ในยุคที่ขาดแคลนเงินจึงใช้น้ำมัน กากหมูเป็อาหารที่ได้รับความนิยมอย่างยิ่ง หากใส่ขิง กระเทียมและพริกสับลงไปผัด เสียงดังซู่ซ่า กินเข้าไปแล้วจะมีแต่ความหอมมันคลุ้งอยู่ในปาก
“เช่นนั้นก็ซื้อมันหมูมาเยอะหน่อย”
จางกุ้ยฮัวไม่ได้บอกให้นางซื้อปอดหมูมาให้น้อย เพราะถึงอย่างไรปอดหมูราคาก็ถูก นางเองก็พอใจที่ได้ประหยัดเงินมากขึ้น
หลังจากทานอาหารเช้า สมองของหลิวเต้าซียงก็ตื่นขึ้นไม่น้อย จางกุ้ยฮัวเอาเงินให้นางซื้อของ นางจึงบอกว่าตนเองพอมีเงินอยู่บ้าง ถึงอย่างไรก็ไม่ได้ใช้อะไร ตอนนี้ในบ้านกำลังขาดแคลนเงิน สำหรับค่ากับข้าวนางจะออกให้ก่อนดีกว่า
เมื่อพูดจบก็หนีหายไปทันที
ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำ นางเห็นเกวียนวัวของเหล่าหวัง จึงรีบส่งเสียงทักทายให้รอก่อน
วันนี้เป็วันตลาดนัด คนที่ไปเดินตลาดจึงมีไม่น้อย
เหล่าหวังเห็นว่าคนเยอะและบนรถส่วนใหญ่มีตะกร้าวางขวางไว้ จึงให้หลิวเต้าเซียงแบกตะกร้าใบเล็กนั่งลงข้างตนเอง
ผ่านพ้นปีใหม่อากาศก็ดีมาตลอด ถนนหนทางก็ราบเรียบ เกวียนวัวจึงเดินทางค่อนข้างเร็ว ไม่นานนักก็มาถึงที่ตำบล
หลังจากตกลงเวลานัดกับเหล่าหวัง หลิวเต้าเซียงจึงแบกตะกร้าขึ้นหลังเดินเข้าไปในตำบล
คนส่วนใหญ่ที่มาที่นี่ ส่วนมากมีของที่ตนเอง้าซื้อและ้าขาย ย่อมมีคนถามหลิวเต้าเซียงว่า้าไปพร้อมกันหรือไม่
หลิวเต้าเซียงขอบคุณคนเ่าั้ แล้วจึงบอกว่านางจะไปที่ตลาดเพื่อทำธุระก่อน
คนเหล่านี้เห็นว่านางมีธุระที่ต้องทำจริงๆ จึงไม่ได้รั้ง จากนั้นก็แยกย้ายกันไปคนละทาง
หลิวเต้าเซียงยืนอยู่ที่ปากตำบล คิ้วสวยสองข้างกำลังขมวดเป็ปม นางพูดออกมาได้ง่าย แต่ตอนนี้กลับไม่รู้จะไปตามหาคุณชายซูจื่อเยี่ยที่ไหน
นางหงุดหงิดจนอยากะโออกมา!
แต่กลัวว่าซูจื่อเยี่ยจะไม่โผล่มาไม่พอ คนอื่นจะหาว่าเป็บ้าด้วย
ช่างเถิด เช่นนั้นก็ดูไปก่อน!
“นี่ คุณหนูรองหลิวใช่หรือไม่?” เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นเหนือศีรษะ
หลิวเต้าเซียงละสายตาจากแผงร้านค้า แล้วเงยหน้าพร้อมกับฉีกยิ้มเห็นฟัน “นายท่านจิ่ว ไม่เจอกันนาน!”
เกาจิ่วแอบย้อนถามในใจ ก็เพิ่งเจอกันไม่กี่วันก่อนไม่ใช่หรือ?
“ใช่แล้ว ไม่เจอกันนาน คุณหนูรองหลิวมาเดินตลาดนัดหรือ? มีของที่้าซื้ออย่างนั้นหรือ? หรือว่ามาทำธุระ? ขอเพียงบอกมาเถิด”
นี่คือบริการรับเหมางานหรือ?
หลิวเต้าเซียงรู้สึกว่าการแหงนหน้าขึ้นมองคนอื่นเช่นนี้ ช่างปวดคอยิ่งนัก เกิดมาเตี้ยก็เป็ความเ็ปอย่างหนึ่ง!
