ซูหรงหรงนอนลงบนม้านั่งตัวยาวไม่กระดุกกระดิกเหมือนกับคนตาย
จ้านอี้หยางที่ยืนอยู่ข้างๆ ใช้มือกุมขมับก่อนจะเอ่ย
“ซูหรงหรง ลุกขึ้น"
“ไม่เอา!"
ซูหรงหรงเอ่ยเหมือนคนเอาแต่ใจที่กำลังถูกบีบบังคับ
“ยกเว้นว่านายจะถอนคำพูดเมื่อกี้คืนกลับไป"
จะต้องตื่นเช้ามาวิ่ง 2,000 เมตรถึงวัน หูย เหนื่อยตายเลยเธอไม่ได้อยากเป็นักกีฬาวิ่งทีมชาติเสียเมื่อไร
“เมื่อกี้เธอบอกว่าจะไปซื้ออาหารเช้าไม่ใช่หรือไง?"
“ฉันไม่มีแรงแล้วพอได้คิดถึงอนาคตที่จะต้องใช้แรงทุกวันขนาดนั้น ฉันยิ่งรู้สึกไม่มีแรง"
ซูหรงหรงหันศีรษะมองหน้าจ้านอี้หยางก่อนจะถามอย่างน่าสงสาร
“นายอยากเห็นฉันเหนื่อยจนหมดแรงทุกวันเหรอ?"
จ้านอี้หยางเอ่ยอย่างไม่รู้ไม่เห็น
“พรุ่งนี้ฉันก็ไม่อยู่บ้านแล้วฉันไม่เห็นเธอหรอกนะ"
เมื่อได้ยินดังนั้น ซูหรงหรงอมยิ้มการหายใจเริ่มกลับมาคล่องตัวขึ้น แต่ยังไม่พูดอะไรออกมา
เกินไปจริงๆ พอไม่อยู่บ้านก็ไม่มองเธอแล้วไม่สนใจเลยเหรอว่าเธอจะใช้ชีวิตอย่างไร? แต่งงานแค่วันที่สองก็พูดอย่างนี้เสียแล้ว แล้วหลังจากนี้ต่อไปล่ะ?
จ้านอี้หยางไม่รู้ว่าตนเองทำอะไรไม่ถูกต้องเขาเรียกเธอหลายรอบแล้วแต่เธอก็ยังคงนิ่ง
ไม่ว่าครั้งไหนก็มีแต่คนทำตามความ้าของเขา
จ้านอี้หยางเริ่มมีอารมณ์คุกรุ่น ก่อนจะกระแทกเสียงดังๆ
“ซูหรงหรง!"
ซูหรงหรงที่มีแต่คนนิยมชมชอบไม่เคยรู้สึกอายเท่านี้มาก่อนปกติแล้วแม่ของเธอก็มีบ้างที่ดุด่าแต่มันก็แฝงไปด้วยความเป็ห่วงและสงสารแต่จ้านอี้หยางที่เพิ่งแต่งงานมาได้เพียงสองวัน เขาด่าเธอจริงๆ!
“จ้านอี้หยาง!"
เธอหมุนตัวกลับ ก่อนจะทุบแล้วข่วนลงบนตัวของจ้านอี้หยาง
“นายทำเกินไปแล้ว"
เมื่อระบายอารมณ์เสร็จเธอรีบวิ่งหนีเพราะเธอกลัวว่าจ้านอี้หยางจะคว้าตัวเธอ
จ้านอี้หยางนิ่งงันไปหนึ่งวินาที เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้งซูหรงหรงออกวิ่งไปไกลแล้ว เขาก้มลงมองเสื้อของตัวเองที่ถูกซูหรงหรงข่วน ก่อนจะยิ้มเขาไม่วิ่งตามไปจับเธอ แต่กลับหมุนตัวเดินไปอีกทางเพื่อหาอาหารเช้ากิน
อันที่จริงซูหรงหรงเองก็วิ่งได้ไม่ไกลมากนัก
เธอวิ่งได้ไม่ไกลจริงๆ เธอลองมาทบทวนดูแล้วว่าเธอไม่ควรจะมีเื่กับจ้านอี้หยางด้วยเื่เล็กๆเท่านี้ มันเป็ปัญหาเล็กน้อยมากจริงๆ เธอหันหลับไปมองเมื่อแน่ใจแล้วว่าจ้านอี้หยางจะไม่เห็นตัวของเธอ เธอก็หลบเข้าที่ต้นไม้ต้นหนึ่งเธอพักสักครู่ก่อนจะเดินกลับบ้าน
พื้นที่สีเขียวปกคลุมอยู่ทั่วทั้งชุมชนนี้ประมาณ 65 เปอร์เซ็นต์ จึงทำให้ทั่วทั้งบริเวณมีสีเขียวสดใสทางที่เดินนั้นไม่ราบเรียบ ขรุขระตลอดทางเพราะก้อนกรวดที่วางเรียงรายอยู่บนพื้นซูหรงหรงเดินบนทางเดินนั้นไปได้สักพักก่อนจะนึกออกเื่หนึ่งที่จะนับว่าเป็เื่เลวร้ายที่สุดในตอนนี้เลยก็ว่าได้
บ้านเธอต้องกลับทางไหน?
