อวัยวะภายในนั้นไม่สามารถนำออกมาได้ภายในครั้งเดียว จะต้องหล่อเลี้ยงให้ได้หนึ่งอัน ถึงจะรับมาหล่อเลี้ยงอีกอันได้
ต้องนำอวัยวะภายในออกมาหล่อเลี้ยงให้เสร็จทั้งหมด ภาระงานจะมากมายเพียงใด?
“เล่อเทียน เอาตับที่ล้มเหลวออกมาก่อนแล้วค่อยเป็ม้าม ปอด ไต” มู่จื่อหลิงพูดกับเล่อเทียนที่มีความคล่องแคล่วในการลงมีดแล้ว
หัวใจของหลี่เอินยังไม่ล้มเหลว พิษยังมิได้แพร่เข้าไปในหัวใจ หัวใจจึงยังแข็งแรงอยู่ ไม่จำเป็ต้องหล่อเลี้ยงใหม่
นอกจากหัวใจเป็อันดับแรกแล้ว ต่อไปก็เป็ตับ มันคือจุดศูนย์กลางของร่างกายมนุษย์ ดังนั้นจึงต้องฟื้นฟูมันให้กลับคืนสู่สภาพเดิมเสียก่อน จึงจะสามารถทำให้ลมปราณในร่างกายไหลเวียนปกติได้
และยังต้องนำพลังปราณที่เก็บสะสมไว้ในตับไปปรับกลไกของอวัยวะที่หล่อเลี้ยงเสร็จในลำดับถัดไปให้เข้ากันได้ เช่นนี้จึงจะรับรองได้ว่าอวัยวะอื่นที่หล่อเลี้ยงเสร็จนั้นแข็งแรงดี
พวกเขาสองคนดูเหมือนต่างก็ยุ่งอยู่กับงานของตนเอง คำพูดไร้สาระเกินความจำเป็ไม่มีแม้แต่ประโยคหนึ่ง
ทว่าระหว่างทั้งสองคนนั้นในการผ่าตัดใหญ่ที่เคร่งเครียดและต้องละเอียดรอบคอบก็มีความร่วมมือระดับดีเยี่ยมค่อยๆ ก่อตัวขึ้น
ทันทีที่มู่จื่อหลิงจมอยู่กับการรักษาผู้ป่วย จิตใจก็จดจ่อไม่วอกแวก
เพื่อป้องกันไว้ก่อน หลังจากที่มู่จื่อหลิงรับอวัยวะที่เล่อเทียนนำออกมา ก็นั่งหันหลังให้เล่อเทียนอย่างระวังรอบคอบ
นางเปิดแล้วปิดล่วมยา ให้ดูเหมือนนำอวัยวะเข้าไปหล่อเลี้ยงในล่วมยา ทว่าในความเป็จริงนางเอาเข้าไปในระบบซิงเฉิน
หลังจากที่มู่จื่อหลิงนำอวัยวะวางลงไปในสระน้ำหลิงอวิ้นหัว นางก็ใช้แขนเท้าศีรษะ ด้วยท่าทางจมสู่ภวังค์งีบหลับ จิติญญากลับเข้าไปในระบบซิงเฉิน เริ่มการกำจัดพิษและฟื้นฟูอวัยวะ
เดิมเล่อเทียนนั้นคิดว่ามู่จื่อหลิงนำอวัยวะเข้าไปหล่อเลี้ยงในล่วมยา จึงมิได้แปลกใจ และไม่สงสัย จิตใจจดจ่ออยู่กับเื่ในมือ
กระบวนการกำจัดพิษหล่อเลี้ยงนี้ มู่จื่อหลิงจริงจังรอบคอบ จิตใจจดจ่อ ไม่อนุญาตให้เกิดช่องโหว่ใด
ดังนั้นเมื่อฟื้นฟูหล่อเลี้ยงอวัยวะทุกอย่างเสร็จ ยามที่นางลืมตาขึ้นมาในความเป็จริง เหงื่อบนใบหน้าก็ไหลทะลักจนเหมือนน้ำพุก็ไม่ปาน จนเกือบจะทำให้สายตาพร่าเบลอ
เล่อเทียนยึดตามคำพูดของมู่จื่อหลิงนำอวัยวะภายในใส่กลับเข้าไปในร่างกายตามลำดับที่เอาออกมา
กระบวนการนี้ดูแล้วไม่ง่ายเลย สองคนนั้นอิดโรยนัก แต่พวกเขากลับไม่กล้าคลายใจแม้แต่น้อย ยังคงกัดฟันสู้อย่างแน่วแน่
ทุกครั้งหลังจากที่กลับมายังความเป็จริง มู่จื่อหลิงจะใช้ระบบซิงเฉินตรวจสอบสัญญาณชีพของหลี่เอินอย่างละเอียดอีกครั้ง
เล่อเทียนเหลือบไปเห็นฝีเท้าซวนเซเล็กน้อยของมู่จื่อหลิง ก็อดที่จะถามอย่างกังวลไม่ได้ “หวางเฟย ท่านเป็อย่างไรบ้าง?”
