อสุรกายพระโพธิสัตว์จ้องลู่เต้าด้วยใบหน้าน่าสะพรึงกลัว ขาหน้าที่มีกรงเล็บแหลมคมกระแทกลงพื้นอย่างแรง พลังอสูรอันแข็งแกร่งพลันปะทุขึ้นพร้อมกับแหงนหน้าคำราม คลื่นเสียงอันรุนแรงทำให้แม้แต่ลู่เต้าเองยังรู้สึกได้ถึงแรงสั่นะเื แรงกดดันที่มองไม่เห็นนั้นแผ่ซ่านไปทั่วอาณาบริเวณ
หมอกสีดำที่ปกคลุมรอบๆ ตัวอสุรกายพระโพธิสัตว์ยิ่งทวีความหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ ไม่เพียงแต่จะบดบังนภาและสุริยาเท่านั้น แต่ยังปกคลุมร่างของมันโดยสมบูรณ์ ท่ามกลางความมืดมิด เขามองเห็นเพียงดวงตาสีแดงเืราวกับเปลวไฟผีลอยเด่นอยู่กลางอากาศ
ดวงตาสีแดงก่ำส่องประกายวาววับท่ามกลางม่านหมอก ทิ้งร่องรอยสีแดงฉานเอาไว้
ในชั่วพริบตา อสุรกายพระโพธิสัตว์อ้าปากออก หมอกสีดำรูปทรงกระบอกพวยพุ่งเข้าใส่ลู่เต้าอย่างแรง
ลู่เต้ายกไม้มารขึ้นมาปัดป้องทันใด พริบตาเดียวร่างของเขาก็ถูกหมอกสีดำไหลทะลักมาราวกับกระแสน้ำเชี่ยวกรากกลืนกิน จางเฟิงที่อยู่ไม่ไกลนักใช้เคล็ดวิชาซ่อนตัวอยู่ในความมืด คอยยืนดูเหตุการณ์อยู่บนกำแพงอย่างสงบนิ่ง
เมื่อเห็นว่าลู่เต้าโดนลมหายใจพิษของอสุรกายพระโพธิสัตว์เข้าไปเต็มๆ เขาก็หัวเราะออกมาอย่างชอบใจ คิดว่าอีกฝ่ายคงถูกจัดการไปอย่างง่ายดายแล้ว
ท่ามกลางหมอกสีดำ ไป๋เสียเตือนลู่เต้าว่า “กลั้นหายใจเอาไว้ หมอกสีดำพวกนี้ก็คือพิษ แม้จะอ่อนแอกว่าพิษที่อยู่ข้างนอกหอคัมภีร์ต้องห้ามมาก แต่หากเผลอสูดเข้าไป ปอดของเ้าจะถูกพิษกัดกร่อนเป็รูพรุน ถึงตอนนั้นเ้าจะขาดอากาศหายใจตาย”
สติของลู่เต้าพลันตื่นตัวฉับพลัน ไออุ่นที่แผ่ออกมาจากไม้สะกดมารไหลผ่านฝ่ามือเข้าปกคลุมทั่วร่างกายเพื่อป้องกันไม่ให้พิษเข้ามากัดกร่อน
ไม้สะกดมารที่วางอยู่ตรงหน้าสั่นสะท้านขึ้นมาทันที กรงเล็บขนาดมหึมาของอสุรกายพระโพธิสัตว์ฉีกกระชากหมอกสีดำฟาดเข้าใส่ไม้สะกดมารอย่างจัง
พลังอันไร้เทียมทานของอสุรกายพระโพธิสัตว์ไม่เพียงแต่ทำให้ลู่เต้ากับไม้สะกดมารกระเด็นออกไปไกลเท่านั้น แต่ยังทำให้พิษร้ายที่ปกคลุมอยู่รอบๆ สลายไปในคราวเดียวด้วย
“โครม!” ร่างของลู่เต้าลอยคว้างกลางอากาศ สุดท้ายก็กระแทกเข้ากับต้นไม้ดังปึง แรงปะทะอันรุนแรงทำให้ต้นไม้ใหญ่ที่ต้องใช้สามคนโอบถึงกับสั่นะเื ใบไม้ร่วงกราวราวสายพิรุณ
“โอ๊ย...เจ็บๆๆ...” ลู่เต้าเอามือลูบศีรษะที่ปวดตุบๆ พลางบ่นพึมพำ
นี่หรือพลังของอสูรระดับหนึ่งดารา
ถ้าหากปราศจากพลังลมปราณที่ช่วยดูดซับแรงกระแทกไว้ ผลลัพธ์คงไม่เป็เช่นนี้แน่