ครั้งนี้น้ำตาเธอทะลักออกมาราวกับเขื่อนแตกจริงๆเธอกำลังหลงทาง
เธอมองไปรอบๆ สวนสาธารณะแห่งนี้ ตึกสูงใหญ่ดูคล้ายคลึงกันไปหมด เงยหน้ามองขึ้นไปเธอก็เห็นเป็ตึกระฟ้าเทียมเมฆแล้วตกลงบ้านเธอ...อยู่ที่ไหน?
“คุณน้าคะ รอบกวนสอบถามหน่อยได้มั้ยคะว่าตึก..."
มันเป็เื่ยากสำหรับเธอมากจริงๆ ที่จะอธิบายแต่พอได้พูดออกไปแล้วก็พบว่าเธอได้เจอกับปัญหาใหม่ นั่นก็คือเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธออยู่ตึกไหนเธอทำเพียงยิ้มแห้งๆ ส่งไปที่ฝ่ายตรงข้ามก่อนจะถามอย่างมีความหวัง
“คุณน้าทราบมั้ยคะว่าบ้านของจ้านอี้หยางอยู่ที่ตึกไหน?"
ชุมชนขนาดใหญ่ขนาดนี้ แต่มาถามว่าคนคนนี้อยู่ที่ไหน คุณน้าคนนั้นมองเธอราวกับเธอเป็คนสติไม่ดีก่อนจะส่ายหน้า
“ไม่รู้"
“อ่า...ขอบคุณค่ะ"
ซูหรงหรงมองไปรอบๆ ก่อนจะเกาหัวเธอยังคิดวิธีที่สองไม่ออกว่าจะทำอย่างไรต่อไป
เธอก้มหน้าคิดสักครู่ ก่อนจะนั่งลงบนหญ้าที่อยู่ข้างๆ
ในเมื่อหาทางกลับไม่เจอ...ถ้าอย่างนั้น....ก็รอที่นี่แหละ
ในฤดูใบไม้ผลินี้ อากาศยามเช้าก็ยังคงมีความเย็นอยู่แสงแดดที่ทอมาเริ่มให้ความรู้สึกอบอุ่นแก่ร่างกาย
สบายจังเลย
จ้านอี้หยางเดินมาจนถึงร้านขายอาหารเช้าหน้าประตูชุมชนก่อนจะซื้ออาหารเช้าสำหรับสองคนเขาคิดว่าซูหรงหรงจะมารอเขาที่หน้าประตูบ้านเสียอีก แต่กลับ...ไม่มีคน
เขาเปิดประตูห้องด้วยความสงสัยก่อนจะนำอาหารเช้าไปวางไว้บนโต๊ะอาหารสิ่งแรกที่ทำคือโทรไปหาซูหรงหรง แต่ว่าโทรศัพท์ของเธอวางไว้บนโต๊ะชาในห้องรับแขก
ไม่ใช่ว่ายัยกระต่ายน้อยโกรธเธอจนกลับบ้านไปแล้วใช่ไหม? นอกจากที่นี่แล้วเธอยังจะสามารถไปที่ไหนได้อีกหรือว่า...
