ปาจี๋พูดโพล่งเสียงเบาๆ “ถูเหยียนเซิ่ง!”
จ้านอู๋มิ่งตกตะลึงเล็กน้อย ไม่คิดว่าจะมีเื่อย่างต่อเนื่อง เมืองหนานเจาไม่ได้กว้างใหญ่มาก หลังจากถูเหยียนฉีถูกทำร้ายจนพิการ ถูเหยียนเซิ่งสมควรทราบข่าวอย่างรวดเร็ว แต่ถูเหยียนเซิ่งในฐานะราชันาย่อมมิอาจลงมือด้วยตนเองอย่างแน่นอน จึงให้เถี่ยมู่เหอลงมือ เพียงแต่เขาไม่คิดว่าเถี่ยมู่เหอจะพ่ายแพ้ ถึงเขาจะไม่ชอบน้องชายคนนั้นสักเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็องค์ชายแห่งแคว้นถูเหยียน ทั้งหมดเกี่ยวพันถึงหน้าตาและชื่อเสียงของแคว้นถูเหยียน ดังนั้นจึงต้องมาด้วยตนเองแล้ว
จ้านอู๋มิ่งมองเด็กหนุ่มชุดขาวแล้วยิ้ม ที่สมควรมาย่อมต้องมา แต่เขากลับไม่กังวล ที่นี่คือเมืองหนานเจาและมีการคัดเลือกใหญ่ของแปดสำนักนิกาย แม้แต่ถูเหยียนเซิ่งก็ยังมิกล้าจะลงมือในที่สาธารณะ ดังนั้นถึงแม้สภาวะพลังของฝ่ายตรงข้ามจะกดดันตัวเองยิ่งนักก็ตาม แต่อีกฝ่ายจะทำร้ายตนจนาเ็ไม่ได้ เขาอยากรู้ว่าถูเหยียนเซิ่งผู้นี้้าทำสิ่งใด
“ข้าประเมินเ้าต่ำไปแล้ว ผู้ใดก็ตามที่ดูิ่เกียรติของแคว้นถูเหยียน ล้วนต้องยอมจ่ายค่าตอบแทน พวกเ้าก็ไม่อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์!” ถูเหยียนเซิ่งสองมือไพล่หลัง สำนึกการฆ่าฟันแผ่ออกมาเหมือนสัตว์ร้ายตัวหนึ่งที่ยืนอยู่ในที่สูงและกำลังมองลงมายังจ้านอู๋มิ่งและปาจี๋
“หากเ้ามีกำลังเช่นนั้นคงลงมือนานแล้ว ไยต้องให้เถี่ยมู่เหอลงมือแทนด้วยเล่า? ในเมืองหนานเจา เ้าสามารถทำอะไรข้าได้ เ้าสามารถหาปรมาจารย์นักยุทธ์สักคนที่ลงมือได้เหมาะสมกว่าเถี่ยมู่เหออีกหรือไม่? อย่าโทษว่าข้าไม่เตือนเ้าก็แล้วกัน จากนี้ไปผู้ใดที่มาตอแยข้าจะไม่โชคดีเหมือนกับเถี่ยมู่เหออีกแล้ว” จ้านอู๋มิ่งตอบกลับอย่างหยิ่งผยอง มิเห็นราชันาตรงหน้าอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย ถึงแม้จะเป็ราชันาของสำนักกระบี่ิญญาก็ตาม
“ขวัญกล้าดี!” ถูเหยียนเซิ่งสีหน้าแปรเปลี่ยน เขาทราบว่าด้านการปะทะคารม ตนมิใช่คู่มือของจ้านอู๋มิ่งอย่างเด็ดขาด เขาปรากฏตัวขึ้นเพียงคิดเพิ่มความกดดันแก่จ้านอู๋มิ่งบ้างเท่านั้น เพียงแต่ไม่คิดว่าจ้านอู๋มิ่งจะหยิ่งผยองกว่าที่คาดไว้
“เฮอะ ข้าไว้ชีวิตน้องชายเ้าแล้ว อย่ากล่าวว่าข้ามิเห็นแก่หน้าตระกูลถูเหยียน แต่ถ้าพวกเ้า้ากล่าวหาข้า เ้าสามารถมาหาข้าได้ตลอดเวลา แม้จะไม่มีข้อห้ามของเมืองหนานเจา แค่ราชันาสองดาวผู้หนึ่งเท่านั้น ยังมิอยู่ในสายตาข้า” จ้านอู๋มิ่งยักคิ้วขึ้น พูดอย่างไม่ใส่ใจ
“ประเสริฐ เ้าจะได้รู้ว่าไม่ควรตอแยกับตระกูลถูเหยียน!” ถูเหยียนเซิ่งมิกล่าววาจาเพิ่มอีก หันกายจากไปทันที พริบตาเดียวก็หายลับไปในท่ามกลางฝูงชน
“น้องจ้าน ่หลายวันนี้เ้าต้องระวังให้มากขึ้น ถึงแม้จะระบุชัดเจนว่าราชันาไม่อนุญาตให้ลงมือ แต่นั่นคือในสถานการณ์ปกติ หากว่ามีคนของนิกายเข้ามาแทรกแซงก็ลอบลงมือได้อยู่” ปาจี๋พูดเตือนขึ้น
“อ้อ” จ้านอู๋มิ่งสะดุดใจขึ้นมา คล้ายกับนึกถึงสิ่งใดขึ้นมาได้ ยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “พี่ปา พวกเราแยกกันตรงนี้ ถ้ามีวาสนาคงได้พบกันอีก!”
