แม้จะมีพลังอยู่ในระดับเก้าดาราเหมือนกันแต่ระดับพลังที่แท้จริงกลับแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
องครักษ์พวกนี้แข็งแกร่งกว่าศิษย์ที่เจอในงานหลอมดาวเล็กน้อยพวกเขามีพลังิญญามากกว่าขั้นที่หกสิบแล้ว ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือองครักษ์พวกนี้เป็ทหารที่ผ่านการเคี่ยวกร่ำในสนามรบมาแล้วมากมายจึงมีประสบการณ์ด้านการต่อสู้มากกว่าศิษย์ในงานหลอมดาวหลายเท่า
มาดูซูฉางอันในตอนนี้หลังการต่อสู้เมื่อวาน กระทั่งตอนนี้ พลังิญญาของเขายังไม่ได้รับการฟื้นฟูเลยและที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เขาไม่ได้พกดาบมาด้วยนั่นเอง
นักดาบที่ไม่มีดาบก็ไม่ต่างไปจากหมาป่าที่ไร้คมเขี้ยวสามารถวิ่ง หรือะโ และคำรามได้ แต่ไม่อาจทำร้ายผู้อื่นได้
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ดูเหมือนการต่อสู้ในครั้งนี้จะไม่ง่ายเสียแล้ว
ซูฉางอันพยายามทำใจให้สงบเขานับจำนวนศัตรู องครักษ์ที่พุ่งเข้ามาหามีทั้งหมดห้าคนด้วยกันเขารู้ดีว่าการต่อสู้ในครั้งนี้ต้องยากลำบากมากแน่ๆ จึงไม่กล้าวู่วามรีบขับเคลื่อนปราณดาราแห่งคมดาบและเพลิงศักดิ์สิทธิ์ภายในตัวขึ้นมาทันที
ทันใดนั้นพลังแห่งคมดาบก็พุ่งทะยานไปทั่ว เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ส่องประกายสว่างไสว
องครักษ์ทั้งห้าเองก็ไม่ใช่นักรบธรรมดาทั่วไปพวกเขารับรู้ได้ทันทีว่าพลังิญญาของซูฉางอันไม่ใช่พลังธรรมดาจึงไม่กล้าประมาทศัตรูเช่นกัน ต่างก็คำรามเสียงดังสนั่นขึ้นพลันระลอกแห่งพลังิญญาก็พุ่งปะทุออกมาจากร่างกายในพริบตา
อาจเป็เพราะที่นี่เป็หอหมู่ตันองครักษ์เหล่านี้จึงยังมีความกังวลอยู่บ้าง พวกเขาไม่ได้นำอาวุธออกมาใช้แต่อย่างใดระหว่างการต่อสู้ พวกเขาก็มุ่งโจมตีไปที่แขน และเท้าเท่านั้นไม่ได้พุ่งเป้าไปที่จุดสำคัญ ไม่ได้หวังจะเอาชีวิตซูฉางอัน
แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ของซูฉางอันดีขึ้นเลยองครักษ์ทั้งห้ารู้ใจกัน ต่อสู้ร่วมกันได้อย่างยอดเยี่ยม พวกเขาพุ่งโจมตีมาจากทิศทางที่แตกต่างกันออกไปปิดทุกทางหนีของซูฉางอันเอาไว้จนหมดแล้ว
หากยังไม่ทำอะไรอีกล่ะก็เกรงว่าแค่พวกเขาโจมตีครั้งเดียว ซูฉางอันก็หมดสภาพแล้ว
แต่เขาจะทำอะไรได้ล่ะ? พลังิญญาภายในร่างกายอ่อนแอทั้งยังไม่มีดาบอยู่ในมืออีก ซูฉางอันขมวดคิ้วมุ่น แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจในสิ่งที่ทำลงไปเลยสักนิด
เขาชอบอ่านหนังสือแม้จะไม่ใช่หนังสือวิชาการอะไร แต่อย่างไรเสียมันก็ยังถือเป็หนังสืออยู่
ในหนังสือกล่าวเอาไว้ว่า ยอดวีรบุรุษต้องต่อสู้เพื่อบ้านเมืองและประชาชน