ลู่เต้ายังไม่ทันได้สติกลับคืน เงาดำพลันพุ่งเข้าใส่เขาด้วยความเร็วสูงดุจอสุนีบาต คอของอสุรกายพระโพธิสัตว์ที่ยาวถึงสิบฉื่อพุ่งเข้าหาลู่เต้าเหมือนลูกศร ในยามคับขัน เขาทำได้เพียงกลิ้งตัวหลบไปให้พ้น ฟันแหลมคมเต็มปากของอสุรกายพระโพธิสัตว์กัดเข้าที่ต้นไม้โบราณจนเป็รอยครึ่งวงกลม
“เ้าหนูไหวหรือไม่” เมื่อเห็นว่าลู่เต้าเอาแต่ตั้งรับ ไป๋เสียจึงถือโอกาสถามขึ้นในตอนที่อสุรกายพระโพธิสัตว์กำลังหดคอกลับเข้าไป
“แน่นอน” ดวงตาของลู่เต้าเปี่ยมล้นไปด้วยความแน่วแน่
ทันทีที่พูดจบอสุรกายพระโพธิสัตว์ก็โจมตีอีกครั้ง เห็นหัวของมันที่ว่องไวราวกับงูสะบัดขึ้นมา อ้าปากกว้าง แล้วพุ่งเข้ามาหาลู่เต้าด้วยท่าทีน่ากลัว
“แบบนี้ไม่ไหวแล้ว!” ลู่เต้ากำด้ามไม้สะกดมารแน่น ยกมันขึ้นสูง แล้วฟาดลงไปที่ร่างของอสุรกายพระโพธิสัตว์อย่างไม่ลังเล
ใครจะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่คิดหลบ ใช้ใบหน้ารับการโจมตีนั้นตรงๆ
ไม้สีดำฟาดเข้าใส่เกราะสีเขียวอมเทาของอสุรกายพระโพธิสัตว์จนเกิดเสียงตู้มดังสนั่น นอกจากรอยแตกสองรอยบนใบหน้าแล้ว อสุรกายพระโพธิสัตว์ก็ไม่ได้รับาเ็ใดๆ ทั้งสิ้น
“อะไรกัน” ลู่เต้าอุทานด้วยอารามใ
อสุรกายพระโพธิสัตว์แสยะยิ้มเยาะ ก่อนจะกระแทกหัวเข้าใส่ลู่เต้าอย่างแรงราวกับค้อน ครั้งนี้ลู่เต้าไม่ทันได้ยกไม้สะกดมารขึ้นมาป้องกัน ร่างซีดซ้ายจึงถูกหัวของอสุรกายพระโพธิสัตว์กระแทกเข้าเต็มๆ
เสียงกระดูกแตกหักดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนของลู่เต้า
เขากลิ้งไปตามพื้นที่เต็มไปด้วยใบไม้แห้งเหมือนฟักทอง ความรู้สึกเ็ปอย่างแสนสาหัสที่แขนซ้ายและซี่โครงเสียดแทงร่าง ลู่เต้ากัดฟันแน่น เส้นเืบนหน้าผากเต้นตุบๆ
อสุรกายพระโพธิสัตว์ไม่มีทางปล่อยโอกาสให้ลู่เต้าลุกขึ้น มันอ้าปากกว้างพร้อมกระโจนใส่เขาอีกครั้ง
ประสบการณ์การล่าสัตว์มายาวนานหล่อหลอมให้ลู่เต้าเป็คนไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ แม้จะเผชิญกับความเ็ปที่มนุษย์ทั่วไปมิอาจทนทานได้ เขาก็ยังสามารถก้าวข้ามขีดจำกัด อดทน และหาทางเอาชีวิตรอดได้
ภายใต้ความเป็ตาย ในที่สุดลู่เต้าก็ได้สติขึ้นมาจากความเ็ป เขาหายใจหอบถี่ ถือโอกาสในขณะที่อีกฝ่ายพุ่งเข้าใส่ เล็งไปที่เบ้าตาของอสุรกายพระโพธิสัตว์ แล้วแทงไม้สะกดมารเข้าไปอย่างแรงจนไม้พุ่งทะลุออกไปทางด้านหลังศีรษะ
ทันใดนั้น อสุรกายพระโพธิสัตว์ก็ร้องลั่นด้วยความเ็ป ก่อนจะหดหัวกลับเข้าไป เสียงร้องดังกึกก้องไปทั่วป่าผีคร่ำครวญ มันยกขาหน้ากุมดวงตาซ้าย ใบหน้าอันดุร้ายในตอนนี้เหลือเพียงดวงตาสีแดงเพียงข้างเดียว ซึ่งไม่ต่างอะไรกับเทียนแดงหน้าแท่นบูชาจุดเพียงเล่มเดียว