เล่อเทียนคิดไม่ถึงว่าการหล่อเลี้ยงอวัยวะจะทำให้คนเหนื่อยถึงเพียงนี้ แม้เขาจะอิดโรยเล็กน้อย แต่เมื่อเทียบกับมู่จื่อหลิงก็ต่างกันราวฟ้ากับเหว
มู่จื่อหลิงเช็ดเหงื่อบนใบหน้า ส่ายศีรษะอย่างอ่อนแรง ฉีกยิ้มบางๆ “ไม่เป็ไร ตอนนี้เหลือเพียงแค่ไต อดทนอีกนิดก็ผ่านไปแล้ว”
เล่อเทียนผงกศีรษะ ไม่พูดจาอีก กระบวนการนี้มิอาจประมาทได้ ต่อให้เหนื่อยก็ต้องกัดฟันยืนหยัดต่อไป
เวลานั้นไหลไปอย่างเชื่องช้า!
กระบวนการกำจัดพิษและหล่อเลี้ยงอวัยวะภายในของหลี่เอินเป็ไปอย่างราบรื่น แต่กว่าจะหล่อเลี้ยงครบทั้งหมดก็เป็สองวันให้หลังแล้ว
สองคนในห้องนั้นยุ่งเสียจนลืมเวลา ลืมความเหน็ดเหนื่อยไปจนหมดสิ้น
พิษเดิมในร่างกายของหลี่เอินถูกกำจัดไปจนหมด อวัยวะภายในกลับมาเป็ปกติ ชีพจรก็เป็ปกติ ดูเหมือนว่าสีหน้าก็ค่อยๆ ดีขึ้นมา
แต่ว่าร่างกายที่บวมขึ้นมากลับไม่ดีขึ้นแม้แต่น้อย พิษที่กัดกร่อนเซลล์นั้นก็ยังไม่มีร่องรอย ไม่อาจวางใจได้
มู่จื่อหลิงตัดสินใจนำเครื่องมือออกมาจากระบบซิงเฉินเพื่อช่วยให้ร่างกายของหลี่เอินฟื้นฟูได้เร็วขึ้น
เช่นนี้จึงพอคลายกังวลได้บ้าง แต่ก็ยังต้องรีบศึกษาวิธีถอนพิษกัดกร่อนเซลล์ออกมาโดยเร็วที่สุด ดังนั้นตอนนี้จึงได้แต่สั่งให้เล่อเทียนออกไปแล้ว
สีหน้ามู่จื่อหลิงอิดโรย พูดกับเล่อเทียนด้วยน้ำเสียงแ่เบา “เล่อเทียน ตอนนี้จัดการเสร็จหมดแล้ว เ้ากลับไปพักก่อน ข้าจะอยู่ดูที่นี่”
“เป็ข้าน้อยเฝ้าจะดีกว่า หวางเฟยท่านไปพักผ่อนเถิด” เล่อเทียนมองสีหน้าซีดขาวอ่อนแรงของมู่จื่อหลิงอย่างกังวล
เดิมเล่อเทียนคิดว่าการกำจัดพิษหล่อเลี้ยงนั้นเป็งานง่ายๆ ไม่คิดว่าจะทำให้คนเหนื่อยล้าถึงเพียงนี้ ยามนี้เขาจะปล่อยให้มู่จื่อหลิงที่ใกล้ยืนไม่ไหวอยู่เฝ้าได้อย่างไร
“ไม่เป็ไร เ้าออกไปเถิด พูดกับท่านพ่อข้าเสียคำ ถ้าข้าไม่ออกไป ก็อย่าได้ให้ใครเข้ามาเป็อันขาด” น้ำเสียงมู่จื่อหลิงแ่เบา แต่ดูท่าทางแล้วแน่วแน่นัก ไม่อาจโต้แย้งได้โดยง่าย
มู่จื่อหลิงพูดยืนกรานเช่นนี้ เล่อเทียนก็ดูเหมือนจะดูออกว่ามู่จื่อหลิง้าไล่เขาไป
“เช่นนั้นข้าน้อยจะรออยู่ด้านนอก มีอันใดก็เรียกได้เลย” เล่อเทียนพยักหน้า ไม่ได้ดึงดันอีก เปิดประตูออกไป
มู่จื่อหลิงที่อ่อนแรงลูบไหล่ที่เจ็บแปลบลางๆ ของตนเอง ข้างที่ถูกคนชุดดำซัดฝ่ามือใส่ ทั้งๆ ที่ไม่มีปัญหาใดแต่กลับเจ็บมาโดยตลอด ไม่หายเจ็บ
แม้ความเจ็บแปลบบนไหล่จะไม่หยุดหย่อน แต่สองสามวันมานี้ก็มิได้รบกวนนาง แม้บัดนี้นางจะเหนื่อยล้ายิ่งนัก แต่นางก็ยังต้องกัดฟัน ให้ตนเองกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา
มู่จื่อหลิงกินขนมหวานสองชิ้นรองท้องง่ายๆ แล้วก้มหน้าก้มตาค้นคว้าพิษที่กัดกร่อนเซลล์บนตัวของหลี่เอินต่อไป
-
สองวันนี้มู่เจิ้นกั๋วเฝ้าอยู่ด้านนอกตลอด ไม่ละไปแม้สักก้าว
สองวันเต็มๆ แล้ว ข้างในก็ยังไม่มีข่าวคราวออกมาเลย และไม่มีความเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย เขาในยามนี้เหมือนกับสายธนูที่ถูกน้าวจนตึง เคร่งเครียดนัก
ยามนั้นมู่จื่อหลิงเพียงพูดว่า้าถอนพิษ แต่มู่เจิ้นกั๋วรู้ว่าวิธีถอนพิษจะต้องไม่ง่ายดายแน่ ใจของเขาจึงถูกแขวนไว้สูงมาโดยตลอด
ทันใดนั้น ประตูห้องก็เปิดออกจนส่งเสียงดัง แอ๊ด
เล่อเทียนเดินออกมาอย่างอิดโรย แล้วหันกายไปปิดประตูไว้อย่างมิดชิด
“ท่านหมอเล่อ เป็อย่างไรบ้าง?” มู่เจิ้นกั๋วทักเล่อเทียนอย่างตื่นเต้น สายตาจับจ้องเล่อเทียนนิ่ง
“ท่านแม่ทัพมู่วางใจ การผ่าตัดประสบความสำเร็จ” เล่อเทียนคลึงหัวคิ้ว ใบหน้าหล่อเหลาเปี่ยมไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย แต่ก็ยังส่งรอยยิ้มให้มู่เจิ้นกั๋วคลายกังวล
“หลิงเอ๋อร์เล่า เหตุใดหลิงเอ๋อร์จึงไม่ออกมา?” มู่เจิ้นกั๋วเหลือบมองประตูที่ปิดแน่น ถามอย่างเป็ห่วงและกังวล ถ้าสำเร็จแล้วเหตุใดมู่จื่อหลิงจึงไม่ออกมาด้วย
เล่อเทียนยิ้มจาง “หวางเฟยกำลังจัดการปัญหาที่เหลือ พวกเราอย่าได้ไปรบกวนเลย อีกครู่ก็คงออกมาแล้ว”
มู่เจิ้นกั๋วพยักหน้า ไม่สงสัยอีก พูดด้วยความซาบซึ้ง “ท่านหมอเล่อ สองวันนี้ลำบากแล้ว ไปพักที่ห้องรับรองแขกก่อนเถิด ข้าจะให้ป้าเยวี่ยเตรียมอาหารให้”
“ไม่เป็อันใด ข้าน้อยจะอยู่ตรงนี้เป็เพื่อนท่านแม่ทัพรอหวางเฟยออกมา” เล่อเทียนโบกมืออย่างขอไปที ไม่นำมาใส่ใจ เดินไปนั่งลงบนม้าหินอ่อนในลานเรือน
ที่จริงแล้วเล่อเทียนก็ไม่รู้ว่ามู่จื่อหลิง้าทำสิ่งใด และไม่รู้ว่าอีกครู่จะออกมาหรือไม่ แต่เมื่อครู่นี้เห็นว่ามู่จื่อหลิงแม้แต่เท้าก็จะยืนไม่อยู่แล้ว ท่าทางอ่อนแรง ไม่รู้ว่าจะยืนหยัดไปได้อีกนานเท่าใด
เพื่อเป็การป้องกันไว้ก่อน เขาจึงยังรออยู่ตรงนี้ ถ้าหวางเฟยเป็อะไรไป แล้วเขายังสบายดีอยู่ล่ะก็ คนบางคนต้องคิดเอาเขาไปขึ้นเขียงแน่
ตอนนี้ต่อให้กังวลใจขึ้นไปอีก มู่จื่อหลิงก็พูดแล้วว่ามิอาจเข้าไป ต้องรอนางออกมา พวกเขาจึงได้แต่รออยู่ด้านนอก
-
เสิ่นซือหยางนำกองทหารค้นหาในป่าสายหมอกมาสองวันแล้ว
