กระดูกในร่างเหมือนกับจะแตกหักจนหมดสิ้นแล้วขยับแม้เพียงเล็กน้อยก็เ็ปแทบขาดใจ
สติของกู้เจิงยังคงเลือนรางนางรู้สึกกระหายน้ำ และด้วยความเ็ปของร่างกายทำให้นางทำได้เพียงขยับริมฝีปากเอ่ยเสียงออกมาเท่านั้น
“คุณหนูใหญ่ตื่นแล้วหรือเ้าคะ?”สาวน้อยผู้เกล้าผมมวยจุกสองข้างปรากฏเข้าสู่สายตาของกู้เจิงเด็กสาวมองนางอย่างตื่นเต้นพลางเช็ดน้ำตาแล้วพูดอย่างดีใจ“บ่าวจะรีบไปแจ้งแก่ซู่เหนียงเดี๋ยวนี้เ้าค่ะ” ว่าแล้วก็สาวเท้าวิ่งจากไป
ในครรลองสายตาของกู้เจิง้าของเตียงไม้ปักลวดลายระกาทองกระต่ายหยกโดยใช้โครงสร้างสุนเหม่า[1] บนผ้าม่านโปร่งข้างๆ กันยังถักร้อยรูปดอกไม้ใบหญ้าทั้งสองด้าน เหมือนจริงราวกับมีชีวิต มองผ่านๆยังนึกว่าเป็ของจริง นางจ้องไปที่เตียงฉลุอันหรูหราด้วยสายตาว่างเปล่าจนกระทั่งเด็กสาวที่วิ่งออกไปเมื่อครู่ วิ่งกลับมาอีกครั้งพร้ะโกนอย่างตื่นเต้น“คุณหนูใหญ่ ซู่เหนียงมาแล้วเ้าค่ะ”
เมื่อเห็นปากของกู้เจิงกำลังจะขยับเด็กสาวก็รีบเอาหูเงี่ยฟังเสียงใกล้ๆปากนาง
“เจิงเอ๋อร์ได้สติแล้วจริงหรือ? ์คุ้มครองหลับมาสิบวันในที่สุดก็ฟื้นเสียที” สตรีในชุดกระโปรงเรียบง่ายผู้หนึ่งวิ่งเข้ามานางหน้าตาสะสวย เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ ร่างกายอ่อนช้อย นุ่มนวลงดงามไร้ใดเปรียบเพียงแต่หางคิ้วที่โก่งงอนขึ้นน้อยๆ นั้นออกจะลดทอนความงามลงไปเสียหน่อย
“ซู่เหนียงคุณหนูใหญ่หมดสติไปอีกแล้วเ้าค่ะ” สาวน้อยนางนี้ก็คือบ่าวรับใช้ข้างกายของกู้เจิงนามว่า‘ชุนหง’ ได้ยินคุณหนูใหญ่ของนางเอ่ยได้สามคำก็ไร้ซึ่งเสียง พอมองไปคุณหนูใหญ่ก็สิ้นสติลงอีกครั้ง
หวังซู่เหนียงรีบก้าวมาดูบุตรสาวยามเห็นใบหน้าขาวซีดของบุตรีก็น้ำตาไหลด้วยความเ็ปใจ“ไหนว่าจะฟื้นวันนี้ไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงหมดสติไปอีกแล้วเล่า?หมอผู้นั้นคงไม่ได้หลอกพวกเรากระมัง?”
“คุณหนูใหญ่เพิ่งทายาขี้ผึ้งไปเมื่อเช้าท่านหมอบอกว่าตราบใดที่ไม่มีไข้ก็จะไม่เป็อะไรเ้าค่ะ”
หวังซู่เหนียงใช้ผ้าเช็ดหน้าไหมซับหยาดน้ำตา ก่อนจะยื่นมือมามาวางทาบหน้าผากของบุตรสาว เมื่อเห็นว่าอุณหภูมิเป็ปกติจึงผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอก “เมื่อครู่เจิงเอ๋อร์พูดอะไรกับเ้า?”
