ตอนที่ 1 กำเนิดดวงตาทิพย์หยก
ความตาย... มันควรจะเย็นเยียบและเงียบสงัด
แต่สิ่งที่ หลิน ััได้ในตอนนี้กลับเป็ความหนาวเหน็บที่เสียดแทงเข้ากระดูก ความหิวโหยที่บิดเกรี้ยวกระเพาะราวกับจะย่อยสลายตัวเธอจากภายใน และเสียงลมหวีดหวิวที่ลอดผ่านช่องโหว่ของผนังดินกระทบผิวจนแสบไปหมด
เปลือกตาที่หนักอึ้งราวกับแบกูเาทั้งลูกค่อย ๆ ปรือขึ้น ภาพที่เห็นพร่าเลือน ก่อนจะค่อย ๆ รวมตัวเป็ภาพของหลังคามุงจากผุพังที่มีรูโหว่ให้เห็นแสงดาวริบหรี่ จมูกได้กลิ่นอับชื้นของดินและกลิ่นยาจีนราคาถูกที่คละคลุ้งจนน่าเวียนหัว
นี่มันที่ไหนกัน? ทริปสำรวจพันธุ์พืชหายากในป่าลึกไม่ใช่เหรอ? ความทรงจำสุดท้ายของเธอคือเสียงกรีดร้องของเพื่อนร่วมทีม ดินผนังถ้ำถล่ม และความเ็ปที่บดขยี้ร่างจนแตกสลาย
พรึ่บ!
ทันใดนั้น ความทรงจำที่ไม่ใช่ของเธอราวกับน้ำป่าไหลหลากโถมเข้าใส่สมองอย่างบ้าคลั่ง!
เด็กสาวนาม มู่หลิงซี วัยสิบห้าปี ร่างกายอ่อนแอขี้โรคมาแต่กำเนิด ชีวิตที่เต็มไปด้วยการถูกกดขี่ คำดูถูก และความอดอยาก ภาพของครอบครัวที่หิวโหยและผอมโซ พ่อผู้ซื่อสัตย์ไม่เคยปริปากบ่น ทำงานหนักจนหลังแทบหัก แม่ผู้อ่อนโยนดวงตาเริ่มพร่ามัว จากการเย็บปักผ้าทั้งวันทั้งคืน และน้องชายตัวน้อยที่ขาดสารอาหารร่างกายไม่แข็งแรง
ทั้งหมดนี้เพื่อใคร?
ไม่ใช่เพื่อปากท้องของครอบครัว ไม่ใช่เพื่ออนาคตของน้องชายตัวน้อย และยิ่งไม่ใช่เพื่อตัวของมู่หลิงซีเอง
หยาดเหงื่อทุกหยดที่บิดาหลั่งรินกลางทุ่งนาจนแผ่นหลังไหม้เกรียม สายตาของมารดาที่พร่ามัวลงทุกวันจากการเย็บปักผ้าใต้แสงตะเกียงริบหรี่ และร่างกายที่อ่อนแอของนางกับน้องชายที่ต้องทนกินข้าวหยาบกับผักดองรสเค็มปร่า ทั้งหมดนี้มีเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียว
เพื่อส่งเสีย มู่เทียนหยู ลูกพี่ลูกน้องผู้ถูกขนานนามว่าเป็ ความหวังแห่งตระกูลมู่ ให้ได้อ่านหนังสือสอบเข้ารับราชการ!
มันคือความฝันลมๆ แล้งๆ ของท่านย่าจางและบ้านใหญ่ ที่จะไต่เต้าจากชนชั้นชาวนาขึ้นไปเป็ตระกูลขุนนางผู้สูงส่ง และพวกเขาก็ได้ใช้ครอบครัวของมู่เจิ้งเป็บันได ที่เหยียบย่ำขึ้นไปสู่ฝันนั้น
ทุกฤดูเก็บเกี่ยว ข้าวเปลือกพันธุ์ดีที่สุดที่พ่อของนางปลูกได้ จะถูกขนไปเก็บไว้ที่ยุ้งฉางของบ้านใหญ่จนหมดสิ้น ส่วนที่เหลือให้ครอบครัวนางเป็เพียงข้าวหักหรือข้าวปลายเป็บางครั้งบางคราว เงินทุกอีแปะที่แม่ของนางหามาได้จากการรับจ้างเย็บปักผ้า จะถูกหักไปเป็ค่ากระดาษ ค่าพู่กัน และค่าหมึกให้กับมู่เทียนหยู โดยอ้างว่าเป็ การลงทุนเพื่ออนาคตของวงศ์ตระกูล
แต่การลงทุนที่ว่านี้ ไม่เคยออกดอกออกผลกลับมาสู่ครอบครัวของนางเลยแม้แต่น้อย
ยิ่งบนโต๊ะอาหาร ภาพความเหลื่อมล้ำยิ่งเด่นชัดจนบาดลึกเข้าไปในใจ มู่เทียนหยูจะได้กินเนื้อตุ๋นชิ้นโตและซุปไก่บำรุงสมอง โดยมีท่านย่าจางคอยพูดกรอกหูเสมอว่า "กินเยอะๆ นะหลานรักของย่า จะได้มีแรงอ่านตำรา" ในขณะที่หลิงซีและน้องชายต้องมองตาปริบๆ และทนกลืนข้าวต้มใสแจ๋วกับเศษผักลงท้อง หากวันไหนนางเผลอเอ่ยปากขอเนื้อสักชิ้น สิ่งที่ได้กลับมาคือสายตาที่ดูแคลนและคำพูดที่เชือดเฉือนจากป้าสะใภ้ใหญ่.
"ของบำรุงเช่นนี้มีไว้สำหรับผู้ที่จะเป็ขุนนางในอนาคต! ไม่ใช่สำหรับเด็กผู้หญิงไร้ค่าอย่างเ้า ที่กินเข้าไปก็มีแต่จะสิ้นเปลืองเสบียง!"
ภาพข้าวขาวร้อนๆ กับเนื้อตุ๋นชิ้นโตถูกตักใส่ชามของบ้านใหญ่ ในขณะที่ครอบครัวของเธอ ต้องรอให้พวกเขากินเสร็จก่อน แล้วพวกเขาถึงจะได้กินและจะได้เพียงข้าวหยาบแข็งกระด้างกับน้ำแกงใสจนมองเห็นก้นชาม และผักดองไม่กี่ชิ้น
พวกนางถูกทำให้เชื่อ ถูกตอกย้ำทุกวัน ว่าการมีอยู่ของพวกนางนั้นต่ำต้อย และหน้าที่เพียงหนึ่งเดียวของพวกนาง คือการเสียสละ เพื่อความสำเร็จของมู่เทียนหยู โดยที่ไม่มีใครเคยตั้งคำถามเลยว่า ความหวังที่ทุกคนฝากไว้นั้น เป็ของจริงหรือเป็เพียงแค่ภาพลวงตา
ทั้งหมดถูกควบคุมโดยคนผู้เดียว คือท่านย่าจาง! ประมุขหญิงแห่งตระกูลมู่ ผู้มีแววตาเ็าและวาจาคมกริบยิ่งกว่าใบมีด
"แค่ก! แค่กๆ!"
หลินในร่างของมู่หลิงซี ไอออกมาอย่างรุนแรง ความเ็ปที่แล่นริ้วในลำคอทำให้เธอรู้ว่านี่ไม่ใช่ความฝัน นี่คือความจริงอันโหดร้าย เธอตายไปแล้ว และได้เกิดใหม่ในร่างของเด็กสาวผู้น่าสงสารคนนี้
"ซีเอ๋อร์! ซีเอ๋อร์ เ้าฟื้นแล้ว!"
เสียงนุ่มนวลแต่แหบพร่าดังขึ้นข้างหู หลี่ซือ ผู้เป็แม่ รีบประคองร่างเธอขึ้นมา ดวงตาของผู้หญิงวัยสามสิบต้นๆ คู่นั้น แม้จะดูโรยราเกินวัย แต่เธอก็ยังมีเค้าโครงความสวยอยู่ และเปี่ยมด้วยความรัก ความห่วงใยสุดหัวใจ "ดื่มยาก่อนนะลูก แม่ไปอุ่นมาให้ใหม่แล้ว"
หลิงซีมองถ้วยยาสีดำสนิทในมือมารดา แม้กลิ่นจะเหม็นขม แต่เธอก็ฝืนดื่มมันลงไปจนหมด ของเหลวอุ่นๆ ไหลผ่านลำคอ บรรเทาความเ็ปลงได้บ้าง
"ท่านแม่ ข้าหิว" เป็ครั้งแรกที่เธอเอ่ยปาก เสียงแหบแห้งจนแทบไม่เป็คำ
หัวใจของหลี่ซือกระตุกวูบ นางมองไปรอบกระท่อมที่ว่างเปล่า ในครัวไม่มีอะไรเหลือแล้วจริงๆ เสบียงทั้งหมดถูกบ้านใหญ่ เก็บไปรวมที่ยุ้งฉางบ้านใหญ่หมดแล้ว นางได้แต่ลูบหัวลูกสาวเบาๆ น้ำตาคลอหน่วย อดทนหน่อยนะลูก เดี๋ยวก็ถึงเวลากินข้าวเย็นแล้ว"
กินข้าวเย็น คำนี้ในความทรงจำของมู่หลิงซีช่างน่าขันสิ้นดี มันคือเวลาแห่งการประจานความเหลื่อมล้ำประจำวันต่างหาก
เมื่อตะวันคล้อยต่ำ มู่เจิ้งผู้เป็พ่อก็กลับมาจากการทำงานในนา สภาพของเขาดูไม่ได้ เนื้อตัวมอมแมม ร่างกายสูงใหญ่กลับดูซูบผอม แต่ทันทีที่เห็นว่าลูกสาวฟื้นแล้ว ใบหน้าที่เหนื่อยล้าก็ปรากฏรอยยิ้มกว้างออกมาทันที
"ซีเอ๋อร์ของพ่อ! ดีจริงๆ ที่เ้าไม่เป็อะไรแล้ว!"
ครอบครัวเล็กๆ ทั้งสี่คนเดินไปยังบ้านใหญ่ ที่โถงกลางบ้านของตระกูลมู่ ซึ่งเป็ที่ตั้งโต๊ะอาหารเย็นร่วมกัน กลิ่นหอมของเนื้อตุ๋นลอยมาแตะจมูก ทำให้น้องชายตัวน้อย มู่เฟย ถึงกับกลืนน้ำลายเสียงดังเอื๊อก
เมื่อทุกคนนั่งประจำที่ ย่าจางในชุดผ้าไหมสีเข้มก็เดินออกมาจากห้องโถงใหญ่ นางกวาดตามองทุกคนด้วยแววตาเรียบเฉย ก่อนจะไปหยุดที่ครอบครัวของหลิงซีที่ยืนรออยู่ที่หน้าประตู สายตาของนางแฝงความรังเกียจไว้อย่างไม่ปิดบัง
"ฟื้นแล้วรึ ยัยเด็กขี้โรค สิ้นเปลืองยาต้มไปอีกกี่อีแปะกันล่ะ"
เป็คำทักทายที่แทงลึกจนคนฟังเจ็บจี๊ดไปถึงหัวใจ มู่เจิ้งกำหมัดแน่น แต่ก็ทำได้เพียงก้มหน้าลง หลี่ซือกอดลูกสาวไว้แน่นขึ้น
"ท่านแม่ เป็ความผิดของข้าเองที่ดูแลลูกไม่ดี" หลี่ซือกล่าวเสียงสั่น
ป้าสะใภ้ใหญ่ หวังซื่อที่นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารแค่นเสียงหัวเราะ "น้องสะใภ้รอง เ้าก็พูดเกินไป ต่อให้เ้าจะดูแลดีแค่ไหน ถ้าในเมื่อเืเนื้อเชื้อไข มันอ่อนแอมาั้แ่เกิดมันก็คงช่วยอะไรไม่ได้หรอก ไม่เหมือนเทียนหยูของข้า ที่แข็งแรงและมีสติปัญญาล้ำเลิศ อนาคตจะต้องเป็เสาหลักของตระกูลอย่างแน่นอน!"