ในหนังสือกล่าวเอาไว้ว่าหน้าที่ของจอมยุทธ์ ก็คือการกำจัดคนชั่วให้หมดไปจากแผ่นดิน
เขาอยากเป็เช่นนั้นเพราะจอมยุทธ์ในหนังสือที่อ่าน ไม่ว่าจะไปที่ใดก็มักจะมีแต่คนรักและมักจะมีหญิงงามเฉกเช่นโม่โม่คอยอยู่เคียงข้างเสมอ
ก่อนหน้านี้เขาก็เคยอยากจะทำความดีกำจัดคนชั่ว ผดุงความยุติธรรมเหมือนจอมยุทธ์ในหนังสือมาก่อนแต่สำหรับเขาในตอนนี้แล้วนั่นถือเป็ความคิดที่ทั้งหนักหนาและอยู่ห่างไกลเหลือเกิน
สุดท้ายแล้วเขาเพียง้าให้โลกใบนี้ไม่ได้เกลียดเขาเฉกเช่นแต่ก่อนและตัวเขาเองก็ไม่เกลียดชังโลกมากจนเกินไปเท่านั้น
แต่เื่ราวมากมายในโลกมักไม่เป็ไปตามที่ปรารถนา
ในงานหลอมดาว พวกคนที่ไม่เคยรู้จักหรือพบหน้ากันมาก่อนพูดประณามเขา
ในหอหมู่ตันคนชนชั้นสูงในที่นี้ไม่ต่างไปจากหมาป่าจอมโลภที่คิดแต่จะกัดแทะร่างของหญิงสาววัยแรกรุ่นเข้าไปเป็อาหาร
ทำไมโลกใบนี้ต้องเป็เช่นนี้ด้วย?
จู่ๆเขาก็คิดถึงดาบของตัวเองเหลือเกินเขาอยากจะใช้ดาบนั้นตัดโลกทั้งใบให้ขาดออกเป็สองท่อนไปเลย
ทว่าเพิ่งคิดได้แค่นั้นซูฉางอันก็ต้องสะดุ้งเฮือก พลันเม็ดเหงื่อก็พากันซึมออกมาเต็มหน้าผาก วินาทีนั้นเขารับรู้ได้ว่าโลหิตเทพภายในตัวที่เงียบหายไปนานเริ่มเคลื่อนไหวขึ้นอีกครั้งแล้ว
เขารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างฉับพลันทว่าบัดนั้น ลมที่พุ่งมาพร้อมกับฝ่ามือขององครักษ์ทั้งห้าก็มาประชิดตัวเสียแล้ว
วินาทีที่โลหิตเทพเกิดการเคลื่อนไหวเพลิงศักดิ์สิทธิ์กับพลังแห่งคมดาบที่ครอบคลุมร่างของเขาอยู่ก็อ่อนกำลังลงไปเช่นกันทำให้ซูฉางอันต้องเผชิญกับองครักษ์ที่หมายจะทำร้ายโดยไร้ซึ่งการป้องกันใดๆ ทั้งสิ้น
ฝ่ามือของคนทั้งห้าพุ่งเข้ามาประชิดตัวแล้วและเพราะการเสียสมาธิเมื่อครู่ ทำให้ซูฉางอันตั้งรับ หรือป้องกันใดๆ ไม่ทันอีกแล้ว
แสงอันแสนคมเฉียบจากกระบี่ประกายขึ้นแล้วตามมาด้วยลำแสงแห่งพลังอีกหลายระลอก พวกมันพุ่งตรงเข้าใส่แผ่นหลังขององครักษ์ทั้งห้าอย่างไร้ความปรานีการโจมตีเ่าั้ไม่คิดจะรามือหรืออ่อนข้อให้เหมือนกับการโจมตีขององครักษ์เ่าั้พวกมันพุ่งตรงไปที่หน้าอก ใบหน้า และจุดสำคัญต่างๆ ของศัตรูทันที
คนทั้งหลายสะดุ้งเฮือกจำต้องเปลี่ยนแปลงความเร็วในการเคลื่อนที่ของตัวเอง เพื่อหลบจากการโจมตีของลำแสงเ่าั้
และในวินาทีที่ร่างทั้งห้าเคลื่อนไหวช้าลงจู่ๆ ร่างสูงใหญ่ของใครบางคนก็ปรากฏขึ้นที่ข้างกายแล้วดึงซูฉางอันที่กำลังเหม่อลอยให้ถอยกลับไปทางด้านหลังหลายก้าวกระทั่งหลบจากฝ่ามือที่พุ่งฝ่าสายลมเข้ามาได้อย่างหวุดหวิด
ในตอนนั้นเองที่ซูฉางอันมองเห็นว่าร่างนั้นเป็ของใครกันแน่เป็ร่างของลิ่นหยู หนุ่มวัยรุ่นผู้แสนแข็งแกร่งที่ไม่ชอบพูดคุยนั่นเอง