“โอ้ ข้ามีญาติผู้หนึ่งกำลัง้าซื้อที่นา นายท่านเองก็รู้ บ้านข้ากำลังสร้างกำแพงบ้าน แล้วก็ยุ่งกับการตัดไม้ทำเครื่องใช้ พ่อข้ายังหาเวลาออกมาไม่ได้ ญาติข้า้ารีบซื้อที่นาใน่นี้ให้เสร็จสิ้น จะได้พอดีกับ่เริ่มฤดูเพาะปลูกใบไม้ผลิ และปล่อยเช่าที่นา”
นางไม่ได้พูดเื่ที่ตนเองกำลังตามหาซูจื่อเยี่ย เพราะมีลางสังหรณ์ว่าเื่นี้อย่าได้เอ่ยกับคนนอกจะดีที่สุด คงต้องสืบถามเองอย่างเงียบๆ
“โอ้ เ้า้าซื้อที่ดินนี่เอง ญาติของเ้า้าซื้อเท่าไร? ในตำบลมีนายหน้าอยู่หลายท่าน แต่ที่ไปแจ้งกับทางหน่วยงานราชการกลับมีเพียงผู้เดียว”
เกาจิ่วกําลังบอกใบ้นางว่า คนที่ไว้ใจได้มีเพียงท่านเดียว
หลิวเต้าเซียงถึงเพิ่งรู้ว่าเื่นี้ห่างไกลจากที่คิดไว้มากนัก ในโลกยุคหลัง การขายหรือเช่าบ้านขอเพียงมีคนกลางก็สามารถจัดการได้ทุกเื่
แต่ในราชวงศ์โจว เห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้ผล
“นายท่านจิ่วรู้จักหรือ? ญาติข้า้าซื้อที่นาดีเก้าไร่และที่ดินรกร้างหกไร่”
นางพูดออกไปก็รู้สึกเกรงใจ ท่านยายของนางไม่ได้จะซื้อที่ดินมากมาย ลำพังที่จำนวนแค่นี้ต้องรบกวนผู้อื่น จึงรู้สึกเกรงใจไม่น้อย
“เ้ารู้สึกเกรงใจสินะ มิเป็ไร นายหน้าผู้นั้นคือพี่ชายของภรรยาลูกน้องข้าเอง เพียงแค่คำพูดเดียวก็จัดการได้แล้ว”
ที่แท้ก็มีความสัมพันธ์เช่นนี้ มิน่าเกาจิ่วถึงได้ถามขึ้น
“เช่นนั้นต้องขอบคุณนายท่านจิ่วด้วย หากได้ข่าวคราว ขอรบกวนนายท่านจิ่วไปหาข้าที่บ้าน อ้อ แล้วก็บ้านข้าย้ายไปตรงข้ามแม่น้ำแล้ว บ้านที่ตรงข้ามกับปากทางหมู่บ้านหลังนั้น”
“ย้ายเร็วเช่นนี้เลยหรือ?” เหมือนว่าเขาจะนึกอะไรได้ “ย้ายแล้วก็ดี ข้าจะช่วยเ้ารับเื่นี้ไว้เอง ต่อไปยังต้องให้เ้าช่วยใส่ใจในการเลี้ยงไก่ด้วย!”
คราวนี้หลิวเต้าเซียงยิ้มอย่างจริงใจ ที่แท้ นางมองบุรุษที่ใจกว้างเปิดเผยผิดไปเอง เขาก็เพียงแค่กลัวว่านางสัญญาแล้วจะทำไม่ได้ต่างหาก
“นายท่านจิ่ววางใจได้ กรงไก่บ้านข้าก็ทำเสร็จแล้ว รอเพียงอากาศเริ่มอุ่นและกำหนดวันอุ่นหม้อข้าวบ้านใหม่ ก็จะเริ่มเลี้ยงไก่แล้ว”
ตอนนี้บ้านนางกำลังฉาบกำแพงบ้าน แล้วยังทำเครื่องไม้ คนที่เข้าบ้านมีมากมายเกินไป ลูกไก่นั้นขี้ขลาด อาจจะใได้
ในความเป็จริง เกาจิ่วรู้สึกว่าหลิวฉีซื่อทั้งโลภและโเี้อำมหิตเกินไป เขาหรี่ตาลง สำหรับพวกผู้หญิงในจวนตระกูลหวง เขาเริ่มมีความเข้าใจบ้างแล้ว
เขาคิดๆ แล้วจึงบอกเล่าเื่ของหลิวเหรินกุ้ยให้นางฟัง
“เ้านายของข้าไม่ชอบเหรัญญิกหลิว ก่อนหน้านี้เคยโมโหเพราะเขาฉ้อโกงไปหนหนึ่ง แต่เห็นแก่ความที่เขามีความดีความชอบอยู่บ้าง เพียงแต่เขานำของที่ละโมบไปชดใช้เป็เงินแทน ใครเล่าจะคิดว่าลุงรองของเ้าทำจนเคยชิน เมื่อถึง่ปีใหม่ที่ร้านค่อนข้างยุ่ง พอไม่ทันสังเกต นิสัยเดิมของเขาก็กำเริบ คนของเ้านายที่ส่งมาตรวจสอบบัญชีจึงตรวจพบพอดี เ้านายเห็นแก่สัมพันธ์เก่าแก่ จึงไม่เอ่ยถึงเื่นี้ตอนปีใหม่ พอผ่านพ้นเดือนหนึ่ง จึงเชิญเหรัญญิกคนใหม่มาแทนที่”
ดวงตาของหลิวเต้าเซียงเผยแววมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น สมน้ำหน้านัก!
