เนื่องจากเขาเอ่ยขอโทษด้วยความจริงใจ ท่าทีดีมาก พวกศิษย์พี่หยางจึงไม่ได้ว่ากล่าวอะไร อีกอย่างเขาก็มีคนสนับสนุน จึงได้แต่ปล่อยผ่านไป ท้ายสุดบอกเพียงว่าครั้งหน้าให้เขาระวังหน่อยแล้วก็จากไป
หลังจากส่งพวกเขากลับไป โหยวเสี่ยวโม่โล่งอกในที่สุด ไม่คิดว่าการฝึกครั้งแรกก็ดึงดูดคนมากมายเช่นนี้ เห็นทีอีกหน่อยต้องระวังตัวกว่านี้ ครั้งเดียวอาจไม่ทำให้ทุกคนสงสัยเท่าไร แต่หากเป็เช่นนี้บ่อยครั้งเข้า คงเป็ปัญหาใหญ่ทีเดียว
แม้เขาจะไม่รู้ว่าคัมภีร์ของสำนักเทียนซินจะส่งผลอย่างไร แต่ความต่างของคัมภีร์ทั้งสองนั้นนับว่าห่างชั้นกันมากนัก ผลลัพธ์ก็คงแตกต่างกันมากเช่นกัน ดังนั้นเหตุการณ์วันนี้อย่าให้เกิดขึ้นอีกจะดีที่สุด
แต่เขาก็ประเมินการนินทาของเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องต่ำเกินไป ผ่านไปไม่นาน เื่ที่เขาดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินรอบๆ นั้นสะพัดไปทั่วทัพพิภพ
คนส่วนใหญ่พากันพูดถึงเื่นี้ คนก็เริ่มพูดกันปากต่อปากมากขึ้น
คนไม่น้อยเริ่มเปรียบเทียบโหยวเสี่ยวโม่กับฟางเฉินเล่อและฝูจื่อหลิน เพราะตอนที่พวกเขาฝึกเคล็ดวิชานี้ก็ไม่ได้เกิดปรากฏการณ์น่าตกตะลึงเช่นนี้ จากที่รู้กัน หากการฝึกฝนทำให้เกิดการเคลื่อนตัวของมวลพลังฟ้าดิน นั่นนับว่าเป็โชคมหาศาล
ดังนั้นทุกคนต่างถกกันว่า โหยวเสี่ยวโม่ทำอะไรอย่างอื่นหรือไม่ ไม่เช่นนั้นสิ่งที่ศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่รองทำไม่ได้ ทำไมเขาถึงทำได้?
แต่ก็มีหลายคนที่คิดว่าโหยวเสี่ยวโม่แค่บังเอิญโชคดี
ผลปรากฏว่า บ่ายวันเดียวกัน โหยวเสี่ยวโม่ก็ถูกขงเหวินเรียกไปพบ
เริ่มแรกเขาไม่รู้ว่าข่าวสะพัดไปไกล จนเมื่อขงเหวินเอ่ยขึ้น เขาจึงรู้ว่าเื่เมื่อเช้านั้นลือกันไปไกลแล้ว
แต่เขาก็ไม่ได้รนจนมือไม้พันกัน หลังจากเกิดเื่เมื่อเช้าขึ้น เขาก็คิดคำตอบที่จะรับมือกับเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องไว้แล้ว เพียงแต่ไม่คิดว่า คำพูดนี้จะได้มาใช้กับอาจารย์แทน
คำพูดที่คิดไว้นี้ก็คือ แกล้งไม่รู้เื่
ไม่ว่าขงเหวินจะถามอะไรมา ก็จะตอบว่าไม่รู้ ท้ายสุดก็คือถามไม่ได้ความอะไรเลย
ขงเหวินเห็นท่าเขาจะไม่รู้เื่อะไรจริงๆ คงเพราะความโชคดี เขาเองก็เคยได้ยินเื่เช่นนี้มาบ้าง คนบางคนที่โชคดี ตอนฝึกฝนนั้นบังเอิญเคลื่อนพลังปราณฟ้าดินได้ก็ใช่ว่าจะเป็ไปไม่ได้ เพียงแต่ไม่คิดว่าความโชคดีมหาศาลเช่นนี้จะเกิดขึ้นกับศิษย์ที่ไม่เคยอยู่ในสายตาเขามาก่อน