ซูฉางอันมองไปยังทิศทางที่ลำแสงแห่งกระบี่พุ่งมาก่อนจะพบกับเซี่ยโหวฟ่งอวี้ที่กำลังถือดาบ และยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น ทางด้านกู่หนิงจี้เต้า กับซูโม่เอง ตอนนี้แสงจากพลังิญญาที่ฝ่ามือของพวกเขายังไม่จางหายไปเลย
ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไรทั้งสี่ก็วิ่งเหยาะๆ มาหยุดอยู่ข้างกายเสียแล้ว
“เ้าเนี่ยนะ! ทำไมถึงทำอะไรวู่วามแบบนี้!” เซี่ยโหวฟ่งอวี้หยิกไปที่เอวของซูฉางอันอย่างแรงหลายครั้งขณะที่ปากก็เอาแต่พูดตำหนิไปด้วย
“นั่นน่ะสิ! ฉางอันทำไมเ้าถึงออกไปสู้คนเดียวแบบนั้นล่ะ อย่าคิดว่าได้เป็จอมดาราแล้วจะเก่งจะไร้เทียมทานนะ” ซูโม่เองก็บ่นขึ้นอย่างไม่พอใจด้วยเช่นกัน
“นั่นน่ะสิ เ้าบ้านี่ จะต่อยตีทั้งทีทำไมถึงไม่เรียกพี่จี้ของเ้าไปด้วยเล่า อย่าลืมนะว่าข้าเคยสั่งสอนเ้ายังไงตอนอยู่ที่เมืองฉางเหมิน!” มีหรือที่จี้เต้าจะพลาดเขาบ่นตามมาติดๆ
ทางด้านกู่หนิงกับลิ่นหยูเองแม้ทั้งสองจะไม่ได้พูดอะไรแต่รอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นขณะมองมายังซูฉางอันก็แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขาเลือกอยู่ข้างใด
ซูฉางอันรู้สึกพูดไม่ออกเขาเกาหัวตัวเองอย่างทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะตอบกลับไปยังไงดีระลอกแห่งความอบอุ่นปะทุขึ้นในหัวใจ ดูเหมือนความอบอุ่นนั้นจะมีพลังบางอย่างเพราะทันทีที่มันปรากฏขึ้น ความอึดอัดจากโลหิตเทพก็ค่อยๆ สลายหายไป และกลับมาสงบอีกครั้ง
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้วิเคราะห์เื่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นจนเข้าใจองครักษ์เ่าั้ก็พุ่งเข้ามาล้อมพวกเขาเอาไว้ด้วยสีหน้าบูดบึ้งเสียแล้วคนเหล่านี้ล้วนเป็ทหารที่ผ่านการรบรามาแล้ว จะพูดว่าคลานออกมาจากกองศพก็ว่าได้ทว่ามาตอนนี้ พวกเขากลับถูกเด็กหนุ่มสาวแค่ไม่กี่คนลอบทำร้ายแล้วเช่นนี้จะไม่ให้โมโหได้ยังไง องครักษ์ทั้งหลายขับเคลื่อนพลังิญญาในร่างกายเพื่อจัดการกับกลุ่มเด็กทั้งหลายทันที
ซูฉางอันกับพวกหน้าถอดสีไปตามๆ กันในกลุ่มของพวกเขา คนที่มีระดับพลังสูงที่สุดก็คือเซี่ยโหวฟ่งอวี้ แต่ถึงกระนั้นนางก็มีพลังเพียงระดับเก้าดาราเท่านั้นเมื่อนับรวมซูฉางอันที่มีปราณดาราพิเศษกว่าคนทั่วไป หากพูดตามความจริงในกลุ่มของพวกเขามีแค่เซี่ยโหวฟ่งอวี้กับซูฉางอันเท่านั้นที่สามารถรับมือกับนักรบระดับเก้าดาราได้
ส่วนคนอื่นๆ ล้วนเป็นักรบระดับหลอมจิตด้วยกันทั้งสิ้นยิ่งไปกว่านั้น กู่หนิง ซูโม่ กับจี้เต้ายังเป็นักพรตอีก ด้วยพลังในระดับนี้ต่อให้ทั้งสามคนร่วมมือกันก็ยังไม่แน่ว่าจะเอาชนะนักรบระดับเก้าดาราหนึ่งคนไปได้รึเปล่าเลย
