบ้านยิ้มร่าพร้อมกับรับกระเป๋ามาจากหลังของเซี่ยวอี๋ พอรับมาถือจึงได้รู้สึกเหมือนมีหลายใบ พ่อบ้านไท่อาศัยตะเกียงและกระเป๋าเดินทางเดินนำทางไป ฝีเท้าของเขาไม่มีแกว่งหรือสั่นไหว มั่นคงราวกับลอยได้
“เห็นหรือยัง นี่เรียกว่างานสบาย” เสิ่นิกระซิบข้างหูเซี่ยวอี๋ “บินไปบินมาเขาเรียกว่าสเปเชี่ยวเอฟเฟ็คโง่ๆ มันต้องถือของหนักแล้วเดินได้นิ่งแบบนี้ถึงจะเรียกกว่าทักษะที่แท้ทรู”
“นายทำแบบนี้ได้ไหม?” เซี่ยวอี๋ถามด้วยความสงสัย
“เหลวไหลน่า คาดว่าฝึกอีก 30 ปีถึงจะทำได้แบบนี้ ปรมาจารย์ที่ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้แบบโบราณมาั้แ่เด็ก การไม่เคลื่อนไหวถือเป็รากฐานมาหลายทศวรรษ คุณคิดว่าการควบคุมพลังลมปราณจะฝึกกันได้ภายในไม่กี่วินาทีอย่างนั้นหรือ?” เสิ่นิถ่อมตน
“ทุกท่านชมเกินไปแล้ว ทักษะร่างกายของคุณเองก็ดีมากเช่นกัน เคลื่อนไหวโดยสงบ หมดจดไม่ทิ้งร่องรอย คาดว่าในหนึ่งปีที่กำลังจะมาถึงนี้ คุณน่าจะเป็ัและหงส์ท่ามกลางหมู่ผู้คน อย่างไรก็ตามตอนข้าน้อยอายุเท่าคุณ ข้าน้อยก็ไม่ได้ฝึกสำเร็จเช่นนี้” พ่อบ้านไท่ชราภาพแล้วก็จริง แต่หูยังคงดีอยู่ เสียงกระซิบกระซาบของเสิ่นิและเซี่ยวอี๋แว่วเข้าหูมา
“แล้วนายน้อยล่ะ เขาน่ะ? ฝีมือเป็ยังไงบ้าง?” พอพูดถึงเื่กำลังภายในขึ้นมา เซี่ยวอี๋ก็รู้สึกสนอกสนใจ อยากให้พ่อบ้านไท่ประเมินฝีมือของเฝิงเฉวียนดู
“นายน้อยเฝิงแห่งตระกูลเฝิงเป็ลูกชายของผู้นำตระกูล เขามีพร์ อาจกล่าวได้ว่าถ้าเขาอยู่ในโลกของกังฟู แม้จะอายุแค่เพียง 16 ปี แต่ภายในกลับมีถึง 500 กระบวนท่า ข้าน้อยมั่นใจว่าข้าน้อยต้องพ่ายแพ้ในฝีมือของเขาอย่างแน่นอน” พ่อบ้านไท่ประเมินเฝิงเฉวียนสูงกว่าเสิ่นิอย่างมีนัยสำคัญ แต่นี่ก็ขึ้นอยู่กับการต่อสู้ในระยะประชิดเท่านั้น เป็การประเมินอย่างง่ายๆ
“นายแกร่งขนาดนั้น? ไว้วันหลังมาลองประลองกันสักตั้งสิ” ความอยากเอาชนะในตัวของเซี่ยวอี๋ถูกกระตุ้นขึ้น
“ไม่ต้องประลองแล้ว เ้านี่ถูกฝึกมาให้สังหารโดยปราศจากอาวุธ ทุกการเคลื่อนไหวเพื่อสังหาร ออมแรงไม่เป็ ถึงตายได้เลยนะ” เสิ่นิถอนหายใจ
เฝิงเฉวียนยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ เป็เชิงเห็นด้วยกับความคิดเห็นของเสิ่นิ
บอกเลยว่าลานบ้านในคฤหาสน์หัวหน้าหมู่บ้านนั้นไม่ได้ใหญ่โตธรรมดา พอเข้าประตูแล้วเดินไปตามทางเดินที่ทอดยาวผ่านบ่อหินและสวนทางด้านหลังไป จะเห็นแค่เพียงมุมของบ้านหลังใหญ่เท่านั้น ลองจินตนาการดูก็แล้วกันว่ามันยิ่งใหญ่มากแค่ไหน แต่ ณ ปัจจุบันอาคารโบราณดังกล่าวถูกปกคลุมไปด้วยผ้าร่มสีดำ มันปกคลุมสวนดอกไม้ทั้งหมดที่้ารับแสง
เสิ่นิรู้ว่านี่คือมาตรการป้องกันไม่ให้ถูกซุ่มยิง ไฟตามทางเดินถูกปิดทั้งหมดเพื่อลดแหล่งกำเนิดแสง กระจกและบานประตูในบ้านถูกเปลี่ยนเป็กระจกกันะุยาวตลอดแนว ติดฟิล์มทึบแสง ค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงอาคารเพียงอย่างเดียวน่าจะไม่ต่ำกว่า 3 ล้านหยวน
นอกจากการใช้จ่ายอันฟุ่มเฟือยของหัวหน้าหมู่บ้านแล้ว มันยังแสดงให้เห็นว่าพวกเขาทำอะไรไม่ถูก ในฐานะเป้าหมายของการถูกซุ่มยิง นั่นคือทั้งหมดที่พวกเขาทำได้ และนั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เฝิงเฉวียนหวั่นเกรงสไนเปอร์ที่ลึกลับผู้นั้น