เป็เพราะหมอกหนาทึบ การค้นหาจึงยากลำบากนัก และมิอาจแยกกันค้นหาได้ ในระหว่างนี้ก็พบสัตว์ร้ายอยู่สองสามตัว แต่เสี่ยวไตกูก็ไม่พบว่าตัวพวกมันจะมีร่องรอยของหนอนกู่
“ใต้เท้า เ้าสิ่งเล็กๆ ที่หวางเฟยมอบให้นี้ล้ำค่าก็ล้ำค่า แต่เหตุใดจึงใช้การไม่ได้เล่า! พวกเราหามาสองวันแล้ว ยังหาไม่เจอเลย” นายทหารเฮยชีมองไปที่เสี่ยวไตกูในมือเสิ่นซือหยางด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่เชื่อถือ
เสิ่นซือหยางถลึงตาใส่เฮยชีอย่างโกรธๆ ตั้งท่าจะตำหนิ
คิดไม่ถึงว่า เสี่ยวไตกูในมือเขาจะะโออกมาจากมือเขาไปก่อนก้าวหนึ่ง
เสี่ยวไตกูะโไปเกาะที่ใบหน้าของเฮยชี ไม่รอให้เฮยชีมีปฏิกิริยา ก็สาดปัสสาวะที่มีกลิ่นสาบรุนแรงไปที่ใบหน้าเขา
“โอ้กๆๆๆ” เ้าน่ะสิใช้การไม่ได้
เสี่ยวไตกูร้องอย่างไม่พอใจ
รอจนเฮยชีตอบสนองขึ้นมา เสี่ยวไตกูก็ะโกลับไปยังมือเสิ่นซือหยางด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบแล้ว
เสี่ยวไตกูเกลียดคนที่ดูถูกมันเป็ที่สุด สัตว์ร้ายที่พบในสองวันนี้ไม่มีกลิ่นของกู่ปรสิต จะโทษมันได้หรือ ไม่ได้พบนายน้อยมาสองวันแล้ว มันก็อยากหากู่ปรสิตให้เจอเร็วๆ เช่นกัน จะได้กลับไปพบนายน้อยโดยเร็ว
เสิ่นซือหยางมองเสี่ยวไตกูในมือ มุมปากกระตุกเล็กน้อย เ้าตัวเล็กนี่ไม่ยอมให้ตนเองเสียเปรียบแม้แต่น้อยจริงๆ
เฮยชีขมวดคิ้วถ่มออกมาอย่างขยะแขยง “ถุยๆ...ใต้เท้า นี่”
เสิ่นซือหยางมองเฮยชีอย่างไม่พอใจ ตัดบทเขาอย่างเย็นเยียบ “หุบปากของเ้าเสีย พูดไปสองไพเบี้ย หากพูดถึงความสามารถแล้วเ้ายังไม่ถึงหนึ่งในหมื่นส่วนของเ้าตัวเล็กนี่ด้วยซ้ำ”
ได้ยินคำพูดนี้ เสี่ยวไตกูก็ทั้งถือดีทั้งลำพองใจ กลิ้งอยู่ในมือของเสิ่นซือหยางอย่างเบิกบานใจ ยังเป็เ้าเคราตัวโตที่เคร่งขรึมผู้นี้พูดได้ดี
“จะเป็ไปได้อย่างไร? มันจะมาเทียบกับคนได้อย่างไร?” จะอย่างไรเฮยชีก็ไม่เชื่อ แค่คางคกม่วงตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งเท่านั้นจะมีความสามารถใดมากมาย
เพียงแต่ต่อมา เฮยชีที่ไม่เชื่อก็คงต้องเชื่อแล้ว
จู่ๆ เสี่ยวไตกูก็ะโโลดเต้นในมือเสิ่นซือหยาง ร้องอย่างกระวนกระวายไม่หยุด
“โอ้กๆๆ...” อย่าไป อุดจมูกไว้ หมอกควันข้างหน้ามีพิษ
“เ้าตัวเล็ก เป็อะไร? พบร่องรอยของกู่หรือ?” เสิ่นซือหยางชะงักฝีเท้า ถามอย่างสงสัย ทว่ามองท่าทางนี้ของมันก็เหมือนมิใช่
“โอ้กๆๆๆ” ไม่ใช่ๆ ปิดจมูก หมอกมีพิษ
ในใจเสี่ยวไตกูรู้สึกร้อนรน!
