“น้องเฟิงเย่ เ้าได้รับสมบัติที่ซ่อนอยู่ในพระราชวังใต้ดินแล้วจริงหรือ?”
โหวโซ่วมองไปทางมู่เฟิงด้วยสายตาลุกวาว จากน้ำเสียงของเขาก็เห็นได้ชัดเลยว่ามีร่องรอยของความโลภอยู่
“ซือถูคง เ้าทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร เหตุใดเ้าถึงมากล่าวหาว่าข้าได้รับสมบัติของพระราชวังใต้ดินแล้วกัน?”
มู่เฟิงกล่าวอย่างเ็า
เขารู้ซึ้งถึงความโลภของมนุษย์เป็อย่างดี แน่นอนเขาจะไม่มีทางยอมรับ
“หึๆ มีหรือไม่ เพียงเ้าส่งแหวนเฉียนคุนของเ้ามาให้ตรวจสอบก็รู้แล้ว”
ซือถูคงกล่าวด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย
เว่ยอี้อวิ๋น โจวเหวินเฉวียนกับบัณฑิตสายในอีกสองคน รวมถึงโหวโซ่วและคนอื่นๆ ต่างก็เดินเข้าไปหามู่เฟิงอย่างเชื่องช้า
ดวงตาของมู่เฟิงมืดครึ้มลง ภายในใจของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตสังหารที่มีต่อซือถูคง ชายผู้นี้ช่างมีจิตใจคับแคบและละโมบยิ่งนัก
“ทุกท่าน ข้าคิดว่าพวกท่านควรเลิกคาดเดามั่วซั่วได้แล้ว”
ทันใดนั้นหูเถี่ยหนิ่วก็เข้ามายืนขวางมู่เฟิงพร้อมกับเอ่ยขัดการกระทำของทุกคน ในขณะเดียวกันซานเหล่าเอ้อกับข่งย่วนเองก็เข้ามาขวางทุกคนเอาไว้เช่นกัน
“อะไรกัน หูเถี่ยหนิ่ว ซานเหล่าเอ้อ พวกเ้าเองก็มาที่นี่เพื่อตามหาสมบัติกับยาควบหยวนตานไม่ใช่หรือ?”
โหวโซ่วหัวเราะเยาะ
“แน่นอนว่าใช่ แต่น้องเฟิงเย่มีบุญคุณช่วยชีวิตพวกเราไว้ ฉะนั้นพวกเราจะตั้งข้อสงสัยต่อเขาได้อย่างไร โหวโซ่ว เ้าคงไม่ลืมไปแล้วหรอกนะว่าใครเป็คนช่วยชีวิตเ้าจากค่ายกลสังหารนั่น”
หูเถี่ยหนิ่วกล่าวอย่างเฉยเมย
“เฟิงเย่เคยช่วยชีวิตข้ามาก่อน หากคิดแตะต้องเขา เช่นนั้นก็ต้องถามข้าก่อน”
ซานเหล่าเอ้อกล่าวเตือนพร้อมกำขวานในมือแน่น
ข่งย่วนยืนขวางหน้ามู่เฟิงพร้อมกับกระบี่เล่มยาวในมือ จากท่าทางของนางไม่จำเป็ต้องกล่าวคำใดก็สามารถเข้าใจเจตนาได้อย่างชัดเจน
มู่เฟิงมองไปยังกลุ่มคนเ่าั้ด้วยความรู้สึกอบอุ่นหัวใจ แม้จะมีผลประโยชน์วางอยู่ตรงหน้า แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ทอดทิ้งเขา
จากนั้นเด็กหนุ่มจึงมองไปทางโหวโซ่วด้วยความรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย บางคนสามารถแบ่งปันความทุกข์กันได้ แต่ไม่อาจแบ่งปันความสุขกันได้
“ไม่เป็ไร พี่ใหญ่เถี่ยหนิ่ว ซานเหล่าเอ้อ ปล่อยพวกเขาไปเถอะ หากเกิดอะไรขึ้นกับข้า พวกเ้าก็อย่าได้คิดที่จะมีชีวิตออกไปจากที่นี่เลย พวกเ้าคิดว่าไม่มีข้าแล้ว พวกเ้าจะสามารถทำลายค่ายกลของประตูบานนี้ได้หรือ? แบบนี้จะไม่เท่ากับว่าพวกเ้าต้องติดอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิตหรอกหรือ”