ปาจี๋มองจ้านอู๋มิ่งแวบหนึ่ง ผงกศีรษะกล่าวว่า “รักษาตัวด้วย!”
……
ณ คฤหาสน์ที่ไม่สะดุดตาหลังหนึ่งในเมืองหนานเจา ใบหน้ามืดทะมึนของถูเหยียนเซิ่งมองถูเหยียนฉีสีหน้าซีดขาวบนเตียง พูดเสียงเ็าว่า “พวกเ้าเป็องครักษ์ของน้องฉี แต่กลับมองดูเขาถูกผู้อื่นทำร้ายจนาเ็สาหัสต่อหน้าต่อตา ทั้งทำลายเส้นชีพจร กลายเป็คนพิการ พวกเ้ายังมีหน้าอันใดมาพบข้า?”
“ขออภัย องค์ชายรอง ผู้น้อยไม่คิดว่าคนผู้นั้นจะเป็ผู้ฝึกฌานบ่มเพาะพลังกายภาพจริงๆ ยังคิดว่าเป็เพียงคนธรรมดาเท่านั้น เื่ราวเกิดขึ้นรวดเร็วเกินไป ผู้น้อยยังมิทันได้ลงมือ องค์ชายน้อยก็เกิดเื่แล้ว…”
“เ้าบอกเหตุผลนี้กับเสด็จพ่อเถอะ!” ถูเหยียนเซิ่งแค่นเสียงเ็า
“โปรดช่วยพวกกระหม่อมด้วย องค์ชายรอง!” สี่ขุนศึกถูเหยียนคุกเข่าลงโครม
“ไฉนข้าต้องช่วยพวกเ้า พวกเ้าบกพร่องในหน้าที่ ทำให้น้องชายข้าต้องกลายเป็คนพิการ!” ถูเหยียนเซิ่งมิได้บันดาลโทสะเพียงแต่ถามอย่างเฉยชา
“จากนี้ไปชีวิตพวกกระหม่อมสี่คนเป็ขององค์ชายรอง มิว่าองค์ชายรองมีคำสั่งใด พวกกระหม่อมจะปฏิบัติตามทุกอย่าง ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟก็ไม่หวั่น” ทั้งสี่คนพูดพร้อมกัน
ใบหน้าถูเหยียนเซิ่งปรากฏรอยยิ้มโเี้ขึ้นวูบหนึ่ง ถามกลับอีกครั้ง “มิว่าเื่ใดหรือ?”