หลิวเหรินกุ้ยและภรรยาของเขาข่มเหงรังแกคนในครอบครัวนางไว้ไม่น้อย
“แบบนั้นต้องทำเช่นไร นายท่านจิ่ว ท่านเองก็รู้ว่า บ้านข้าเพิ่งจะแยกบ้านตอนวันที่สิบห้าเดือนหนึ่ง ลุงรองของข้าไม่อาจทำงานที่โรงเตี๊ยมฟู่กุ้ยได้อีก แบบนั้นต่อไปพวกเขาต้องไปอยู่ที่ใด!”
เกาจิ่วยิ้ม “ดีที่ครอบครัวของคุณหนูรองหลิวย้ายออกมาแล้ว อีกราวยี่สิบกว่าวัน ลุงรองของเ้าก็ไม่สามารถอยู่ต่อที่โรงเตี๊ยมฟู่กุ้ยได้แล้ว แล้วก็ ที่คุณหนูรองเคยเกริ่นถึงเื่ที่จะซื้อที่ดินก่อนหน้านี้ ข้าแนะนำว่าคุณหนูอย่าเพิ่งใจร้อน ก่อนหน้านี้ข้าเพิ่งพบกัวซิวฝาน เขาบอกว่าพ่อของเ้าคือยอดคน หากให้เวลาอีกไม่กี่ปี เกรงว่าคงเก่งกาจเหนือกว่าเขาอีกมากโข พอดีกับปีหน้าเป็การสอบชิวเหวยที่สามปีมีหนึ่งครั้ง หรือไม่ก็ให้ท่านพ่อของเ้าไปสอบถงเซิงหลังการเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วง เมื่อมีการลงทะเบียนอย่างเป็ทางการ ปีหน้าก็จะได้ลองสอบดู ไม่ต้องคาดหวังว่าจะได้ระดับสูงหรือไม่ เพียงได้สอบเป็ประสบการณ์ก็ยังดี”
เขาช่วยหลิวเต้าเซียงวางแผนจากใจจริง ในเมื่อนางเป็ที่ถูกใจของเ้านาย เขาก็ไม่ถือสาที่จะชี้แนะ หากว่าหญิงสาวผู้นี้มีสถานะทางบ้านดี สีหน้าของเ้านายก็จะได้ดีขึ้นมาหน่อย
“ขอบคุณมากสำหรับคำแนะนำของนายท่านจิ่ว ท่านพ่อเองก็มีแผนเช่นนี้ ขอให้สมพรปากนายท่านจิ่ว หากพ่อข้าสอบผ่านจริง คงต้องเชิญนายท่านจิ่วเป็เกียรติมาร่วมดื่มเลี้ยงฉลองที่บ้านข้าด้วย”
คำพูดของหลิวเต้าเซียงดูมีความคิด ไม่ได้ดูไร้การศึกษา
เกาจิ่วพึงพอใจยิ่งนัก ถึงแม้นางจะมีต้นกำเนิดจากครอบครัวผู้เล่าเรียนการเกษตร แต่คำพูดคำจานั้นแตกต่างจากชาวบ้านทั่วไปมาก
เมื่อเห็นว่าเวลาสายมากแล้ว หลิวเต้าเซียงต้องรีบหาคน เมื่อกล่าวลาก็แยกย้ายกันไปคนละทาง
หลิวเต้าเซียงเดินเหม่อลอยไปทั่วตำบลเพื่อหาเงาร่างของซูจื่อเยี่ย
ส่วนเกาจิ่ว หลังจากกล่าวลากับหลิวเต้าเซียงก็รีบจ้ำอ้าวกลับบ้าน
ในเรือนรับรองที่สวยงามแห่งหนึ่ง ซูจื่อเยี่ยสวมชุดสีม่วงหลายเมฆมงคลสีทอง บนศีรษะผูกผมด้วยผ้าสีเดียวกับชุด และคาดด้วยเข็มขัดปักลายสีทอง พร้อมกับห้อยหยกคู่ไว้ด้านซ้าย
ขณะนี้กำลังหยอกนกเล่นอยู่ตรงระเบียง
เมื่อเห็นเกาจิ่วมาขอพบในเวลานี้ จึงนึกประหลาดใจ
“เกาจิ่ว เ้าไม่ไปอยู่ที่โรงเตี๊ยม เหตุใดจึงมาที่นี่?”