ย่าจางพยักหน้าอย่างพึงพอใจ นางเริ่มตักอาหาร ทัพพีในมือนางไม่ต่างจากคทาของผู้พิพากษา ข้าวขาวพูนชามกับเนื้อตุ๋นชิ้นใหญ่ที่สุดถูกส่งให้มู่เทียนหยู ตามด้วยชามของลุงใหญ่มู่เฉียงและของนางเองและทั้งหมดก็เริ่มกินกันอย่างเอร็ดอร่อย ปล่อยให้บ้านรองยืนรอให้พวกเขากินอิ่มก่อน จึงจะเอาที่เหลือออกไปกินได้
"พวกเ้าทำงานใช้แรงงาน กินแค่นี้ก็พอแล้ว" นางกล่าวเสียงเ็า "ส่วนเ้ายัยหลิงซีป่วยอยู่ กินของมันๆ ไม่ได้ กินแค่น้ำแกงก็พอ"
หลิงซีจ้องมองชามข้าวตรงหน้า ไม่สิ ต้องเรียกว่าชามน้ำล้างผักต่างหาก! ความทรงจำเก่าๆ บอกว่านี่เป็เื่ปกติ แต่สำหรับหลิน จิติญญาใหม่ในร่างนี้ มันคือการหยามศักดิ์ศรีความเป็มนุษย์อย่างรุนแรง!
นี่มันยุคไหนกันแน่ ยังมีการแบ่งชนชั้นบนโต๊ะอาหารกันอยู่อีกเหรอ?
ความโกรธที่คุกรุ่นทำให้เืในกายเธอสูบฉีด ร่างกายที่อ่อนแอกลับมีแรงขึ้นมาอย่างประหลาด เธอกำลังจะอ้าปากพูด แต่พ่อของเธอกลับส่งสายตาปรามมา "ซีเอ๋อร์... เอาของพวกนี้ไปกินเถอะลูก"
แววตาของพ่อเต็มไปด้วยความเ็ปและอับจนหนทาง เขารู้ว่าการต่อต้านมีแต่จะนำมาซึ่งเื่เลวร้ายกว่าเดิม
หลิงซีจำต้องก้มหน้าลงยอมรับเพราะไม่อยากให้พ่อลำบากใจ แต่ในใจกลับเดือดพล่านราวกับูเาไฟรอวันปะทุ อดทนไว้ อดทนไว้ก่อน ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา
หลังจากมื้อค่ำสุดอนาถาจบลง ครอบครัวของเธอกลับมาที่กระท่อมด้วยความเงียบงัน มู่เฟยน้องชายตัวน้อยเดินเข้ามาใกล้ๆ ยื่นผักดองชิ้นเล็กๆ ที่เขาแอบซ่อนไว้ในแขนเสื้อส่งให้เธอ
"พี่หญิง ของท่าน"
ภาพเด็กชายผอมแห้งที่ยอมอดเพื่อให้พี่สาวได้กิน ทำให้กำแพงความอดทนของหลินพังทลายลง น้ำตาที่ไม่เคยไหลรินให้ใครเห็นง่ายๆ เอ่อคลอขึ้นมาเต็มหน่วยตา นี่คือครอบครัว คือสายใยที่เ้าของร่างเดิมยอมตายเพื่อปกป้อง และตอนนี้ มันคือครอบครัวของเธอแล้ว!
เธอรับผักดองชิ้นนั้นเข้าปาก เคี้ยวมันช้าๆ รับรสเค็มปร่าและความรักอันบริสุทธิ์ของน้องชายลงไปในท้อง ในอกของเธอมีบางอย่างเปลี่ยนไป มันไม่ใช่แค่ความโกรธ แต่เป็ความมุ่งมั่น ที่จะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง!
คืนนั้น หลิงซีนอนไม่หลับ เธอลุกขึ้นมานั่งข้างหน้าต่าง มองออกไปยังทิวเขาที่มืดมิดภายใต้แสงจันทร์ ความรู้ด้านพฤกษศาสตร์ของเธอกรีดร้องอยู่ในหัว ในูเาลูกนั้น ต้องมีสมุนไพร มีพืชที่กินได้ มีทรัพยากรซ่อนอยู่มากมาย แต่ชาวบ้านที่นี่กลับมองไม่เห็นคุณค่าของมัน
เธอเพ่งสมาธิไปที่ความมืดมิดนั้น จู่ๆ โลกในสายตาของเธอก็เปลี่ยนไป!
วูบ!
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเป็สีดำกลับปรากฏเส้นสายของ พลังงาน ที่มองไม่เห็นขึ้นมาแทนที่! มันเป็ภาพที่น่าอัศจรรย์จนแทบหยุดหายใจ...
ต้นไม้แต่ละต้นมีแสงสีเขียวอ่อนๆ ห่อหุ้มอยู่ แต่ความสว่างของมันกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ต้นหญ้าธรรมดามีแสงเพียงบางเบาจนแทบมองไม่เห็น ในขณะที่ต้นไม้ใหญ่บางต้นกลับมีแสงปราณหนาแน่นกว่าอย่างเห็นได้ชัด และที่น่าทึ่งที่สุด คือลึกลงไปในป่าทึบบนูเา มีจุดแสงสีเขียวมรกตที่สว่างเจิดจ้ากว่าใครเพื่อน มันส่องประกายระยิบระยับราวกับดวงดาวบนพื้นดิน!
หลิงซีเบิกตากว้าง หัวใจเต้นระรัวราวกับจะทะลุออกมานอกอก นี่มันอะไรกัน? ภาพหลอนจากอาการป่วย? หรือ... ปาฏิหาริย์ที่ติดตัวเธอมาจากการทะลุมิติ?
เธอพยายามตั้งสติ ข่มความตื่นเต้นลง และเพ่งมองอีกครั้ง ภาพเส้นสายของพลังงานยังคงชัดเจน สว่างไสวตัดกับความมืดมิดของยามราตรี
ทันใดนั้น ภาพความทรงจำสุดท้ายในชาติภพก่อนก็ฉายชัดขึ้นมาในหัวอีกครั้ง
เสียงกรีดร้อง เสียงดินถล่มดังกึกก้อง ร่างของเธอถูกแรงอัดมหาศาลกระแทกเข้ากับผนังถ้ำโบราณที่คณะสำรวจของเธอเพิ่งค้นพบ ในเสี้ยววินาทีสุดท้ายก่อนที่สติจะดับวูบลง หินแหลมคมแทงทะลุหน้าอกของเธอ เืสีแดงสดทะลักอาบร่าง และไหลซึมลงไปบนแท่นหินประหลาดที่ตั้งอยู่ใจกลางถ้ำ
แท่นหินนั่น ใช่แล้ว! มันคือแท่นหินที่สลักลวดลายโบราณซึ่งยังไม่มีใครอ่านออก บนแท่นมีวัตถุชิ้นหนึ่งวางอยู่... มันคือเม็ดหินสีเขียวมรกต ขนาดเท่าหัวแม่มือ เป็สิ่งที่ทีมของเธอค้นพบและยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็แร่ธาตุหรือซากฟอสซิลของพืชชนิดใด เืของเธอ เืที่ชุ่มโชกได้ไหลรินไปัักับเม็ดหินก้อนนั้น
ในวินาทีที่เืและเม็ดหินัักัน แสงสีเขียวมรกตอันเจิดจ้าก็ะเิออกมาจากเม็ดหินนั้น ห่อหุ้มร่างของเธอไว้ แสงนั้นทั้งอบอุ่นและเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต มันแทรกซึมผ่านดวงตาของเธอ เข้าไปในจิติญญา ก่อนที่ทุกอย่างจะดับมืดลง
ความทรงจำนั้นชัดเจนราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน!
หลิงซีรีบยกมือขึ้นมาััดวงตาของตัวเอง นี่เองคือที่มา! การตายของเธอไม่ใช่จุดจบ แต่เป็การหลอมรวมจิติญญาของเธอกับพลังงานโบราณที่หลับใหลอยู่ในเม็ดหินก้อนนั้น และเมื่อิญญาของเธอเดินทางข้ามมิติมาอยู่ในร่างของมู่หลิงซี พลังนั้นก็ได้ติดตามมาด้วย และสำแดงออกมาผ่านดวงตาคู่นี้!
"ดวงตาทิพย์หยก..." เธอกระซิบชื่อเรียกของมันออกมาอีกครั้ง ตอนนี้เธอเข้าใจแล้ว มันไม่ใช่แค่ชื่อที่ผุดขึ้นมาลอยๆ แต่เป็ชื่อที่จิติญญาของเธอรับรู้ได้ถึงแก่นแท้ของพลังนี้ พลังที่มาจากเมล็ดพันธุ์หยกโบราณก้อนนั้น
นี่ไม่ใช่ปาฏิหาริย์ลอยๆ แต่มันคือ มรดก ที่เธอได้รับมาจากชาติก่อน เป็ทั้งพร์และความรับผิดชอบ พลังนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อมองเฉยๆ แต่มีไว้เพื่อเปลี่ยนแปลง
ความเข้าใจนี้ทำให้ความมุ่งมั่นในใจของเธอยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเป็ทวีคูณ ในเมื่อ์ (หรืออะไรก็ตาม) ได้มอบโอกาสครั้งที่สองและเครื่องมือชั้นยอดมาให้เธอถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าเธอยังปล่อยให้ตัวเองและครอบครัวใหม่ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่อีก ก็คงต้องเรียกว่าโง่เง่าเกินมนุษย์แล้ว!
เธอหันกลับมามองในกระท่อม พ่อ แม่ และน้องชายที่กำลังหลับสนิท ต่างก็มีแสงปราณสีขาวนวลบางๆ ห่อหุ้มร่างเอาไว้ แต่แสงนั้นกลับดูริบหรี่และขาดห้วง โดยเฉพาะพ่อและน้องชาย แสงปราณของพวกเขามีจุดสีเทาคล้ำแทรกซึมอยู่ทั่วไป บ่งบอกถึงสุขภาพที่อ่อนแอและร่างกายที่ขาดสารอาหารมานาน
เธอหลับตาลงแล้วลืมขึ้นใหม่ ภาพมหัศจรรย์นั้นก็ยังคงอยู่ นี่ไม่ใช่ความฝัน!
ความตื่นเต้นแล่นพล่านไปทั่วร่างจนเธอแทบจะกรีดร้องออกมาดังๆ นี่ไม่ใช่แค่การมองเห็น แต่เป็ขุมทรัพย์! ด้วยสายตานี้ ูเาทั้งลูกที่คนอื่นเห็นเป็เพียงป่ารกร้าง ในสายตาของเธอมันกลับกลายเป็ หีบสมบัติ ขนาดั์ที่รอให้เธอไปเปิด! สมุนไพรล้ำค่าที่ซ่อนอยู่ใต้ดิน พืชมีพิษที่ต้องหลีกเลี่ยง หรือแม้กระทั่งสัตว์ป่าที่แข็งแกร่ง เธอสามารถมองเห็นมันได้ทั้งหมด!
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าซีดเซียวของมู่หลิงซีเป็ครั้งแรก เป็รอยยิ้มที่เฉียบคมและเต็มไปด้วยความหวัง ไม่ใช่รอยยิ้มที่อ่อนแอและหวาดกลัวอย่างที่เคยเป็
บ้านใหญ่ ท่านย่าจาง ลุงใหญ่ ป้าใหญ่ มู่เทียนหยู
เธอทวนชื่อเ่าั้ในใจ แววตาที่มองออกไปในความมืดเปลี่ยนจากความสิ้นหวังเป็ความท้าทาย
พวกท่านคิดว่าข้าเป็แค่เด็กผู้หญิงอ่อนแอที่รอวันตายอย่างนั้นรึ? คิดว่าครอบครัวข้าเป็แค่ทาสรับใช้ที่ต้องก้มหัวให้พวกท่านไปตลอดชีวิตอย่างนั้นรึ? พวกท่านคิดผิดแล้ว!
"ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะคน แต่ถ้าคนมันมีตัวช่วยดีๆ ลิขิตฟ้าก็แค่กระดาษแผ่นหนึ่งเท่านั้นแหละ!" เธอพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง มันคือเสียงของหลิน ผู้ไม่เคยยอมแพ้ต่อโชคชะตา!