“คุณหนูใหญ่พูดออกมาสามคำว่า‘มารดาขายส่ง[2]เ้าค่ะ มันหมายความว่าอะไรหรือเ้าคะซู่เหนียง”ชุนหงฉงนอย่างหาคำตอบไม่ได้
หวังซู่เหนียงชะงักงัน“คำพูดเหลวไหลอะไรกัน นางคงถูกตีจนเลอะเลือนแล้วกระมัง?”
“ซู่เหนียงคุณหนูใหญ่ต้องเจ็บตรงที่ถูกตีแน่ๆ เลยเ้าค่ะ” ชุนหงชี้ไปที่ก้นของนายตนเอง
เมื่อนึกถึงบั้นท้ายของบุตรสาวที่ถูกโบยอย่างทารุณถึงยี่สิบไม้และยามถูกหามออกมาในสภาพเืเปรอะเช่นนั้นหวังซู่เหนียงก็ยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตาอีกครั้ง
“คุณหนูใหญ่ฟื้นแล้วหรือ?”แม่เฒ่าผู้หนึ่งแหวกม่านเดินเข้ามา ด้านหลังยังมีคนใช้ติดตามมาด้วยอีกคนบนถาดในมือที่ยกมามียาขี้ผึ้งวางอยู่ เห็นได้ชัดว่านางหมางเมินต่อหวังซู่เหนียงถึงน้ำเสียงจะให้ความเคารพอยู่บ้าง แต่สายตากลับดูิ่ นางกล่าวอย่างเ็าว่า“นี่เป็ของที่นายหญิงตั้งใจนำมาจากบ้านเพื่อมอบให้คุณหนูใหญ่ใช้ทาแผลเ้าค่ะนายหญิงยังกล่าวอีกว่าจากนี้ให้หวังซู่เหนียงอย่าได้ส่งเสริมคุณหนูใหญ่ทำเื่โง่งมจนเป็ที่เล่าลือไปให้ผู้คนขบขันอีก”
หวังซู่เหนียงแอบเบะปากขณะที่แสร้งใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา หลังสบสายตาแหลมคมของแม่เฒ่าก็รีบยิ้มอย่างเอาอกเอาใจพลางพูดว่า “คำพูดของนายหญิงข้าน้อยจะจดจำไว้เ้าค่ะ”
“หากหวังซู่เหนียงจะจดจำได้จริงก็ถือเป็เื่ดียิ่งนายหญิงยังบอกอีกว่าหากมีครั้งหน้าอีกท่านและคุณหนูใหญ่ก็เก็บข้าวของกลับบ้านเดิมที่ซ่านเจียงเสียเถิด”แม่เฒ่าพูดโดยไม่มองหน้าหวังซู่เหนียง เมื่อกล่าวคำพูดของผู้เป็นายจบก็หมุนตัวจากไป
“ซู่เหนียงนายหญิงจะไล่พวกเรากลับบ้านเดิมที่ซ่านเจียงหรือเ้าคะ” ชุนหงที่อายุยังน้อยใกลัวจนเสียขวัญ
“นางก็แค่ข่มขู่เราเท่านั้น นางเป็ถึงหญิงสูงศักดิ์เกิดในตระกูลใหญ่ ไม่มีทางลดตัวลงมาต่อกรกับภรรยาต่ำต้อยเช่นข้านี้หรอก”หวังซู่เหนียงไม่ได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย ใน่แรกที่เว่ยซื่อ[3] เข้ามานางถูกขู่ให้เสียขวัญไปหลายคราจริงๆ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น ดังนั้นนางจึงไม่ถือเป็เื่สำคัญ
“แต่บ่าวคิดว่าครั้งนี้นายหญิงโมโหจริงๆ แล้วเ้าค่ะ”ชุนหงรู้สึกว่าครานี้นายหญิงพูดจริงเมื่อก่อนไม่ว่าซู่เหนียงกับคุณหนูใหญ่จะทำเกินขอบเขตไปมากแค่ไหนนายหญิงก็จะทำเป็ปิดตาไว้ข้าง ให้อภัยได้ก็ให้อภัย แต่ทว่าครานี้กลับไม่เป็แบบนั้น “ถึงอย่างไรครั้งนี้คุณหนูใหญ่ก็ทำไม่ดีจริงๆ”
“มีอะไรไม่ดี?” หวังซู่เหนียงแค่นเสียงเย็น“เมื่อตอนบุตรสาวนางยังเด็กได้ช่วยชีวิตองค์ชายห้าไว้ถึงได้โชคดีถูกเสนอชื่อให้เป็พระชายาขององค์ชายห้ายามข้าให้คุณหนูสามแต่งออกไปจึงให้เจิงเอ๋อร์ติดตามไปเป็อนุด้วย แต่นางกลับก็ไม่เห็นด้วย เฮ้อ ภายหน้าองค์ชายห้าก็ต้องรับอนุเข้ามาอีกแน่นอนรับผู้อื่นยังมิสู้รับเจิงเอ๋อร์ของเราเสียดีกว่าไม่ว่าอย่างไรเจิงเอ๋อร์และคุณหนูสามก็เป็พี่น้องที่เติบโตมาด้วยกันแต่เล็กแต่น้อยจะให้ร้ายบุตรสาวนางได้อย่างไร”
"แต่นายหญิงกล่าวว่า นางได้เลือกคนไว้ให้คุณหนูใหญ่แล้วอีกฝ่ายอายุเพียงสิบหกปีก็สอบซิ่วไฉ[4] ได้แล้ว นับว่าเป็คนที่มีอนาคตยิ่งหลังคุณหนูใหญ่แต่งเข้าไปก็จะได้เป็ภรรยาเอกเ้าค่ะ”
“สิบหกก็สอบซิ่วไฉได้บัดนี้อายุสิบเก้าแล้ว ยังจะนับเป็อะไรได้ แถมบ้านยังยากจนอีก เจิงเอ๋อร์แต่งเข้าไปก็มีแต่จะทุกข์ทนเป็ภรรยาเอกมีอะไรดี ทุกวันต้องปรนนิบัติผู้าุโซ้ายขวา ซ้ำยังต้องจัดการงานบ้านงานเรือนจะสุขสบายเท่าเป็อนุของผู้สูงศักดิ์ได้อย่างไรกัน”
ชุนหงคิดแล้วคิดอีกพลางพยักหน้าที่ซู่เหนียงกล่าวมานั้นก็มีเหตุผล
พอดีกับที่กู้เจิงฟื้นขึ้นมาได้ยินคำสนทนานั้น ก็โกรธจนหมดสติไปอีกรอบ
เมื่อกู้เจิงตื่นขึ้นจริงๆก็เป็เวลาหลังเที่ยงคืนไปแล้ว นางขยับตัวได้เพียงเล็กน้อย าแที่ก้นปวดแสบปวดร้อนเหมือนถูกไฟเผา
นางไม่ใช่คนจากโลกนี้กู้เจิงในชาติที่แล้วเป็เพียงผู้ช่วยตัวน้อยที่ตั้งใจทำงานอย่างขยันขันแข็งเพื่อหวังจะได้ตำแหน่งสูงขึ้นในบริษัท เมื่อมีวันหยุดจึงถือโอกาสนัดเพื่อนสนิทไปเล่นเทนนิสกัน โดยไม่คาดคิดว่าลูกเทนนิสจะพุ่งมาหาหน้าเธอจังๆหลังจากตื่นขึ้นก็มาอยู่ในร่างนี้แล้ว
ทันทีที่ฟื้นขึ้นมาร่างกายของนางเหมือนถูกบังคับกดลงบนพื้น มีคนใช้ท่อนไม้ตีที่ก้นของนาง เสียงดัง ป้าบ ป้าบ ป้าบ นางเจ็บจนหมดสติไปอีกครั้ง
หลังจากฟื้นสติขึ้นมาก็ได้ยินเสียงนางผู้หนึ่งะโร่ำไห้ราวกับจะขาดใจอยู่ข้างๆ นางร้องห่มร้องไห้พร้อมกล่าวว่า “นายท่าน ท่านยกโทษให้เจิงเอ๋อร์เถิด ถึงอย่างไรนางก็เป็บุตรสาวท่าน หากยังโบยต่อไปนางจะตายเอาได้นะเ้าคะ”
กู้เจิงไม่ใช่คนที่จะอดทนต่อความเ็ปได้ดีนัก จึงนับประสาอะไรกับการโบยเช่นนี้ตอนนี้บนใบหน้าของนางจึงแยกไม่ออกเลยว่าอันไหนคือน้ำตาอันไหนคือน้ำมูกนางเจ็บจนแทบเปล่งเสียงไม่ออก ศีรษะก็แทบะเิด้วยถูกกดและโดนน้ำสาดจนความจำแตกซ่านเ้าของร่างเดิมนี้มีนามว่า ‘กู้อวี๋’ มีชื่อเล่นว่า‘เจิงเอ๋อร์’ ซึ่งชื่อเล่นนี้กลับเหมือนชื่อจริงของเธอ นางเป็บุตรสาวอนุภรรยาของจวนป๋อเจวี๋ย[5]
นางมาเกิดอยู่ในราชวงศ์ที่มีนามว่า‘เยว่กั๋ว’ เป็ราชวงศ์ที่ผู้หญิงทุกคนล้วนเกลียดชัง
“โบยให้ตายก็ดีข้าไม่น่าให้กำเนิดบุตรสาวที่ไร้ยางอายเช่นนี้เลย”ชายผู้นี้กล่าวด้วยน้ำเสียงเดือดดาลอย่างมีโทสะ“ไม่คิดว่าจะกล้าทำเื่น่าอับอายเช่นนี้ออกมาได้ องค์ชายห้าเป็ถึงว่าที่น้องเขยของนาง”
เื่ราวอันอัปยศอดสูที่ว่านี่เกินจริงไปมากนางผู้ซึ่งเป็ร่างเดิมถูกโบย เพราะถูกพบขณะอิงแอบแนบชิดอยู่ในอ้อมอกว่าที่น้องเขยสามของนาง และซู่เหนียงของร่างเดิมนี้ได้ส่งเสริมนางให้แก่องค์ชายห้า หลังรอข้าวสารกลายเป็ข้าวสุก[6] แล้วภายภาคหน้าก็จะได้เป็อนุ
แน่นอนว่ามันไม่สำเร็จ
------------------------------------------------------------------------------
[1] สุนเหม่าเป็วิธีการเข้าไม้แบบโบราณในการรวมส่วนประกอบสองส่วนเข้าด้วยกันส่วนที่ยื่นออกมาเรียกว่า เดือย(สุ่น) มีลักษณะเหมือนอักษรจีนคำว่า 凸 และส่วนเว้าเรียกว่า ร่องหรือรูที่บากไว้(เหม่า) มีลักษณะเป็ 凹 สำหรับนำเดือยมาต่อเพื่อให้เป็ทรงที่้า
[2] มารดาขายส่งเป็คำด่าในภาษาจีนเสฉวนและฉงชิ่ง โดย妈แปลว่าแม่ 卖แปลว่าขาย 批แปลว่าอวัยวะสืบพันธุ์ของเพศหญิง มีความหมายโดยรวมว่าแม่เป็นางโลม
[3] ซื่อ เป็ธรรมเนียมในสมัยก่อนจะใส่คำว่า‘ซื่อ’(แปลว่า สกุล) ไว้หลังนามสกุลของสตรีที่แต่งงานแล้ว หรืออาจจะเพิ่มนามสกุลสามีไว้ด้านหน้าสุดเพื่อความชัดเจนขึ้น
[4] ซิ่วไฉเป็ชื่อเรียกผู้สอบรับเข้าราชการในระดับต้นได้ โดยระดับต้นเป็การสอบคัดเลือกระดับท้องถิ่น
[5] ป๋อเจวี๋ย(หมายถึง บรรดาศักดิ์ชั้นป๋อ)เป็ตำแหน่งขุนนางขั้นสูงของจีนโบราณ นับเป็ลำดับที่สามรองจาก ‘โหว’ โดยบรรดาศักดิ์แบ่งเป็ ‘กง โหว ป๋อ จื่อ หนาน’ ตามลำดับ
[6] ข้าวสารกลายเป็ข้าวสุกหมายถึง แก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อีกแล้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้