“ขอรับ แล้วแต่องค์ชายรองจะรับสั่ง!” สี่ขุนศึกถูเหยียนพูดเสียงหนักแน่น
“ประเสริฐมาก ในเมื่อเื่นี้ได้เกิดขึ้นแล้ว ข้าจะอธิบายให้เสด็จพ่อทรงทราบ ประจวบกับข้อห้ามเมืองหนานเจา พวกเ้าลงมือช่วยเหลือไม่ทันก็ไม่อาจจะโทษพวกเ้า ข้าหวังว่าพวกเ้าจะจดจำคำพูดในวันนี้ไว้ ั้แ่นี้ไปพวกเ้าคือคนของข้า ครั้งนี้กลับเมืองหลวงช่วยข้าดูแลพี่ใหญ่ให้ดีๆ ถ้าพวกเ้าปฏิบัติภารกิจให้ข้าอย่างจริงใจ ในอนาคตข้าอาจจะหาตำแหน่งที่เหมาะสมกับพวกเ้าในสำนักกระบี่ิญญาให้ก็ได้” สีหน้าถูเหยียนเซิ่งเปลี่ยนไปกลายเป็สีหน้าปีติยินดีขึ้นมา
“ทุกอย่างขึ้นอยู่กับองค์ชายรอง!” สี่ขุนศึกถูเหยียนมองหน้ากันคราหนึ่ง
“น้องเจ็ดของข้าถูกทำร้ายจนพิการ ถึงแม้จะมีสาเหตุอยู่ แต่กลับทำให้เสื่อมเสียเกียรติของแคว้นถูเหยียนเรา ดังนั้นมิว่าจะเป็จ้านอู๋มิ่งหรือปาจี๋ล้วนต้องตาย พวกเ้าส่งน้องเจ็ดกลับไปพักฟื้นที่เมืองหลวง ถือโอกาสเด็ดศีรษะพวกมันกลับไปขอโทษเถอะ ข้าจะเขียนจดหมายถึงเสด็จพ่อเพื่ออธิบายเหตุผลให้ทรงทราบ” ดวงตาถูเหยียนเซิ่งเปล่งประกายสังหารขึ้นวูบ นึกถึงความเย่อหยิ่งของจ้านอู๋มิ่งก็รู้สึกปวดในหัวใจ ในฐานะศิษย์สายในของสำนักกระบี่ิญญา อีกทั้งเป็องค์ชายที่น่าภาคภูมิใจของถูเหยียน ต้องมารำคาญใจเช่นนี้ั้แ่เมื่อใด
“แต่สองคนนี้อยู่ในเมืองตลอดเวลา ติดขัดที่ข้อห้ามในเมือง ผู้น้อยทั้งสี่เกรงว่าจะไม่มีโอกาสลงมือ…” ทั้งสี่พูดขึ้นด้วยความลังเลอยู่บ้าง
“ข้าเพิ่งได้รับข่าวมา จ้านอู๋มิ่งลอบออกจากเมืองไปคนเดียว มันคิดว่าดำเนินการลับมาก ไหนเลยจะสามารถหลบพ้นสายสืบในสำนักกระบี่ิญญาของข้าได้ นี่ก็คือโอกาสของพวกเ้า ข้าไม่อยากเห็นมันกลับมาเมืองหนานเจาอีก!” ถูเหยียนเซิ่งบดถ้วยน้ำชาในมือจนแตกละเอียด แต่กลับควบแน่นหยดน้ำที่กระจัดกระจายกลายเป็ลูกศรน้ำ ดูดกลับเข้าไปในปาก
สีหน้าทั้งสี่ล้วนยินดี วันนี้ที่ถนนใหญ่ในเมือง พวกเขามิกล้าลงมือ เพราะเคร่งครัดต่อข้อห้ามในเมืองหนานเจา จึงถูกจ้านอู๋มิ่งเยาะเย้ยอย่างรุนแรงไปรอบหนึ่ง แม้จะไม่ใช่เพราะถูเหยียนฉีถูกทำร้ายจนพิการ พวกมันก็จะมิละเว้นจ้านอู๋มิ่งเช่นกัน เด็กบ้านนอกคนหนึ่งกลับหยิ่งผยองมากถึงเพียงนี้
“ครั้งนี้จะไม่ทำให้องค์ชายสองผิดหวัง จะหิ้วศีรษะมาขอโทษองค์ชายเจ็ดอย่างแน่นอน”
“ถึงแม้จะอยู่นอกเมือง ก็ต้องระวังตัวด้วย ผู้คนจากสำนักนิกายหลักๆ ทั้งหมดประจำการอยู่นอกเมือง ภายในรัศมีห้าสิบลี้ของเมืองหนานเจายังคงอยู่ภายใต้การตรวจสอบของโดยจักรพรรดิา ที่นี่มีผึ้งเงาภูตผีสองตัว ตอนที่จ้านอู๋มิ่งลอบออกนอกเมือง คนของข้าได้แอบทาน้ำผึ้งเงาภูตผีลงบนตัวมันอย่างลับๆ แล้ว ขอเพียงมันอยู่ในรัศมีร้อยลี้ พวกเ้าสามารถอาศัยผึ้งนี้ตามหามัน” พูดพลางถูเหยียนเซิ่งก็หยิบกระบอกไม้ไผ่สีดำม่วงออกมาจากอกอันหนึ่ง
“ผู้น้อยเข้าใจแล้ว! จะไปเตรียมตัวเดี๋ยวนี้” สี่ขุนศึกถูเหยียนยินดีขึ้นมาทันใด มีผึ้งเงาภูตผีนี้แล้ว จ้านอู๋มิ่งจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
“ไปเถอะ!”
……
ณ สมาคมลับตระกูลจ้านในเมืองหนานเจา หลิ่วหว่านอวี๋จิตใจฟุ้งซ่านไม่อยู่กับเนื้อกับตัว นางทราบว่าจ้านอู๋มิ่งส่งตัวนางมาที่นี่เพราะต้องไปทำเื่อันตรายแน่นอน เพียงแต่นางไม่คิดว่าจ้านอู๋มิ่งจะลอบออกไปนอกเมืองหนานเจา
“ท่านอาชิง ท่านพี่มิ่งออกไปนอกเมืองจะต้องมีอันตรายแน่นอน หรือไม่ท่านก็ไปรับท่านพี่มิ่งสักครั้งเถอะ หากมีอะไรเกิดขึ้นแล้วจะทำอย่างไร” หลิ่วหว่านอวี๋พูดอย่างร้อนอกร้อนใจ
เจี่ยชิงเห็นสีหน้าวิงวอนขอร้องของหลิ่วหว่านอวี๋ รู้สึกหักใจไม่ได้ นึกถึงสมาคมตระกูลจ้านที่ลึกลับยิ่ง ในเมืองหนานเจา หลิ่วหว่านอวี๋สมควรมิมีอันตราย จึงผงกศีรษะพูดกับพ่อบ้านด้านข้างว่า “ฝากดูแลคุณหนูแทนข้าด้วย”
“ท่านเจี่ยโปรดวางใจ ขอให้ท่านเจี่ยพานายน้อยกลับมาโดยปลอดภัย” พ่อบ้านเฒ่าพยักหน้าเคร่งขรึม พ่อบ้านมีพลังการบ่มเพาะเพียงระดับปรมาจารย์นักยุทธ์ ภายในเมืองหนานเจายังพอใช้ได้อยู่ ออกไปนอกเมืองก็ช่วยอะไรจ้านอู๋มิ่งมิได้เช่นกัน มิสู้เฝ้าอยู่ในเมืองดีกว่า ในเมืองหนานเจาตระกูลจ้านมีแต่เขาที่พลังการบ่มเพาะสูงสุด เพียงเพื่อติดต่อการค้าเท่านั้น ไม่คิดว่านายน้อยเพิ่งเข้าเมืองมาก็ก่อเื่จนเกิดพายุลูกใหญ่ ยามนี้ตระกูลจ้านแปรเปลี่ยน แฝงตัวในความมืด ไม่ว่าอย่างไรก็ตามสมาคมลับแห่งนี้มิอาจเปิดเผยออกไป
……
ณ เนินเขาแห่งหนึ่งนอกเมืองหนานเจา ระยะสิบลี้ภายในกำแพงทึบและทุ่งโล่ง ห่างออกไปสิบลี้เป็ผืนป่ารกทึบ มีเพียงถนนหลวงกว้างสายหนึ่งที่เลี้ยวลดคดเคี้ยวทะลุผ่านป่าไป
จ้านอู๋มิ่งพิงบนโขดหินแหงนหน้ามองขึ้นไปบนฟ้า มองเห็นพระจันทร์สว่างไสว ทำให้ค่ำคืนยิ่งเงียบสงัดและลึกซึ้งมากขึ้น ในป่ามีแต่เสียงแมลงกับหมาป่าหอนประสานเสียงกัน ซ้ำไปมาและสงบลง ถูเหยียนเซิ่งจะต้องรู้ว่าตนอยู่นอกเมืองแล้วอย่างแน่นอน ต้องไม่ปล่อยให้โอกาสนี้ผ่านไปเด็ดขาด เขาไม่ชอบทิ้งคนที่มีปัญหาเอาไว้ ดังนั้นเขาจึงได้ให้โอกาสนี้แก่ถูเหยียนเซิ่ง
เขามิได้คาดหวังว่าถูเหยียนเซิ่งจะลงมือด้วยตนเอง แม้ถูเหยียนเซิ่งจะมีความมั่นใจในตนเองมากและเป็ราชันาสองดาวแล้ว แต่ก่อนที่เขาจะเข้าใจรายละเอียดของจ้านอู๋มิ่งอย่างถ่องแท้ ย่อมจะไม่ลงมืออย่างง่ายดายแน่นอน คนที่ลงมือสมควรเป็องครักษ์ทั้งสี่ของถูเหยียนฉี บางทีอาจมีอีกคนหรือสองคนข้างกายถูเหยียนเซิ่ง…แต่แล้วอย่างไรเล่า นี่คือผืนป่าขนาดใหญ่ผืนหนึ่ง