มู่เฟิงยิ้มเยาะ เขากวาดตามองซือถูคงและคนอื่นๆ ขณะกล่าวอย่างประชดประชัน
เมื่ออีกฝ่ายได้ยินดังนั้นสีหน้าของพวกเขาก็พลันเปลี่ยนเป็น่าเกลียดในทันที
ใช่แล้ว สิ่งที่มู่เฟิงกล่าวนั้นถูกต้อง หากไม่มีมู่เฟิงพวกเขาก็ไม่สามารถฝ่าประตูนี้ออกไปได้
สีหน้าของซือถูคงและคนอื่นๆ ต่างก็มืดครึ้มลง เวลานี้พวกเขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไปดี แต่โหวโซ่วกลับเปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็ว เขารีบกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “น้องชายเ้าอย่าเพิ่งโมโหไป ข้าเพียงล้อเ้าเล่นเท่านั้น ถึงอย่างไรข้าก็ไม่มีทางทำร้ายเ้าแน่ เื่เมื่อครู่เป็เพียงแค่การเข้าใจผิดกันเท่านั้น เื่เข้าใจผิด”
มู่เฟิงนึกเย้ยหยันขึ้นมาในใจ แต่สีหน้าของเขากลับยังคงเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ
“พวกเ้าแยกย้ายกันไปได้แล้ว น้องเฟิงเย่ของข้าก็บอกแล้วว่าไม่มีสมบัติใดทั้งนั้น”
โหวโซ่วหันไปตำหนิซือถูคงและคนอื่นๆ ทันที
สีหน้าของซือถูคงและคนอื่นๆ ต่างก็มืดครึ้ม พวกเขาจ้องโหวโซ่วก่อนจะถอยออกไป
“น้องชาย เ้าว่าพวกเราควรเปิดประตูกันก่อนดีหรือไม่?”
โหวโซ่วหันไปกล่าวกับมู่เฟิงอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม
“เ้าลิงผอม เหลาจื่อมองไม่ออกเลยว่าแท้จริงแล้วเ้าเป็พวกน่ารังเกียจเช่นนี้”
หูเถี่ยหนิ่วหันไปกล่าวประชดประชันโหวโซ่ว
มุมปากของโหวโซ่วกระตุกเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้กล่าวแย้งอะไรออกมา
“หาก้าให้ข้าเปิดประตูแน่นอนว่าย่อมได้ แต่ทุกคนจะต้องยืนยันก่อนว่าใครก็ตามที่กล้าแตะต้องข้าหลังจากเปิดประตูบานนี้แล้ว คนผู้นั้นจะเป็ลูกสุนัขบัดซบ”
มู่เฟิงกวาดตามองไปยังผู้คนเ่าั้พร้อมเอ่ยอย่างเ็า
“ตกลง! ตกลง ไม่ว่าน้องชายจะว่าอย่างไรก็ย่อมได้ทั้งนั้น เ้ารีบเปิดประตูเร็วเข้า ข้าไม่อยากอยู่ในสถานที่เส็งเคร็งแบบนี้แล้ว”
โหวโซ่วรีบตอบตกลงในทันที ส่วนเว่ยอี้อวิ๋น ซือถูคงและคนอื่นๆ ยังคงเงียบและไม่ส่งเสียงใดออกมา
มู่เฟิงจึงเดินไปเปิดค่ายกล ทันใดนั้นประตูเหล็กสีดำก็พลันเปิดออกอีกครั้ง
ในที่สุดพวกเขาก็สามารถเดินกลับออกไปที่หุบเขาสมุนไพรได้อีกครั้ง ก่อนจะเดินต่อไปยังเส้นทางเดิมที่พวกเขาเคยเข้ามา
ในเส้นทางกลับนี้ ทุกคนยังคงต้องพึ่งพามู่เฟิงในการผ่านค่ายกล จนในที่สุดเด็กหนุ่มก็นำทุกคนกลับมาถึงเขตชั้นหนึ่งได้อย่างปลอดภัย