เมื่อคิดถึงไอคิวสมองของซูหรงหรงแล้วเขาขมวดคิ้วก่อนจะหยิบกุญแจแล้วลงไปจากตึก
ชุมชนนี้จ้านอี้หยางเองก็ยังไม่ค่อยคุ้นเคยนักแต่เขาเองก็เคยเดินทางผ่านป่าที่ดูแล้วเหมือนกันไปหมดเหมือนที่นี่เขาดูภาพชุมชนบนแผนที่ เมื่อลองวิเคราะห์ทางที่ซูหรงหรงวิ่งหนีไปแล้วเขาก็จำกัดบริเวณในการหา หากซูหรงหรงไม่วิ่งหนีไปทั่วการจะหาเธอให้เจอก็ไม่ใช่เื่ยาก
ทว่า เขาหาแล้วทั้งสองที่ แต่ก็หาไม่พบ
จ้านอี้หยางยิ่งขมวดคิ้วหนักขึ้นไปอีก
หากสถานที่สุดท้ายนี้ยังหาไม่พบ เขาจะเรียกคนเข้ามาช่วยเหลือ
เขาวิ่งผ่านสวนดอกไม้เข้ามาค่อนข้างไกลจ้านอี้หยางก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยเสียงหนึ่ง เสียงสดใส แววตาที่สุกสกาวเมื่อเดินไปใกล้ๆ ก็พบว่าเธอกำลังเล่นกับเด็กผู้หญิงอายุราว 4-5 ขวบอยู่
แดดยามเช้ากระทบใบหน้าเล็กและใหญ่ของทั้งคู่เสียงหัวเราะของซูหรงหรงช่างจะเหมือนกับเด็กห้าขวบตรงหน้า
จ้านอี้หยางถอนหายใจอย่างโล่งใจทว่าเขาเรียกชื่อยัยกระต่ายน้อยเสียงดังด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจเท่าไรนัก
“ซูหรงหรง!"
ซูหรงหรงที่กำลังเล่นกับเด็กน้อยหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงเรียกเธอหันไปตามเสียงแล้วพบว่าจ้านอี้หยางยืนหน้าอมทุกข์อยู่ตรงนั้น เธอยิ้มต่อไม่ออก
ตายแน่ๆ เธอต้องตายแน่ๆ จ้านอี้หยางตอนนี้ดูเหมือน...โกรธมากแล้วสิ
ทว่า การที่เธอหลงทางมันไม่ใช่ความผิดของเธอเสียหน่อยใครบอกให้เขาออกกฎให้วิ่งวันละ2,000 เมตรล่ะ
คุณแม่วัยรุ่นคนที่พาเด็กน้อยคนนั้นมาเห็นท่าทีไม่ดีเธอรีบบอกให้เด็กน้อยบอกลาซูหรงหรง ก่อนเธอจะอุ้มเด็กน้อยออกไป
ในใจกลางสวนสาธารณะนี้จึงมีแค่เธอกับเขา
“มานี่!"
จ้านอี้หยางออกคำสั่งกับเธอ
มือทั้งสองข้างของซูหรงหรงใส่เข้าไปในกระเป๋ากางเกง ก้มหน้าก่อนจะเดินไปหาจ้านอี้หยาง
“ทำไมเธอไม่กลับบ้าน?"
จ้านอี้หยางจงใจถามเธอ
เขาหาเธอเจอแล้ว ไม่อย่างนั้นเธอคงหาทางกลับบ้านไม่เจอซูหรงหรงใช้มือถูจมูกไปมา เท้าเองก็ลากไปมาอยู่ที่พื้น
“ฉัน...ฉันหลงทาง"
“อื้ม?" จ้านอี้หยางตอบรับ “แล้วยังไงต่อ?"
“แล้วก็..."
ซูหรงหรงเงยหน้าขึ้นมองเข้า เธอส่งยิ้มให้เขาก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อนหวาน
“...ฉันก็เลยมารอนายที่นี่ยังไงล่ะ"
“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ฉันหาเธอเจอแล้วทำไมยังไม่กลับกับฉัน?"
แม้ว่าจ้านอี้หยางจะดุเธอขนาดไหนแต่เธอกลับไม่รู้สึกกลัวเลยสักนิด
เธอเผยรอยยิ้มโง่ๆ บนใบหน้า ก่อนจะะโไปคว้ามือของเขาไว้
“ฉันรู้อยู่แล้วว่านายจะต้องหาฉันเจอ"
ที่จริงแล้วเธอเชื่อว่าจ้านอี้หยางมีคุณสมบัติเหล่านี้
จ้านอี้หยางปรับสีหน้าให้อ่อนลงใบหน้าของซูหรงหรงตอนนี้มีแต่รอยยิ้มที่ดูใสสะอาดดวงตาของเธอมีความเชื่อโดยไม่มีข้อกังขาใดๆ หากเธอพูดคำไหนออกมาก็แสดงว่าเธอเชื่ออย่างนั้นจริงๆ
พวกเขารู้จักกันยังไม่ถึงหนึ่งวันเต็มเลยด้วยซ้ำทำไมเธอถึงปักใจเชื่อเต็มร้อยเสียขนาดนั้นกัน?
แต่ไม่ว่าเหตุผลเพราะอะไรตอนนี้ใจของจ้านอี้หยางก็มีความสุขอย่างที่สุด
“ยัยโง่"
จ้านอี้หยางด่าเธอครั้งหนึ่งก่อนจะพาเธอกลับ
ตลอดทางที่เดินของซูหรงหรง
“เพราะเื่นี้นายก็ว่าฉันโง่แล้วเื่ที่นายให้ฉันวิ่งทุกวันตอนเช้า 2,000 เมตรนั่นไม่ยิ่งโง่กว่าเหรอล้มเลิกความคิดให้ฉันไปวิ่งได้แล้ว โอเคมั้ย?"
“ค่อยว่ากัน ตอนนี้กลับบ้านก่อนแล้วก็จำทางกลับด้วย"
ซูหรงหรงหยักหน้า
“อื้ม"
เธอจะต้องจำทางให้ได้ เพราะถ้าเขาทิ้งเธอไปอีกครั้ง แล้วเธอก็หลงทางอีกคงไม่มีใครมาช่วยเหลือเธอแล้วคงจะกลับบ้านไม่ได้ของจริง
“ฉันเชื่อฟังคำพูดนายขนาดนี้นายเองก็ฟังฉันบ้างสิ ฉันไม่อยากวิ่งวันละ 2,000 เมตรจริงๆ นะ..."
จ้านอี้หยางสบตาเธออีกครั้ง
“เธอทำไมถึงวิ่งไปรอบๆนั้นได้ล่ะ?"
“เหอะๆ ฉันฉลาดนะ"
ซูหรงหรงะโโลดเต้นเหมือนเธอจะไม่รู้จักตัวตนของคนที่ด่าเธอเมื่อสักครู่ เธอหัวเราะเสียงดัง
“ถ้าอย่างนั้นนายสัญญากับฉันมั้ยล่ะ?"
พอเห็นอย่างนี้จ้านอี้หยางก็ไม่คิดที่จะตอบตกลงกับเธอง่ายๆเขาทำท่าถอนหายใจครุ่นคิด
“อืม ฉันจะคิดดูแล้วกันกลับบ้านกันก่อนเถอะ"
“...”
ช่างจะ...ทำลายความคิดได้ยากเสียจริง ซูหรงหรงเบะปากก่อนจะก้มหน้าลงอีกครั้ง
เมื่อพาเธอกลับบ้านสิ่งแรกที่เขาทำคือบันทึกเบอร์โทรศัพท์ของเขาลงบนโทรศัพท์ของเธอนอกจากนั้นยังมีเบอร์โทรศัพท์ของจี้ฟ่านอี้อีกคนที่ต้องเพิ่มลงไป ซูหรงหรงสงสัย
“จี้ฟ่านอี้...คือใครเหรอ? เอ๋? แต่ทำไมชื่อนี้ดูคุ้นหูจัง เหมือนเคยได้ยินที่ไหนเลย"
“เพื่อนฉันเอง เวลาที่ฉันไม่อยู่บ้านถ้ามีเื่อะไรเกิดขึ้นก็โทรหาเขาได้"
จ้านอี้หยางคืนโทรศัพท์ให้เธอ
ซูหรงหรงรับคืนกลับไป เธอกดดูบันทึกโทรเข้าโทรออกในโทรศัพท์
“เอ๋? เมื่อว่าแม่ของฉันโทรมาอย่างนั้นเหรอจำไม่เห็นจะได้ว่าฉันรับโทรศัพท์แม่ตอนไหนกัน"
จ้านอี้หยางยิ้มขึ้น
“อืม ตอนนั้นเธออยู่ในห้องฉันรับสายแทนเอง"
ถ้าไม่ใช่เพราะโทรศัพท์สายนั้นเขาคงจะไม่รู้ว่าได้แต่งงานกับยัยกระต่ายที่ทำกับข้าวเป็แต่กลับหลอกเขาว่าทำไม่เป็
“โอ้ว" เธอตอบรับ “แม่ฉันโทรมาว่าไงเหรอ?"