เมื่อจ้านอู๋มิ่งดำรงอยู่ท่ามกลางผืนป่าใหญ่ ก็เหมือนมัจฉาหวนกลับคืนสู่มหาสมุทร ส่วนราชันาเหล่านี้จะหาตำแหน่งของเขาพบหรือไม่ เขามิรู้สึกกังวลเลยแม้แต่น้อย ตอนที่ออกจากเมืองมา ถึงแม้ชายผู้เอาน้ำผึ้งมาทาตัวเขาจะทำภารกิจลับได้อย่างแเีมาก แต่ทั้งหมดนี้เป็ความตั้งใจของเขาเอง จะมิทราบได้อย่างไรว่าอีกฝ่ายหนึ่งทำสิ่งใดไว้ ตอนที่ได้กลิ่นหอมของน้ำผึ้งหวานเจือกลิ่นดอกไม้ เขาก็หัวเราะแล้ว ริจะเล่นการแกะรอยค้นหา เื่เกี่ยวกับสัตว์อสูร เขาถือได้ว่าเป็บรรพบุรุษแล้ว ในเมื่ออีกฝ่ายได้เตรียมชุดไว้ ข้าเพียงแค่ต้องจัดเพิ่มอีกสักสองสามชุดเข้าไปในชุดของพวกมันก็ใช้ได้แล้ว
จ้านอู๋มิ่งเหลือบมองยอดเขาที่อยู่ห่างไกลคราหนึ่ง มีแสงสลัววูบวาบอยู่ตรงนั้น หลังจากกะพริบสามครั้งแล้วก็ดับลง เหมือนหิ่งห้อยส่องแสงในท้องฟ้ายามราตรี จ้านอู๋มิ่งหัวเราะ เหยียนอี้เตรียมพร้อมเสร็จแล้ว เริ่มกันเลย นี่จะเป็งานเลี้ยงแห่งการเข่นฆ่า
……
ขุนศึกถูเหยียนทั้งสี่ เป็ยอดฝีมือที่ฝึกฝนโดยราชวงศ์ถูเหยียน ชีวิตของพวกเขามิได้เป็ของตนเอง พวกเขามิสามารถต้านทานผู้มีอำนาจ เนื่องจากครอบครัวของพวกเขาล้วนอยู่ในเมืองหลวง หากตายในสมรภูมิ ครอบครัวมิต้องกังวลเื่อาหารและเครื่องนุ่งห่ม แต่หากพวกตนบกพร่องหรือหลบหนี จะต้องโทษเก้าชั่วโคตร ดังนั้นคนเหล่านี้จึงจงรักภักดีต่อราชวงศ์มากที่สุด
ถูเหยียนฉีถูกทำร้ายพิการ เป็ความบกพร่องในหน้าที่ของสี่ขุนศึกถูเหยียน ในฐานะองครักษ์มิสามารถคุ้มครองเ้านายให้ปลอดภัย บทสรุปก็คือความตาย บางทีสมาชิกในครอบครัวล้วนเสียชีวิตทั้งหมด…นี่คือสิ่งที่ขุนศึกถูเหยียนทั้งสี่คนนี้มิ้าให้เกิดขึ้น ความหวังเพียงหนึ่งเดียวของพวกเขาคือถูเหยียนเซิ่ง ราชวงศ์ถูเหยียนไม่ได้สามัคคีเป็น้ำหนึ่งใจเดียว กษัตริย์ถูเหยียนโชคดีมาก องค์ชายทั้งเจ็ดล้วนโดดเด่นมากความสามารถ ยกเว้นองค์ชายเจ็ดถูเหยียนฉีที่เกิดมาพิการ ไม่มีคุณสมบัติครองบัลลังก์แล้ว การต่อสู้แข่งขันทั้งในที่ลับและที่แจ้งระหว่างองค์ชายอีกหกคนมีขึ้นไม่หยุดหย่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์ชายใหญ่ ถูเหยียนเช่อและองค์ชายรอง ถูเหยียนเซิ่ง