หลังจากผ่านทะเลสาปออกมาถึงช่องทางใต้ดินได้แล้ว ในที่สุดพวกเขาก็กลับมาถึงพื้นดินปกติ
“ในที่สุดก็ออกมาได้เสียที”
เนื่องจากใช้ชีวิตในชั้นใต้ดินเป็เวลาหลายวัน ทุกคนจึงรู้สึกไม่คุ้นเคยกับแสงแดดจากดวงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมาอยู่บ้าง และบางคนก็หันไปทางดวงอาทิตย์ก่อนจะทอดถอนใจออกมา
ในขณะเดียวกันพวกเขาก็รู้สึกะเืใจเล็กน้อย การเดินทางไปยังพระราชวังใต้ดินครั้งนี้มีผู้ร่วมเดินทางนับพันคน แต่พอออกมาจากบริเวณชั้นสามก็เหลือแค่พวกเขาเพียงสิบกว่าคนเท่านั้น คนอื่นๆ ล้วนเสียชีวิตลงในชั้นใต้ดินไปหมดแล้ว
ทางเว่ยอี้อวิ๋นและเหล่าบัณฑิตต่างก็รู้สึกผิดหวังเพราะทำภารกิจไม่สำเร็จ นอกจากนี้ยังไม่ได้รับยาควบหยวนตานอีกด้วย
“ฮ่าๆ ๆ ๆ ยินดีต้อนรับทุกคนที่รอดชีวิตออกมาได้”
แต่ทันใดนั้นกลับมีเสียงหัวเราะดังขึ้น ก่อนที่กลุ่มคนจำนวนมากจะวิ่งออกมาจากป่าหิน คาดคะเนจากสายตาแล้วพวกเขาคงมีไม่ต่ำกว่าร้อยคน พวกเขาเข้ามาล้อมพวกเขาเอาไว้อย่างแ่า
จากนั้นชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีดำก็ควบพยัคฆ์ดำแหวกทางเข้ามา
ชายในชุดคลุมสีดำผู้นี้มีรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าขาวซีด ดวงตาของเขามีประกายแสงสีเขียวเข้มจางๆ ดูน่าสะพรึงกลัวเป็อย่างยิ่ง
นอกจากนี้ผู้คนที่กำลังล้อมอยู่รอบๆ ก็แบกโลงศพเอาไว้บนหลังอีกด้วย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็คนตระกูลอิน!
“อินเหมี่ยน!”
เมื่อมู่เฟิงเห็นคนผู้นั้น เขาก็จำอีกฝ่ายได้ทันที
นอกจากอินเหมี่ยนแล้ว ยังมีผู้าุโระดับหนิงกังขั้นเก้าอีกหลายคนมารวมตัวอยู่ด้วย
“ผู้าุโอินเหมี่ยน พวกท่านหมายความว่าอย่างไร”
หูเถี่ยหนิ่วมองไปทางตระกูลอินที่กำลังล้อมพวกเขาเอาไว้ ก่อนจะกล่าวอย่างเ็า
“หมายความว่าอย่างไร เ้าคิดว่าข้าหมายความว่าอย่างไรเล่า จิ่วซานแห่งนี้อยู่ในอาณาเขตตระกูลอินของพวกข้า ดังนั้นสิ่งของทั้งหมดในวังโบราณจิ่วซานก็สมควรเป็ของตระกูลอินของเราด้วย พวกเ้าจงมอบทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่ได้รับมาจากเมืองจิ่วซานออกมาเสีย ไม่อย่างนั้นเกรงว่าคงจะต้องเกิดการนองเืขึ้นแล้ว”
ผู้าุโคนหนึ่งจากตระกูลอินกล่าวด้วยรอยยิ้มอันน่าสะพรึงกลัว
“สมบัติอะไร? พวกเราไม่มีอะไรเสียหน่อย จะมีก็แต่สมุนไพรธรรมดาเท่านั้น พวกเ้าคงไม่คิดว่าจะล่วงเกินพวกเราเพียงเพราะสมุนไพรธรรมดาเหล่านี้หรอกนะ?”