“เธอลองโทรกลับไปถามสิ เดี๋ยวก็รู้"
จ้านอี้หยางยิ้มอย่างมีเลศนัย
ซูหรงหรงรู้สึกได้ว่าภายใต้รอยยิ้มของเขานั้นมีความหมายอื่นซ่อนอยู่ตาของเขาดูโตขึ้น ทว่ายิ่งเธอเห็นเขายิ้ม เธอก็ยิ่งดูไม่ออกว่าเขาคิดอะไรตอนนี้สิ่งที่ทำได้ก็เพียงแต่โทรหาแม่เธอเพื่อสอบถามเท่านั้น
จ้านอี้หยางลูบหัวเธอ
“ฉันไปอาบน้ำล่ะ"
“...อือ"
ซูหรงหรงไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่เธอกลับรู้สึก...ขาแข็งก้าวไม่ออกรอยยิ้มของจ้านอี้หยางเองก็เย็นะเืเช่นกัน
เมื่อจ้านอี้หยางเข้าไปในห้องน้ำแล้วซูหรงหรงก็รีบโทรออกหาแม่ของเธอ
แม่ของเธอไม่ได้ถามเธอตรงๆ ถามเพียงแค่เมื่อวานเป็อย่างไรบ้างแต่ก็ยังไม่วายที่จะเจาะจงถามว่าเมื่อคืนเป็อย่างไรซูหรงหรงทำเพียงก้มหน้าเหงื่อตกแล้วตอบอย่างเลี่ยงๆ ว่าก็ดี
“ดี ก็เท่ากับ ดีมากนั่นแหละ"
เหอฮุ้ยหลานหัวเราะออกมา
“ซูหรงหรง ครั้งนี้ลูกหาผู้ชายได้ดีจริงๆเมื่อก่อนฉันก็คิดนะว่าเ้ากู้แหยนเจ๋อนั่นไม่ได้เื่ ทหารดีกว่าตั้งเยอะ ทหารๆ ฮ่าๆ ...อ้อ จริงสิ เมื่อวานลูกได้ทำมันฝรั่งผัดเนื้อที่ลูกชอบให้จ้านอี้หยางกินมั้ยเมื่อวานแม่บอกเขาไปแล้วล่ะ"
“…”
ราวกับสมองของเธอกลวงไปหมด ภายในหัวของเธอตอนนี้มันขาวโพลน
คุณแม่ ...เมื่อวาน...คุยกับเขาเื่มันฝรั่งผัดเนื้ออย่างนั้นเหรอ?
พระแม่มารีเ้าขา...
“คุณ...คุณแม่...เมื่อวานตอนที่แม่โทรมาก็เพื่อจะบอกว่าอาหารที่หนูชอบที่สุดคือมันฝรั่งผัดเนื้อแค่นั้นใช่มั้ย?"
ซูหรงหรงรู้สึกได้ถึงภัยอันตรายกลายๆ จากคำพูดของแม่ของตน
“ไม่ใช่แน่นอนแม่บอกเขาว่ายัยเด็กน้อยของแม่ทำอะไรก็ไม่เป็ยกเว้นเื่กับข้าวที่ยังพอมีฝีมืออยู่บ้าง"
“ตึง..."
โทรศัพท์ของซูหรงหรงร่วงลงพื้น
ตัวของซูหรงหรงตอนนี้แน่นิ่งเป็ก้อนหิน