องค์ชายใหญ่เป็ตัวเต็งสำหรับตำแหน่งองค์รัชทายาท แต่วันใดที่ยังไม่มีการแต่งตั้งก็ยังอาจมีตัวแปรเกิดขึ้นได้ นอกจากนี้องค์ชายรองก็คงไม่ยอมรามือง่ายๆ เช่นกัน องค์ชายรองเป็ศิษย์สายในของสำนักกระบี่ิญญา มีการสนับสนุนของสำนักกระบี่ิญญา อิทธิพลในถูเหยียนก็ยิ่งใหญ่เช่นกัน สำนักกระบี่ิญญาเองก็้าอาศัยพลังของศิษย์ตนเพื่อกัดเซาะพลังทางโลก สะสมเพิ่มพลังอำนาจให้สำนักต่อไป ช่างทะเยอทะยานยิ่งนัก พวกเขาปรารถนาที่จะเห็นถูเหยียนเซิ่งขึ้นครองราชย์บนบัลลังก์ เป็ราชันแห่งถูเหยียน นี่เป็หนึ่งในเหตุผลที่สำนักกระบี่ิญญาฝึกฝนถูเหยียนเซิ่งอย่างจริงจัง
ทันทีที่ขุนศึกถูเหยียนทั้งสี่ออกจากเมือง พวกเขาก็พบเส้นทางที่จ้านอู๋มิ่งออกจากเมือง
“แปลก ไฉนผึ้งเงาภูตผีถึงลังเลอยู่ที่นี่ ไม่มุ่งหน้าไป?” ถูหนานซิว ขุนศึกใหญ่มองผึ้งเงาภูตผีบินไปซ้ายทีขวาที พลันรู้สึกสับสนขึ้นมา
“พวกเราปล่อยอีกตัวออกไปด้วยดีหรือไม่” ถูโม่เฉิง ขุนศึกคนที่สองขมวดคิ้วพูดขึ้น
ถูหนานซิวปล่อยผึ้งเงาภูตผีอีกตัวออกมา ปรากฏว่าสองตัวก็เหมือนกัน ซ้ายขวาลังเลตัดสินใจไม่ได้ เหมือนว่าได้กลิ่นน้ำหวานทั้งสองข้าง
ถูโม่เฉิง ขุนศึกคนที่สองครุ่นคิดแล้วพูดว่า “พี่ใหญ่ บางทีถนนทั้งสองสายก็มีกลิ่นของน้ำหวาน มิสู้แบ่งกำลังกันเป็สองดีกว่า พี่ใหญ่และน้องสี่มุ่งหน้าไปทางเยี่ยนซานตั้ง ข้าและน้องสามจะไปดูๆ ทางหนานเจาจวิ้นอิ๋ง” ถูโม่เฉิงขุนศึกคนที่สองเสนอความคิดเห็น
“น้องสองวิเคราะห์มีเหตุผล เพียงแค่ปรมาจารย์นักยุทธ์คนหนึ่งเท่านั้นไม่น่าเป็ห่วง หากมีความผิดปกติค่อยหวนกลับมารวมตัวกันใหม่” ถูหนานซิวผงกศีรษะเห็นด้วย ดังนั้นทั้งสองกลุ่มจึงแยกกันเดินทาง ท่ามกลางความมืดในยามราตรี พวกเขาไม่ได้สังเกตเห็นหิ่งห้อยตัวเล็กๆ ที่ส่องประกายสามครั้งขึ้นในป่า
ถูหนานซิวสองคนเดินทางเร็วมาก ผึ้งเงาภูตผีตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดก็หยุดลงบนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ถูหนานซิวใ ไม่เข้าใจว่าไฉนผึ้งเงาภูตผีถึงหยุดลงจึงขยับเข้าใกล้เพื่อดูให้ชัดเจน พบผึ้งเงาภูตผีนอนอยู่บนแผ่นเหนียวเหมือนยางสนแผ่นหนึ่ง แผ่นเหนียวนั้นมีกลิ่นหอมชนิดหนึ่ง เขายื่นมือลูบครั้งหนึ่ง เป็ยางสนที่ส่งกลิ่นหอมแปลกประหลาดออกมาจริงๆ พลันรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย ผึ้งเงาภูตผีกลับถูกดึงดูดด้วยกลิ่นของยางไม้สนเสียแล้ว
“พี่ใหญ่ ท่านฟังสิ นั่นเสียงอะไร?” ทันใดถูฮาฮา ขุนศึกคนที่สี่สีหน้าแปรเปลี่ยน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้