ซานเหล่าเอ้อเอ่ยขึ้นอย่างเ็า
หากคิดจะล่วงเกินผู้ฝึกยุทธ์ระดับหนิงกังเพียงเพราะสมุนไพรธรรมดาเหล่านี้ แน่นอนว่าย่อมไม่คุ้มค่า
“ไม่มี? พวกเ้ากำลังล้อเล่นอะไร ข้าได้ยินคุณหนูตระกูลถังบอกว่าพวกเ้าเข้าไปยังชั้นสามของวังโบราณจิ่วซาน ในนั้นจะต้องมีสมบัติอยู่มากมายเป็แน่ เ้ากล้ากล่าวว่าไม่มีได้อย่างไร?”
อินเหมี่ยนตวาดอย่างเ็า เคล็ดการฝึกวิถีแห่งภูตผีของตระกูลอินก็ได้รับมาจากชั้นสามของวังโบราณจิ่วซานเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีเคล็ดวิชาอีกไม่น้อยที่พวกเขาเคยได้รับ ทำให้พวกเขาสามารถพัฒนาจนกลายมาเป็ตระกูลใหญ่ได้ถึงทุกวันนี้
“พวกเราไม่มีจริงๆ แต่มีคนหนึ่งที่อาจจะมี”
ทันใดนั้นเสียงเ็าของคนผู้หนึ่งก็ดังขึ้น เป็ซือถูคงที่กล่าวด้วยรอยยิ้มเยาะหยัน
“เขา บนตัวเขามีสมบัติของจิ่วซาน”
ซือถูคงพลันชี้นิ้วไปทางมู่เฟิงทันที
“ซือถูคง เ้า! เ้ามันชั่วช้าน่ารังเกียจ!”
ข่งย่วนตวาดออกมาอย่างโกรธจัด
สีหน้าของมู่เฟิงมืดครึ้มลงทันใด เป็ซือถูคงอีกแล้ว! เป็เขาอีกแล้ว!
“ย่วนเอ๋อร์ เหตุใดเ้าต้องปกป้องเขา เขาเป็แค่คนนอก หึ ตอนที่พวกเราถูกขังอยู่ในค่ายกลของชั้นสาม มีเพียงเ้าเด็กนี่ที่ไม่ได้ตกอยู่ในการครอบงำของค่ายกล อีกทั้งเขายังหายไปอย่างไร้ร่องรอย ข้าสงสัยว่าบนตัวเขาจะต้องมีสมบัติจากวังโบราณจิ่วซานอยู่อย่างแน่นอน”
ซือถูคงชี้นิ้วไปทางมู่เฟิงขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ในเมื่อเขาไม่ได้มันมา ฉะนั้นมู่เฟิงก็อย่าได้คิดฝันไปเลย ไม่ว่าจะเป็เฟิงเย่หรือมู่เฟิง ข่งย่วนล้วนให้ความสำคัญกับอีกฝ่าย สิ่งนี้ยิ่งทำให้ภายในใจของเขาเต็มไปด้วยความริษยา
“เ้าคนบัดซบ ซือถูคง เมื่อก่อนพวกเรามองเ้าผิดไป”
ข่งเซวียนเอ๋อร์ตวาดอย่างไม่พอใจ
“หื้ม บนตัวเขามีอย่างนั้นรึ!”
ผู้าุโทั้งสี่ของตระกูลอินต่างก็หันไปมองทางมู่เฟิง สีหน้าของมู่เฟิงพลันเปลี่ยนเป็เ็า ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยจิตสังหารและความโกรธแค้น
เขามองไปยังซือถูคงอย่างเ็า จากนั้นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงอันเย็นะเืจับขั้วหัวใจว่า “ซือถูคง หากข้าไม่ได้สังหารเ้า ข้าสาบานว่าจะไม่ขอเป็คนอีกต่อไป!”