เมื่อวกกลับไปดูองครักษ์ทั้งห้าพวกเขาล้วนมีพลังอยู่ในระดับเก้าดาราขั้นสูงด้วยกันทั้งสิ้นแม้การต่อสู้จะยังไม่ได้เริ่มขึ้น แต่การแพ้ชนะก็ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว
ซูฉางอันมองดูองครักษ์ที่ล้อมเข้ามาจากรอบด้านพลันสีหน้าก็หนักอึ้งขึ้นอย่างฉับพลันหากพลังิญญาของเขาได้รับการฟื้นฟูจนสมบูรณ์ และมีดาบติดตัวมาด้วยล่ะก็ไม่แน่พวกเขาอาจยังมีพลังมากพอจะเอาชนะคนเหล่านี้ไปได้ จู่ๆซูฉางอันก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็คุณชายตกยากที่ถูกขอทานรังแกอย่างไรอย่างนั้น
“ศิษย์พี่ ท่านพากู่หนิงกับคนอื่นๆออกไปก่อนเถอะ ข้าจะรั้งคนพวกนั้นให้เอง” ซูฉางอันขมวดคิ้วมุ่นพลางกล่าวกระซิบ
“ยังไม่ลืมเื่ของแม่นางฝานหรูเยว่อีกใช่ไหม!” เซี่ยโหวฟ่งอวี้ปรายตามองยอดบุปผาบนเวทีเล็กน้อยบัดนี้ ฝานหรูเยว่กำลังอุ้มผีผาของตัวเองแล้วไปหลบอยู่ที่มุมข้างเวทีอย่างหวาดกลัว เซี่ยโหวฟ่งอวี้เบะปากก่อนหน้านี้นางได้ยินมาว่าพี่ห้าทะเลาะกับเสด็จพ่อเพราะหญิงโคมเขียวคนหนึ่งทำให้ถูกเสด็จพ่อกักบริเวณให้อยู่แต่ในตำหนักมาจนถึงวันนี้เดิมทีนางยังนึกสงสัยว่าต้องเป็หญิงที่งามถึงเพียงใดถึงได้มีเสน่ห์ล้นเหลือจนทำให้พี่ห้าจอมเสเพลของตนหลงใหลได้ถึงเพียงนี้ มาวันนี้เมื่อได้พบกับนางโดยบังเอิญ แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่เซี่ยโหวฟ่งอวี้ก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่านางคนนี้งดงามมากเหลือเกิน แม้แต่เซี่ยโหวฟ่งอวี้ก็ยังสู้นางไม่ได้เลยไม่เช่นนั้น ศิษย์น้องจอมทึ่มของตนก็คงไม่ยอมลงไม้ลงมือเพื่อปกป้องนางแบบนี้หรอก
แน่นอนว่าเมื่อคิดมาถึงตรงนี้ จู่ๆเซี่ยโหวฟ่งอวี้ก็พลันรู้สึกโมโหขึ้นมาอย่างประหลาดนางพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง “ไม่ดูเลยหรือไง ว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็ยังไงพวกเราหนีไปได้เสียที่ไหน?”
ซูฉางอันชะงักนิ่งไปเขาเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว อย่างไรเสีย หอหมู่ตันก็เป็ถิ่นของคนอื่นต้องมีองครักษ์อยู่อีกมากแน่เป็ไปไม่ได้เลยที่เขาจะพายอดบุปผาหนีออกไปจากถิ่นของคนอื่นได้อย่างสบายๆ
เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่ได้ ขณะที่อีกด้านก็นึกโทษตัวเองไม่หยุดซูฉางอันอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กู่หนิงก็พูดขัดขึ้นเสียก่อน
“สหายซู อย่าโทษตัวเองไปเลย” ดูเหมือนเขาจะอ่านความคิดของซูฉางอันออกเช่นนั้นกู่หนิงกล่าวขึ้นดังนี้ “เ้ายังจำหนังสือเื่นักสยบปีศาจที่เ้าเล่าให้ข้าฟังระหว่างเดินทางมาที่เมืองฉางอันได้หรือไม่? นักดาบในเื่นั้นก็ผดุงความยุติธรรมและชักดาบออกมาช่วยเหลือผู้คนเหมือนที่พวกเรากำลังทำในตอนนี้ไม่ใช่รึ? ที่พวกเราเล่าเรียนและฝึกวรยุทธ์ก็เพื่อการนี้ไม่ใช่รึ? เื่นี้ แม้เ้าจะไม่ลงมือพวกเราก็ทนดูไม่ได้อยู่ดี หากเป็เช่นนั้นข้าเชื่อว่าสหายซูก็คงจะออกมาช่วยพวกเราเหมือนที่พวกเราทำในตอนนี้เหมือนกันแน่”