เพราะนอกจากนายน้อยแล้วก็ไม่มีใครฟังมันออก ในยามคับขันก็ยื่นขาเล็กกระจิริดของตนออกไป ปิดจมูกเล็กๆ ของตนที่เล็กเสียจนมิอาจเล็กได้อีกแล้ว
แต่เสิ่นซือหยางก็ยังไม่เข้าใจ หัวคิ้วขมวดนิดๆ รู้สึกได้ว่าเสี่ยวไตกูมิได้ตื่นเต้นเพราะพบกู่ แต่กำลังเตือนอะไรพวกเขาสักอย่าง
ในเวลานี้เอง ทหารที่ยืนอยู่ด้านหน้าคนหนึ่งก็ล้มลงกับพื้น แขนขาชักกระตุก น้ำลายสีขาวฟูมปาก เพียงชั่วพริบตาก็ขาดใจตาย
เสิ่นซือหยางก็รู้ได้ทันทีถึงท่าทางยกขาของเสี่ยวไตกู เขารีบสั่งทหารอย่างเด็ดขาด “ทุกคนกลั้นหายใจปิดจมูกไว้ ก้าวถอยหลัง หมอกข้างหน้ามีพิษ”
เฮยชีพลันกระจ่างแจ้งขึ้นมา ปิดปากพูดกระซิบว่า “ใต้เท้า ข้าน้อยรู้แล้ว เมื่อครู่นี้เ้าสิ่งเล็กๆ นี่กำลังเตือนพวกเราว่ามีพิษ”
เสิ่นซือหยางถลึงตาใส่เฮยชีอย่างเ็า ดวงตาตรงไปตรงมาของเขานั้นราวกับกำลังมองคนโง่
สีหน้าของเสิ่นซือหยางเย็นกระด้าง ขมวดคิ้วน้อยๆ “ตอนนี้ไม่รู้ว่าหมอกทิศใดไม่มีพิษ พวกเราจะล่าถอยออกไปได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ ได้แต่พึ่งเ้าตัวเล็กนี่แล้ว”
จู่ๆ หมอกก็มีพิษขึ้นมา แสดงให้เห็นว่าเป็ฝีมืุ์ ดูท่าคงมีคนไม่อยากให้พวกเขาหาร่องรอยของกู่พบ
เพราะหมอกมีพิษ ไม่มีสีไม่มีกลิ่นจึงไม่มีคนตรวจจับได้ พวกเขาก็ไม่เชี่ยวชาญด้านยาพิษ ยามนี้ได้แต่ล่าถอยชั่วคราว แล้วค่อยวางแผนขั้นต่อไป
คนทั้งหมดมองเสี่ยวไตกูในมือของเสิ่นซือหยางอย่างตกตะลึง ั์ตาปรากฏแววประหลาดใจ เ้าตัวเล็กนี่เป็อัจฉริยะแล้ว?
ท้ายที่สุดเสิ่นซือหยางได้แต่อาศัยการวาดมือวาดเท้าของเสี่ยวไตกู พากลุ่มคนทั้งหมดออกมาจากป่าสายหมอกอย่างปลอดภัย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้