เกาจิ่วโค้งคำนับ “เรียนนายท่าน กระหม่อมพบกับคุณหนูรองหลิวบนถนน นางเหมือนกำลังหาใครบางคน”
“เ้าบอกว่านางกําลังมองหาใครบางคนหรือ?” คำพูดของซูจื่อเยี่ยแฝงด้วยความอยากรู้
“พ่ะย่ะค่ะ นายท่าน! คุณหนูรองหลิวยังบอกอีกว่านางมีญาติที่้าซื้อที่นา กระหม่อมคิดว่าคงช่วยแม่ของจางอวี้เต๋อซื้อ”
เกาจิ่วฉลาดแค่ไหน หลิวเต้าเซียงไม่ได้เอ่ยถึงว่าจะซื้อแทนใคร แต่เขากลับได้เงื่อนงำเสียเอง
ซูจื่อเยี่ยสั่งด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์ “หลิวฉีซื่อบีบบังคับทุกทาง ความเหี้ยมโหดของนางไม่ได้ด้อยไปกว่าใครบางคนที่เมืองหลวงด้วยซ้ำ ในเมื่อนางเอ่ยออกมา เ้าก็ช่วยนางหน่อยก็แล้วกัน!”
“นายท่าน บ้านคุณหนูรองหลิว ก่อนหน้านี้เมื่อกลับไปก็เก็บข้าวของย้ายบ้าน เดิมทีกระหม่อมได้ข่าวแล้วจึงอยากมาบอกนายท่านที่กำลังหา...”
ซูจื่อเยี่ยไม่รู้ว่าจู่ๆ คิดอะไรได้ เขาโยนก้านไม้ไผ่ที่ป้อนอาหารนกทิ้งไว้อีกทาง ก่อนจะยิ้มแล้วเอ่ย “ใครก็ได้ มาช่วยข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าที”
เขาจะไปสร้างความประหลาดใจให้แม่สาวน้อยสักหน่อย
เกาจิ่วมองไปที่ลานบ้านที่วังเวง คนทั้งหมดต่างกรูกันไปทำหน้าที่ เขาเอื้อมมือออกมาลูบท้ายทอย ตนเองสามารถกลับไปนั่งที่โรงเตี๊ยมได้แล้วใช่หรือไม่?!
หลิวเต้าเซียงเหลียวซ้ายแลขวาอยู่บนถนนใหญ่ นางเดินหาในตำบลจากทิศตะวันออกสู่ทิศตะวันตก ทิศเหนือลงทิศใต้ จนสุดท้ายก็เริ่มถอดใจ
“หรือว่าเขาจากไปแล้ว?”
นางนึกเสียใจที่ตนเองไม่ใส่ใจ มัวแต่คิดเื่เกี่ยวกับบิดามารดา
“เฮ้อ ไม่รู้ว่าต่อไปจะมีโอกาสได้เจอกันอีกหรือไม่ น่าจะถามเวลาจากไปกับเขาก่อน หากรู้เช่นนี้ ตอนนั้นควรจะเอ่ยปากรั้งเขาไว้ก่อน”
“เ้าจะรั้งใครไว้หรือ?”
หลิวเต้าเซียงรู้สึกเพียงว่าแสงแดดอบอุ่นถูกบดบัง และเสียงเ็าดังขึ้นเหนือศีรษะทางด้านหลัง
นางรู้สึกปีติยินดีในใจ ต่อมาก็โกรธ “ฮึ เกี่ยวอะไรกับเ้าด้วย?”