จางเฟิงที่อยู่ไกลออกไปเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดจึงอุทานออกมาโดยไม่รู้ตัวว่า “าแไม่ฟื้นตัวงั้นหรือ”
จากนั้นเขาก็หันไปมองลู่เต้าทันที
“ฮ่า...ฮ่า...” ลู่เต้าที่ยังในอนหงายอยู่บนพื้น มือยังคงอยู่ในท่าเดิม บนไม้สีดำปรากฏแสงสีทองขึ้นวูบวาบก่อนจะจางหายไป
เป็อย่างที่จางเฟิงคาดการณ์ไว้ ไม้สะกดมารคืออาวุธปราบภูตผีปีศาจทั้งปวง ตราบใดที่ถูกไม้สะกดมารทำร้าย าแจะไม่สามารถฟื้นฟูได้เพราะพลังที่สะกดไว้
เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว จางเฟิงไม่เพียงไร้ความปรานีอสุรกายพระโพธิสัตว์ แต่กลับรู้สึกตื่นเต้นกับความล้ำค่าของไม้สะกดมาร ถึงขั้นยอมทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มันมา
หากมอบสมบัติชิ้นนี้ให้กับท่านเ้าสำนัก หรือจะซ่อนไว้ใช้เองอย่างลับๆ ไม่ว่าจะเป็ทางเลือกไหน ย่อมทำให้เส้นทางการฝึกตนของเขาง่ายดายขึ้น
อสุรกายพระโพธิสัตว์ตกอยู่ในอาการคลุ้มคลั่ง บนเกราะสีเขียวอมเทาปรากฏรอยแตกมากมาย แสงสีแดงดำภายในร่างส่องสว่างออกมาตามรอยแตก มันอ้าปากกว้างเริ่มรวบรวมพลังอสูรทั้งหมด
“ทำได้ไม่เลว” ไป๋เสียเอ่ยชมลู่เต้า “สำหรับมือใหม่อย่างเ้า ถือว่าทำได้ดีมาก ต่อไปก็ปล่อยให้ข้า...”
“ไม่จำเป็” จู่ๆ ลู่เต้าก็ฉีกยิ้ม “ดูเหมือนข้าจะเข้าใจวิธีใช้ไม้สะกดมารแล้วล่ะ”
“เ้า...เ้าเรียนรู้ด้วยตัวเองงั้นหรือ” น้ำเสียงของไป๋เสียสั่นเทาด้วยความใ
ลู่เต้าพยายามยืนขึ้น แม้แขนซ้ายและซี่โครงจะยังคงปวดร้าว เขาก็กัดฟันแน่นสูดหายใจลึก ไม้สีดำในมือราวกับกำลังตอบสนอง อักขระอาคมที่สลักเปล่งประกายสีทองเจิดจ้าในเวลาเดียวกัน
ไม้นั่นเปล่งประกายขับไล่ความมืดรอบๆ ราวกับแสงอรุณ ความพลุ่งพล่านที่เกาะกินหัวใจของลู่เต้าพลันมลายหายไปในพริบตา
ลู่เต้าคำราม ก่อนจะรวบรวมพลังทั้งหมดไปที่ไม้สะกดมาร เมื่ออสุรกายพระโพธิสัตว์เห็นแสงประหลาดที่เปล่งประกายออกมาจากไม้สะกดมาร มันก็ตระหนักได้ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น จึงร้องลั่นด้วยความหวาดกลัว และตะเกียกตะกายหนีออกไป
ลู่เต้าจับไม้สะกดมารกลับด้านซ่อนไว้ด้านหลัง แสงสีทองค่อยๆ รวมตัวกัน จางเฟิงที่อยู่ท่ามกลางแสงอันศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์เบิกตากว้างด้วยความใจนเปล่งวาจาไม่ออก
ลู่เต้ากลายเป็ลำแสง พุ่งเข้าหาอสุรกายพระโพธิสัตว์ด้วยความเร็วสูง แล้วฟันร่างของมันขาดเป็สองท่อนในคราเดียว
ลู่เต้าสะบัดมือเบาๆ ไม้สีดำก็กลายเป็ขลุ่ยสีเขียวดังเดิม ส่วนอสุรกายพระโพธิสัตว์ที่อยู่ด้านหลังก็สลายกลายเป็ขี้เถ้าปลิวหายไป