“นั่นน่ะสิ! คุณชายสุนัขอย่าคิดว่าตัวเองเป็วีรบุรุษอยู่คนเดียวสิทั้งที่เราก็มาจากเมืองฉางเหมินเหมือนกัน พวกเราไม่ได้ขี้ขลาดไม่ได้กล้าหาญน้อยไปกว่าเ้าเลย!” จี้เต้าที่อยู่ข้างกันพูดแสดงความเห็นด้วย
ซูฉางอันชะงักนิ่งไป ในที่สุดความรู้สึกผิดที่รัดแน่นอยู่ในใจก็คลายออกเสียทีดวงตาของเขาก็เริ่มเปล่งแสงสว่างไสวขึ้นมาอีกครั้ง วินาทีนั้นความกังวลทั้งหมดที่มีพากันมลายหายไปจนหมดแล้วแม้แต่ปราณดาราในร่างกายก็ขับเคลื่อนพลังได้ราบรื่นขึ้นมากเลย
“ดี! งั้นพวกเราก็มาเป็นักดาบในหนังสือนักสยบมารกันสักครั้งเถอะ!”
เขาคำรามเสียงดังลั่น แล้วจู่ๆพลังแห่งดาบที่ลอยวนเวียนอยู่รอบๆ ก็พุ่งไปรวมกันที่มือขวาที่ยังว่างเปล่าของเขาเพียงไม่กี่อึดใจพลังที่มองเห็นได้อย่างเลือนรางก็หลอมเข้าด้วยกันจนกลายเป็รูปดาบยาวในที่สุด
เขาเชิดหน้า ย่ำเท้าลงบนพื้นดิน แล้วะโขึ้นสูงอย่างทรงพลังราวกับราชันพยัคฆ์วินาทีนั้น จู่ๆดาบในมือของเขาก็คล้ายจะกลายเป็สิ่งของที่มีตัวตนและจับต้องได้จริงๆ เช่นนั้นพลังิญญาภายในร่างกายเริ่มขับเคลื่อนขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาหัวใจกระตุกวูบก่อนร่างกายจะกลายเป็ลำแสง ขณะที่เพลิงศักดิ์สิทธิ์สำหรับคุ้มกายก็ยังคงขับเคลื่อนต่อไปไม่หยุดเปลวเพลิงที่แสนงดงามลอยวนเวียนอยู่รอบลำแสง หรือก็คือซูฉางอันหลังกลายร่างนั่นเองซูฉางอันในรูปลำแสงพุ่งตรงออกไปแล้ว
เมื่อเห็นดังนั้นกลุ่มคนก็คำรามเสียงดังลั่น แล้วแสดงกระบวนท่าที่แข็งแกร่งมากที่สุดของตัวเองออกมาพลางพุ่งเข้าไปหาองครักษ์ที่มีพลังสูงส่งกว่าตนมากกว่าหนึ่งเท่าทันที
ห้องโถงของหอหมู่ตันเงียบสงัดลงไปในพริบตาลูกค้าภายในร้านวางแก้วสุรา เหล่าคุณชายลดพัดลง ฝานหรูเยว่เบิกตากว้างหรูเยี่ยนยกมือขึ้นปิดปาก
พวกเขามองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้ามองดูเหล่าหนุ่มสาวที่แสนเด็ดเดี่ยวตรงหน้าอย่างตกตะลึง
พวกเขาแลดูเล็กจ้อยทว่าก็สว่างไสวมากเสียเหลือเกิน
ราวกับแมลงเม่าที่บินเข้าไปในกองไฟแต่ก็เหมือนกับสิงโตที่ะโเข้าไปตะครุบกระต่าย
สิ่งที่เหล่าผู้เยาว์วัยกลุ่มนี้แสดงออกมาอย่างอาจหาญและไร้ซึ่งความกลัวเกรง...
ทำให้ลูกค้าคนอื่นๆภายในร้านรู้สึกว่ามันช่างน่าหลงใหล และน่าตกตะลึงเหลือเกิน
นี่เป็เื่ที่ขัดแย้งกันไปทุกอย่างทว่าก็งดงามมากที่สุดใน่วัยที่ดีที่สุดของมนุษย์เหมือนกัน
พวกเขาในตอนนี้ เป็ตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว