“เ้ายังไม่รู้อีกหรือ?” ถงซื่อถอนหายใจก่อนเล่าว่า “น้องเขยของพวกเราพอมีเงินนิดหน่อยก็อยากจะมีอนุภรรยาแล้ว แต่เหมยเอ๋อร์ไม่ยอม เขาก็เลยไปซื้อบ้านเพื่อไปอาศัยอยู่กับหญิงแพศยาคนนั้น ตอนนี้ลูกของพวกเขาอายุสองขวบแล้ว”
“เหมยเอ๋อร์เป็คนดีมาก ตอนที่แต่งงาน ครอบครัวของฝ่ายชายไม่มีอะไรเลย สิ่งที่มีในตอนนี้ล้วนเป็เหมยเอ๋อร์ที่หามาได้ด้วยตัวคนเดียว” เหอซื่อรู้สึกสงสารน้องสาวสามีที่ต้องดูแลทั้งตัวเองและลูก “น้องเขยคนนั้นเห็นครั้งแรกก็ดูเป็ผู้ชายที่ดี แต่ใครจะไปคิดว่าจะเป็แบบนี้”
มีเื่เช่นนี้ด้วยหรือ? กู้เจิงไม่รู้เลยว่ามีเื่แบบนี้เกิดขึ้นกับเหมยเอ๋อร์
พอบ่ายคล้อยความมืดก็ค่อยๆ คืบคลาน แสงแดดเริ่มจางหายไป อากาศค่อยๆ เย็นลง
เมื่อทุกคนกำลังวางแผนที่จะรับประทานอาหารค่ำอยู่นั้น ได้มีชายหนุ่มสองคนเดินเข้ามาในบ้าน หนึ่งในนั้นประสานมือคารวะพร้อมถามว่า “ที่นี่ใช่บ้านของเสิ่นต้าฟู่เฉินหรือไม่?”
ลุงใหญ่กำลังเก็บกวาดบ้านอยู่ เขาหันมามองสำรวจชายสองคนนี้อย่างสงสัย “ข้าเอง พวกเ้าคือใครกัน?”
“พวกเรามาจากจวนเซี่ย” ชายหนุ่มล้วงเอาเงินสิบตำลึงออกมาจากอกเสื้อแล้วกล่าวกับลุงใหญ่ว่า “ท่านแม่ทัพเซี่ยรู้ว่าญาติของเ้าหน้าที่บัญชีในจวนได้อาศัยชื่อของท่านแม่ทัพมาข่มเหงชาวบ้าน จึงให้ข้าสองคนนำเงินมาชดเชยความเสียหายให้พวกท่าน ส่วนเ้าหน้าที่บัญชีคนนั้นได้ถูกขับไล่ออกจากจวนเซี่ยแล้วขอรับ”
คนตระกูลเสิ่นต่างจ้องมองพวกเขาอย่างตกตะลึง เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดนี้ทำเอาทุกคนประหลาดใจ
“จวนเซี่ยกงเจวี๋ยหรือ?” ป้าใหญ่คิดว่าตัวเองหูฝาดไป
“ใช่แล้ว”
“เซี่ยกงเจวี๋ยทราบเื่นี้ได้ยังไง?” เงินชดเชยนี้คือการชดเชยให้ไก่และเป็ดที่พวกเขาเสียไป ลุงใหญ่ดีใจมาก แต่เงินนี้เขาไม่กล้ารับ
“เื่ที่เกิดขึ้นนั้นได้รู้ไปถึงจวนเซี่ยแล้ว ทว่าในเวลานั้นท่านแม่ทัพเซี่ยติดธุระและยุ่งมาก จึงไม่ได้จัดการ แต่วันนี้นึกขึ้นได้ เลยตั้งใจให้เรามาที่นี่” ชายหนุ่มพูดจบก็วางเงินลงบนโต๊ะ แล้วหันหลังเดินจากไป
เสิ่นต้าสือพลันเข้าใจได้ในทันที “ที่แท้ก็เป็เช่นนี้ เ้าหน้าที่บัญชีคนนั้นถูกขับไล่ออกจากจวนเซี่ยแล้ว ดังนั้นเมื่อครู่บ้านเต๋อซิงถึงได้ปอดแหกถึงเพียงนี้ หากเป็เมื่อก่อนคงไม่หนีไปแบบนี้”
ป้าใหญ่หยิบเงินบนโต๊ะขึ้นมา ไม่อยากจะเชื่อว่าเื่ดีๆ แบบนี้จะเกิดขึ้น
กู้เจิงตาเป็ประกาย สองคนนั้นพูดถึงท่านแม่ทัพเซี่ย แสดงว่าท่านแม่ทัพเซี่ยกลับมาแล้วงั้นหรือ? หางตาของนางเหลือบไปเห็นแม่สามีมองตามแผ่นหลังของชายหนุ่มสองคนที่เดินจากไปอย่างเหม่อลอย ไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
ไม่มีใครสังเกตเห็นความเ็าในดวงตาของเสิ่นเยี่ยน ยามที่ชายหนุ่มทั้งสองคนนั้นพูดถึงแม่ทัพเซี่ย
เสิ่นเยี่ยนไม่ได้ทานอาหารเย็นที่บ้านของลุงใหญ่ เพราะขณะที่กำลังจะกินข้าว จู่ๆ จางหลี่หนานก็มาเรียกเขาไปที่จวนอ๋อง ท่าทางรีบร้อนของเขานั้น ทำให้เสิ่นเยี่ยนต้องรีบตามไป
กว่ากู้เจิงจะได้รู้เื่ที่เกิดเื่ขึ้นก็เป็เวลาเที่ยงคืนแล้ว เมื่อเสิ่นเยี่ยนกลับเข้ามาในห้อง นางก็งัวเงียตื่นขึ้น
เห็นท่าทางอันง่วงงุนของกู้เจิง เสิ่นเยี่ยนก็รู้ได้ว่านางกำลังรอคุยกับเขาอยู่
“เมื่อตอนบ่าย แม่ของฟู่ผิงเซียงได้โขกศีรษะเข้ากับสิงโตหินที่หน้าประตูจวนเสี่ยนอ๋อง และเสียชีวิตในทันที” เสิ่นเยี่ยนเล่าให้กู้เจิงฟัง
กู้เจิงตกตะลึง จนผ่านไปครู่ใหญ่กว่าจะได้สติกลับมา ในหัวนางนึกถึงแต่เสียงกู่ร้องอย่างเศร้าสร้อยของนายหญิงฟู่ตอนที่อยู่บนูเา
“การตายเช่นนี้ของนายหญิงฟู่ เยี่ยนจื่อเซี่ยนต้องไม่อยู่เฉยแน่” เสิ่นเยี่ยนนำเสื้อผ้าที่ถอดออกวางพาดบนเก้าอี้ไม้ ก่อนจะปีนขึ้นเตียงและซุกเข้ามาในผ้าห่ม “องค์รัชทายาทกับตวนอ๋องจะฉวยโอกาสนี้ทำให้เสี่ยนอ๋องเสียท่า”
กู้เจิงส่งเสียงอ้อเบาๆ แล้วเขยิบเข้าชิดสามี “ท่านพี่ ท่านต้องระวังให้ดีนะเ้าคะ” นี่คือสิ่งที่นางเป็ห่วงมากที่สุด
“เ้าวางใจเถอะ ไม่ว่าพวกเขาจะเป็ใครก็ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก”
วาจานี้ออกจะถือดีเกินไปหน่อยกระมัง
ในดวงตาของภรรยาเขียนไว้อย่างชัดเจนว่าไม่เชื่อ เขายิ้มบางๆ “ไม่เชื่อข้าหรือ?”
“ท่านอย่าปลอบใจข้าเลย ยังไงก็ต้องระวังให้มาก” กู้เจิงกล่าวเตือนอีกครั้ง
แสงเทียนในห้องเป็เงาสลัว ทว่าั์ตาของภรรยากลับเปล่งประกาย ดวงตาลุ่มลึกของเสิ่นเยี่ยนฉายแววบางอย่าง ฉับพลันนั้นเขาก็พลิกตัวขึ้นทับบนร่างของกู้เจิง
กู้เจิงมองชายที่นอนทับนางอย่างตกตะลึง การสบตาในระยะประชิดเช่นนี้ทำเอานางรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมา ั์ตาเ็าของเสิ่นเยี่ยนหายไป แทนที่ด้วยประกายแสงแปลกๆ
“ท่านจะทำอะไรหรือเ้าคะ?” หัวใจของกู้เจิงเต้นแรง
เสิ่นเยี่ยนก้มหน้าลงจุมพิตนาง “ยังไม่ถึงเวลา”
“แล้วต้องเมื่อไหร่หรือเ้าคะ?” พูดจบ กู้เจิงก็รู้สึกกระดากอาย
เสียงหัวเราะดังขึ้นตรงหน้าอกของเสิ่นเยี่ยน ตอนนี้พวกเขาทั้งสองคนกำลังนอนซ้อนทับกัน
แววตาของเสิ่นเยี่ยนเข้มขึ้น “อย่าขยับ”
“ข้าไม่ได้ขยับนะเ้าคะ” กู้เจิงถามอย่างแปลกใจ ร่างกายของนางถูกเขาทับไว้ จะขยับได้อย่างไร?
เสิ่นเยี่ยน “...”
“ท่านพี่?” มือของกู้เจิงยื่นมาโอบรอบคอเขาอย่างเป็ธรรมชาติ ั์ตาดำขลับเป็ประกายวิบวับ “ข้าขอถามท่านสักคำถาม ท่านต้องตอบข้าตามตรงนะเ้าคะ”
“ได้สิ”
กู้เจิงกระแอมไอ “นี่เป็ครั้งแรกของท่านหรือเปล่าเ้าคะ?”
เสิ่นเยี่ยนคิดว่าตัวเองหูฝาดไป เขาอึ้งงันไปชั่วครู่
กู้เจิงรู้สึกไม่สบอารมณ์ “หรือนี่ไม่ใช่ครั้งแรก?”
เสิ่นเยี่ยนมองนางอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ภรรยาของเขากำลังคิดฟุ้งซ่านอะไรอยู่กันนะ “ก่อนจะเจอเ้า ข้าไม่เคยมีหญิงอื่น”
“จริงหรือเ้าคะ?”
นางไม่เชื่อเขางั้นหรือ? เสิ่นเยี่ยนบีบจมูกเล็กของนางอย่างเอ็นดู “ข้าบริสุทธิ์ผุดผ่องมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
กู้เจิงทำหน้าพอใจ จากนั้นร่างกายของนางก็แข็งค้าง นางรู้สึกถึงความ้าของเสิ่นเยี่ยน กู้เจิงหน้าแดงระเรื่อถามขึ้นว่า “เหตุใดคืนนี้ถึงไม่ได้เ้าคะ?”
“ที่นี่ไม่ได้” เสิ่นเยี่ยนพลิกตัวกลับลงนอน เมื่อครู่เขาหุนหันพลันแล่นไปหน่อย คนที่เจ็บตัวครั้งนี้ก็ยังคงเป็ตัวเขาเอง
ถ้าที่บ้านไม่ได้แล้วต้องไปที่ไหนกัน? กู้เจิงฟังแล้วงงๆ
วันถัดมา เสิ่นเยี่ยนไปจวนตวนอ๋องั้แ่เช้าตรู่ ตอนเที่ยงเขามาที่บ้านของป้ารองเพื่อกินอาหารกลางวันและมาอยู่เป็เพื่อนกู้เจิง
ทุกคนต่างสอบถามเื่การมีบุตรของทั้งสองคน กู้เจิงบอกทุกคนตามจริงว่านางพร้อมจะเป็แม่คนแล้วในปีนี้ ทุกคนล้วนหัวเราะชอบใจกันใหญ่ แม้แต่ในแววตาเสิ่นเยี่ยนก็ยังยากที่จะซ่อนรอยยิ้มไว้ได้ สองสามีภรรยาเสิ่นก็มีสีหน้าคาดหวังเช่นเดียวกัน
กู้เจิงเองก็ตั้งตารอเช่นกัน นางคิดว่าหลังจากคลอดลูกแล้ว พ่อแม่สามีจะต้องช่วยเลี้ยงลูกของนางอย่างดีแน่นอน
หัวข้อพูดคุยของทุกคนได้เปลี่ยนไปเป็เสี่ยวเหมาเอ๋อร์เสิ่นฉินแทนกู้เจิง
“เื่เรียนของเสี่ยวเหมาเอ๋อร์ว่ายังไงบ้าง?” ลุงใหญ่ถามขึ้นลอยๆ
“อาเยี่ยนได้คุยเื่ที่เรียนให้อาฉินแล้ว” ลุงสามกล่าว “อีกไม่นานก็ไปเริ่มเรียนได้แล้ว”
“ข้าอยากมีอนาคตที่ดีเหมือนพี่อาเยี่ยนขอรับ” ถ้อยคำของเสิ่นฉินเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น
“ช่างดีจริงๆ ตระกูลเสิ่นของพวกเรากำลังะมีบุรุษมากความสามารถอีกคนแล้ว” ป้าใหญ่พูดยิ้มๆ
เช้าวันที่สี่ถึงคิวมาที่บ้านของป้าสาม วันนี้คนในตระกูลเสิ่นมากันน้อยลงมาก เนื่องจากที่บ้านของเสิ่นเหมยเอ๋อร์เกิดเื่ขึ้นจึงไม่ได้พาลูกๆ มา ส่วนเสิ่นกุ้ยไปทำงานที่หอสมุด จึงแวะมาทานข้าวที่บ้านป้าสามได้แค่มื้อเดียว และในวันนี้เสิ่นเยี่ยนก็ทำงานติดพันเลยไม่ได้มาเช่นเดียวกัน
แต่ถึงแม้คนจะน้อยแต่ก็ครึกครื้นเช่นเดิม
วันที่ห้าเป็คิวของบ้านนางเอง กู้เจิง ชุนหง และนายหญิงเสิ่นเตรียมอาหารรอต้อนรับทุกคนั้แ่เช้าตรู่
ส่วนเสิ่นเยี่ยนกับนายท่านเสิ่นก็ได้ไปผ่าฟืนเตรียมเอาไว้เช่นกัน เพราะวันนี้ต้องใช้ฟืนจำนวนมาก
ขณะที่ทั้งครอบครัวกำลังเตรียมการกันอยู่ ป้ารองที่มาถึงก่อนได้วิ่งเข้ามาในบ้านอย่างตื่นเต้นพร้อมแจ้งข่าว “ทุกคน ภรรยาของตงเถียนใกล้จะคลอดแล้ว”
“เร็วขนาดนี้เชียว” นายหญิงเสิ่นวิ่งออกมาจากห้องครัว “ต้องให้ไปช่วยไหม”
“คนพอแล้ว ข้าจะมาบอกกับเ้าว่าให้ย้ายอาหารไปที่บ้านพี่ใหญ่ ปีนี้พวกเ้าก็เชิญทุกคนไปกินอาหารกันที่บ้านพี่ใหญ่แทนเถอะ แบบนี้จะได้สะดวกดี”
“ได้” นายหญิงเสิ่นไม่มีข้อคัดค้านใดๆ
เมื่อตกลงกันได้แล้ว พวกกู้เจิงจึงห่ออาหารขึ้นรถม้าและตรงไปยังบ้านของลุงใหญ่อย่างตื่นเต้น
บนท้องถนนในวันนี้การจราจรติดขัด คนบ้านอื่นๆ ก็ล้วนแต่เดินทางไปเยี่ยมญาติมิตรเหมือนกัน
“ท่านพี่” กู้เจิงชะโงกหน้าออกมาจากในรถม้า นางชี้ไปยังแผงขายถังหูลู่ที่อยู่ข้างทาง“หยุดก่อนได้ไหมเ้าคะ ข้าจะไปซื้อถังหูลู่ให้ชุนหง นางชอบกินที่สุด”
“บ่าวจะไปกับคุณหนูเ้าค่ะ” ชุนหงกล่าวอย่างดีใจ
"พวกเ้านั่งรอเถอะ ข้าลงไปซื้อเอง” เสิ่นเยี่ยนลงจากรถม้าไป
“ลูกค้า จะซื้อกี่ไม้ขอรับ?” พ่อค้าถังหูลู่ถามขึ้น
“สองไม้” ขณะที่เสิ่นเยี่ยนหยิบถุงเงินออกมากำลังจะจ่ายเงิน ก็ได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากด้านหลัง “ท่านแม่ทัพ ท่านมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
เสิ่นเยี่ยนหันกายไปตามเสียงเรียก เขาเห็นชายหนุ่มสองคนเเข้ามาประสานมือคารวะเขาด้วยสีหน้านอบน้อม ใบหน้าของเขาทำทั้งคู่ตะลึงงัน พวกเขาทั้งสองคนกะพริบตาปริบๆ เพราะติดตามท่านแม่ทัพมาหลายปี ไม่มีทางที่จะจำเงาร่างของท่านแม่ทัพผิดไปได้