เสียดายที่ตอนนี้มันสายไปแล้ว ขงเหวินพึมพำโชคชะตาช่างเล่นตลกกับตนเอง
หลังแยกจากขงเหวินมาแล้ว โหยวเสี่ยวโม่ก็ไม่ได้ไปไหนแล้วตรงกลับห้อง
ระหว่างทางเขาพบเจอเพื่อนร่วมสำนัก ทั้งชายทั้งหญิง พวกผู้หญิงยังพอคุยง่าย แต่สายตาที่จ้องเขาก็แฝงด้วยความฉงนสงสัย ภายนอกแลดูเป็สาวอ่อนหวานบอบบาง แต่เื่จริงหาได้เป็เช่นนั้น
หลังจากที่โหยวเสี่ยวโม่เป็ศิษย์ขงเหวินได้เพียงสิบวันก็รับรู้ถึงจุดนี้
ศิษย์ผู้หญิงนั้นน้อยกว่าผู้ชายเยอะ ไม่ว่าจะเป็แขนงโอสถหรือการต่อสู้ ในสิบคนมีเพียงสอง บางทีอาจมีเพียงหนึ่ง และเพราะเหตุนี้ ดังนั้นจำนวนศิษย์ในสำนักเทียนซินจึงค่อนไปทางผู้ชายเสียมากกว่า
และผลลัพธ์ก็คือศิษย์ผู้หญิงนั้นจึงโชคดี เหล่าศิษย์พี่ผู้ชายต่างหากันโอนอ่อนและดูแลพวกนางที่อ่อนแอกว่า ดังนั้นจึงทำให้พวกผู้หญิงมีนิสัยเอาแต่ใจ
โหยวเสี่ยวโม่ก็เคยเจอ ศิษย์พี่หลายคนต่อสู้เพื่อศิษย์น้องผู้หญิงหน้าตาสะสวยคนหนึ่ง
และที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือ ศิษย์น้องผู้หญิงคนแทนที่จะหยุดยั้งการทะเลาะวิวาท กลับราดน้ำมันบนกองไฟ ยังมีอีกก็คือเอะอะก็ลงมือทำร้ายคน พอทุบตีเขาเสร็จยังคิดว่าตัวเองทำถูกแล้ว นิสัยโมโหร้ายเอาแต่ใจไม่น่าเข้าใกล้
นิสัยแบบนี้ นักหลอมโอสถตัวเล็กๆ อย่างเขาจึงรับไม่ได้ ดังนั้นเวลาเห็นพวกนางแกล้งทำตัวอ่อนหวานบอบบาง เขาจะรู้สึกเพลีย คงไม่มีใครคิดถึงว่า พวกนางแต่ละคนล้วนเป็แม่เสือที่เอาแต่กัดคนไปทั่ว
เหตุการณ์เช่นนี้เขาเห็นมาหลายหน นับแต่นั้นมา เขาจึงหมดใจกับเหล่าสาวงามในสำนักเทียนซิน
เมื่อกลับถึงห้องตัวเอง โหยวเสี่ยวโม่พักผ่อนครู่หนึ่ง เมื่อรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นแล้ว เขาจึงหยิบเตาหลอมคุณภาพต่ำใบนั้นออกมา
เตาหลอมอเวจีทองเขาเก็บไว้ในห้วงมิติ ใน่ที่ยังรับประกันไม่ได้ว่าจะมีใครเห็นเข้าหรือไม่ เขาจึงตัดสินใจยังไม่ใช้มัน เกรงว่าต้องปวดหัวมาหาข้ออ้างเื่ซื้อเตาหลอมนั่นอีก
อีกอย่างครั้งนี้เขาก็ไม่ได้รีบลงกลอนประตู เพื่อหลีกเลี่ยงพวกศิษย์พี่ที่คิดว่าเขาแอบทำอะไรแผลงๆ อีก หากข่าวลือออกไป เห็นทีต้องถูกเรียกไปพบขงเหวินเพื่ออธิบายอีก
ครั้งนี้เขาวางเตาหลอมบนพื้น จากนั้นนั่งขัดสมาธิ เตรียมตัวหลอมยา
โหยวเสี่ยวโม่หยิบหญ้าเซียนครึ่งเดือนที่เหลือออกมา ทั้งหมดสี่ร้อยห้าสิบ เขาวางเรียงรายบนพื้น
แม้ว่าคุณภาพระดับล่างนั้นไม่ได้ดีมาก แต่ก็เหมาะแก่การฝึกฝนฝีมือ
ถึงสิ่งแปลกปลอมจะเยอะ ดังนั้นต้องหลอมร้อนให้ได้รอบเยอะที่สุด น้อยลงไม่ได้เด็ดขาด พอดีกับการฝึกฝนการหลอมร้อนให้ชำนาญ
พูดถึงการหลอมร้อน โหยวเสี่ยวโม่ก็นึกได้เื่หนึ่ง
ตอนนี้เขาหลอมร้อนได้มากสุดเพียงสี่รอบ แต่นั่นผ่านมาหลายเดือนแล้ว ครั้งหนึ่งเขาเคยหลอมร้อนได้มากสุดคือห้ารอบ แต่ครั้งนั้นก็ทำเอาพลังปราณของเขาเหือดแห้ง หากไม่ใช่เพราะหลิงเซียวมาทันเวลา ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรน่ากลัวขึ้นกับเขา
หลังจากหลิงเซียวตักเตือนเขาครั้งนั้น เขาก็ไม่กล้าเสี่ยงอีก
แต่ครั้งนั้นคือเขาพึ่งเข้าสำนักได้ไม่นาน พลังปราณิญญายังไม่เต็มที่ และยังไม่ได้ฝึกฝนคัมภีร์ิญญา์ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน เขาเป็นักหลอมโอสถขั้นสอง พลังปราณิญญาก็เพิ่มมากขึ้นจากตอนนั้น ดังนั้นหากไม่ลองตอนนี้ เมื่อไรถึงจะใช่เวลาที่เหมาะสมล่ะ!
คิดเช่นนี้แล้ว โหยวเสี่ยวโม่จึงตัดสินใจลองดู
โหยวเสี่ยวโม่เลือกหญ้าเซียนออกมาจากในกองสามต้น แบ่งเป็หญ้าิญญา หญ้าเซียนขาว คะน้าปีกนก สามชนิดนี้สามารถหลอมเป็ยาที่เรียกว่ายาเซียนตันน้ำแข็ง ยานี้สามารถเพิ่มพลังได้ แต่ไม่ได้เพิ่มเยอะมากมายนัก ดังนั้นจึงต้องเน้นปริมาณมากเข้าไว้
แต่ยานี้มีผลกับแค่นักฝึกตนชั้นธรณีเท่านั้น เมื่อใดก็ตามที่บรรลุชั้นธรณีไปแล้ว ยานี้ก็จะไม่มีผลอีกต่อไป
แม้จะพูดเช่นนี้ นักฝึกตนในแผ่นดินหลงเสียงนั้นมีมากมายราวขนวัว ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่มีตลาดรองรับ เพราะนักฝึกตนพลังชั้นต่ำนั้นมีเยอะแยะถมไป
เมื่อรวบรวมสมาธิไปที่เตาหลอมแล้ว โหยวเสี่ยวโม่จึงโยนหญ้าเซียนลงไป
จากความช่ำชองของเขา หญ้าเซียนค่อยๆ หลอมเป็ของเหลวสีเขียวสามกอง จากนั้นสิ่งตกค้างในนั้น หลุดออกมาทีละน้อย จากนั้นหลอมอีกสี่รอบ ของเหลวนั้นยิ่งอยู่ยิ่งบริสุทธิ์ แต่โหยวเสี่ยวโม่ยังรู้สึกได้ถึงสิ่งตกค้างที่เหลืออยู่ สูดหายใจลึก แล้วเขาก็เริ่มหลอมร้อนรอบที่ห้า…
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า เมื่อเขาหลอมร้อนรอบที่ห้าเสร็จ เขากลับไม่รู้สึกถึงความอ่อนเพลียแม้แต่นิด พลังปราณิญญาที่ใช้ไป เพียงน้อยนิดงั้นหรือ?
หลอมร้อนรอบที่ห้านั้นนับว่าเป็การก้าวะโไปขั้นหนึ่ง เพราะสิ่งสกปรกที่ตกค้างเหลืออยู่เพียงร้อยละสองหรือสาม สำหรับหญ้าเซียนขั้นสองแล้ว อัตรานี้ช่างน้อยจนน่าเหลือเชื่อ คนส่วนมากสักชาติก็อาจทำไม่ได้
แม้โหยวเสี่ยวโม่จะอยากหลอมร้อนรอบที่หก แต่พลังบางอย่างกำลังบอกเขาว่า นี่คือขีดจำกัดแล้ว ไม่ใช่ขีดจำกัดของเขา หากแต่เป็หญ้าเซียนนี่ต่างหาก สิ่งตกค้างที่เหลือนั้นไม่ว่าเขาจะทำยังไง ก็ไม่มีทางเอามันออกได้
แต่เขาไม่ได้เศร้าแต่อย่างใด สามารถหลอมร้อนห้ารอบได้สบายๆ เขาก็รู้สึกดีใจแล้ว จากนั้นเริ่มขั้นตอนการบดนวดยา…
โหยวเสี่ยวโม่ที่กำลังมีสมาธินั้นไม่ทันสังเกต ขณะที่เขากำลังนวดยาผสมเข้าด้วยกัน มีเงาใครบางคนปรากฏขึ้นด้านนอกหน้าต่าง สายตามืดมนนั้นแอบส่องทุกสถานการณ์นั้นจากช่องเล็กๆ จากหน้าต่าง จนเขานวดยาเสร็จ ยิ้มแย้มแล้วเงยหน้าขึ้น เงานั่นก็หายไป…
ตลอดทั้งบ่าย โหยวเสี่ยวโม่ไม่หยุดที่จะทดลองหลอมยาเซียนตันขั้นสองชนิดต่างๆ
คงเพราะผลของการฝึกคัมภีร์ิญญา์ เมื่อเขาจัดการหลอมยาร้อยกว่าเม็ดเสร็จแล้ว เขาไม่ต้องดื่มน้ำปราณเพื่อฟื้นฟูพลัง แต่เนื่องจากเขาหลอมร้อนมากขึ้น ดังนั้นเมื่อหลอมยาทั้งหมดหนึ่งร้อยห้าสิบเม็ดเรียบร้อย ก็ปาไปรุ่งเช้าวันถัดมา
โหยวเสี่ยวโม่ที่เริ่มรู้สึกเพลียไม่ได้ดื่มน้ำปราณ เขาเก็บของทุกอย่างเข้าที่ จากนั้นกินหญ้าเซียนประทังความหิวไปก่อน จากนั้นเตรียมตัวเข้านอน
ก่อนที่จะเข้าสู่ห้วงความฝัน สิ่งที่โหยวเสี่ยวโม่คิดเป็อย่างสุดท้ายคือ ยาเซียนตันพวกนี้คงพอให้หลิงเซียวกินอีกหลายวันแล้วสินะ?
หลับไปตื่นนี้ผ่านไปราวสามชั่วยาม จนถึงบ่ายสามจึงตื่นขึ้น
หากเป็ชาติที่แล้วตอนที่เขายังอยู่ในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด เขาไม่มีทางใช้ชีวิตโต้รุ่งกลับไปมาเช่นนี้ สำหรับเด็กเรียนอย่างเขา พอถึงสี่ทุ่มก็ต้องเข้านอนนั้นเป็เื่ปกติ
แต่ตอนนี้ เขารู้สึกว่าตัวเองห่างไกลความเป็มนุษย์ขึ้นเรื่อยๆ
ครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น โหยวเสี่ยวโม่หยิบยาเซียนตันหลายขวดไปหาหลิงเซียว
กลับมาได้สองวันแล้ว แต่เขาไม่เห็นหลิงเซียวมาหาเลย จึงตัดสินใจไปหาเขาเอง จากนั้นเอายาเซียนตันพวกนี้ให้เขา แน่นอนว่า เขาไม่มีทางยอมรับว่าตัวเองเริ่มคิดถึงหลิงเซียวจึงไปหาเขา…
หากหลิงเซียวรู้ว่าเขาคิดเช่นนี้ คงดีใจมากแน่ เพราะแผนที่เขาวางไว้สำเร็จแล้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้