ชัดเจนว่า คนด้านหลังถูกงอนเสียแล้ว
หลิวเต้าเซียงไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็แบบนี้ อย่างไรก็แล้วแต่ ในใจของนางก็แอบโมโหเล็กน้อย
“ไม่เกี่ยวกับข้าอย่างนั้นหรือ?” ซูจื่อเยี่ยหมุนแหวนหยกบนนิ้วโป้งเบาๆ
“ก็ได้ เช่นนั้นข้าไปก่อนล่ะ”
น้ำเสียงนั้นราบเรียบ ไม่ได้มีน้ำโหแม้แต่นิด
หลิวเต้าเซียงอดไม่ได้ที่จะกระทืบเท้า “นี่ ใครให้เ้าไปกัน ฮึ เหตุใดเ้าจึงไม่ได้พักที่โรงเตี๊ยม? ไม่รู้หรือว่าข้าตามหาเ้าอยู่นานครึ่งค่อนวัน ขาอ่อนแรงไปหมด ยังจะห้ามไม่ให้ข้างอนอีกหรือ?”
มุมปากของซูจื่อเยี่ยนั้นยกสูงขึ้นเล็กน้อย เมื่อเขาหันมาเผชิญหน้ากับนาง ใบหน้าก็สงบนิ่งแล้ว ดูเหมือนว่ามุมปากที่เห็นว่ายกยิ้มเมื่อครู่จะเป็เพียงตาฝาด
“มีเื่อะไร?”
ตามคาด คำพูดคำจานั้นเรียบง่ายตรงประเด็นเช่นเดิม!
หลิวเต้าเซียงรู้ว่าเขาไม่ชอบเื่มาก จึงตอบอย่างตรงไปตรงมา “ไม่มีเื่สำคัญอะไร คือว่า หลายวันก่อนได้เ้าช่วยพาหมอที่เก่งกาจมาช่วยพ่อข้า จะว่าไปก็ยังไม่ได้กล่าวขอบคุณเ้าดีๆ ท่านพ่อกับท่านแม่ข้าจึงอยากเชื้อเชิญเ้าไปพักค้างคืนที่บ้านข้า แต่ก็กลัวว่าในบ้านทรุดโทรมเกินไปและจะต้อนรับได้ไม่ดี”
“ค้างคืนหรือ?!” ดวงตาของเขาเปล่งประกายครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหน้า เดิมทีเขามาที่นี่ด้วยเื่งานลับ ครั้งนี้คงปลีกตัวไปไม่ได้ แต่ก็นึกถึงอาหารรสมือของนาง จึงเอ่ย “่นี้ข้ามีเื่ยุ่ง รออีกไม่กี่วันข้าจะไปเยี่ยมเอง ใช่สิ ที่บ้านเ้ากำหนดฤกษ์ฉลองขึ้นบ้านใหม่แล้วหรือ?”
คำพูดของซูจื่อเยี่ย หลิวเต้าเซียงตอบสนองไม่ทันจึงยิ้มแล้วเอ่ย “นี่บ้านข้าเรียกการย้ายบ้านใหม่ว่าอุ่นหม้อข้าว ท่านพ่อท่านแม่ข้ากำหนดไว้วันที่สิบแปดเดือนสาม พี่จื่อเยี่ย หากเ้ามีเวลาว่างต้องมาให้ได้นะ”
คำเรียก ‘พี่จื่อเยี่ย’ ที่อ่อนหวาน ทำเอาซูจื่อเยี่ยตัวอ่อนระทวย จึงตอบรับโดยไม่แม้แต่จะคิด
หลิวเต้าเซียงพูดคุยกับเขาอีกไม่กี่คำ ก็มีผู้ติดตามเข้ามาและกระซิบข้างหูซูจื่อเยี่ย หลิวเต้าเซียงหูตั้ง แต่เสียดายที่ไม่ได้ยินแม้แต่ครึ่งคำ
หลังจากทั้งสองคนกระซิบกันเสร็จ นางจึงพูดว่า “พี่จื่อเยี่ยคงมีธุระต้องทำ อย่าลืมนะ หากว่าวันนั้นว่างก็ไปร่วมฉลองที่บ้านข้าด้วย”
“ได้ ไปเถิด!”ซูจื่อเยี่ยแสดงท่าทีรับรู้ให้นาง
มุมปากของหลิวเต้าเซียงกระตุกเล็กน้อย ดอกไม้ที่สูงส่งและเ็า ได้โปรดอย่าหยิ่งยโสจองหองแบบนี้ได้หรือไม่!
-----
