จุนห่าวและหานรุ่ยตรวจดูของที่ประมูลมาทั้งหมดหนึ่งรอบ ในที่สุดพวกเขาก็ถือป้ายอาญาสิทธิ์ที่ทำจากวัสดุที่ไม่รู้จักคนละชิ้น ซึ่งก็คือกุญแจของซากวัตถุโบราณที่เอ่ยถึงมาตลอด
ทั้งสองคนพลิกไปพลิกมาหลายรอบ ก็ไม่พบความลึกลับบนป้ายอาญาสิทธิ์นี้ ขณะที่จุนห่าวเล่นกับป้ายอาญาสิทธิ์ พลางพูดกับหานรุ่ยว่า “เสี่ยวรุ่ย เ้ามองความลึกลับบนป้ายอาญาสิทธิ์นี้ออกไหม? ข้ามองยังไงก็มองไม่ออก” พูดจบจุนห่าวก็ทิ้งป้ายอาญาสิทธิ์ไว้บนโต๊ะ แบะมือทั้งสองข้าง และกล่าวกับหานรุ่ยว่า “ป้ายอาญาสิทธิ์สองชิ้นนี้ ใช้เงินออมที่มีทั้งหมดของเรา บัดนี้เงินที่เหลือของเรามีเพียง 1,000 ตำลึงเงิน ข้ากลายเป็คนจนอีกครั้ง ตอนที่ข้าเพิ่งจะมา คิดว่าเงิน 1,000 ตำลึงเงินช่างมากมายนัก ยามนี้ 1,000 ตำลึงเงิน ยังเช่าบ้านของเราได้แค่วันเดียว”
หานรุ่ยถอนสายตาจากป้ายอาญาสิทธิ์ของเขา เงยหน้าขึ้นมองจุนห่าวและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ความจริงแล้ว ยามนี้เงิน 1,000 ตำลึงก็มิได้น้อย เพียงแค่เราคุ้นเคยกับการใช้เงินมือเติบแล้ว ประหยัดสักหน่อย ก็เพียงพอสำหรับการใช้จ่าย่สั้นๆ ของเรา”
ได้ฟังคำพูดของหานรุ่ย จุนห่าวกล่าวอย่างปลงๆ ว่า “ถูกต้อง จากประหยัดมาฟุ่มเฟือยนั้นทำได้ง่าย จากฟุ่มเฟือยมาประหยัดนั้นกลับทำได้ยาก ตอนนี้เรากำลังถูกจับตามองโดยกองกำลังที่ไม่รู้จัก ไม่อาจขายยาิญญาได้อีก ซึ่งเป็การตัดเส้นทางการหาเงินของเรา ถนนสายนี้ผ่านไปไม่ได้แล้ว เราต้องคิดหาวิธีใหม่ในการทำเงิน ไม่เช่นนั้นเมื่อบ้านถ้ำแห่งนี้ครบกำหนด เราคงไม่มีเงินจ่าย ถึงตอนนั้นเราต้องจากไปด้วยความอับอาย”
“ถ้าเช่นนั้น เ้าคิดหนทางในการหาเงินอะไรได้บ้าง?” หานรุ่ยเอ่ยถามพลางมองจุนห่าว เขาก็อยากรู้ว่า หากจุนห่าวไม่ขายยาิญญาแล้ว จุนห่าวจะหาเงินอย่างไร
จุนห่าวใช้มือซ้ายมาก่ายหน้าผาก เงยหน้าขึ้น กล่าวกับหานรุ่ยอย่างยิ้มๆ ว่า “ปล้นสะดม ข้าคิดว่าการปล้นเศรษฐีไม่กี่คน หาเงินได้เร็วกว่าการขายยาิญญานัก ทั้งยังไม่มีต้นทุน”
หานรุ่ย “......” เขาคิดไม่ถึงว่าจุนห่าวจะคิดวิธีการหาเงินเช่นนี้ เขาจำที่จุนห่าวเคยเล่าว่า ในอดีต เขาเป็ทหารที่ซื่อตรง เขาเคยเป็ทหารที่ปราบโจรปล้นสะดมมาจริงๆ หรือ? ทว่าการปล้นสะดมก็เป็อาชีพที่หาเงินได้รวดเร็วจริงๆ แหละ หานรุ่ยเห็นรอยยิ้มอันชั่วร้ายของจุนห่าว เลิกคิ้วพร้อมพูดด้วยรอยยิ้มที่มุมปากว่า “ทำแบบนี้ เ้าช่างน่ารักจริงๆ ข้าชอบ เ้ายิ้มให้ข้าอีกทีซิ? ข้าชอบตรงนี้ของเ้าจริงๆ ข้าจะปรนนิบัติพัดวีเอาใจเ้า” พูดจบก็หยุดชะงักไป และพูดด้วยสีหน้าขึงขังว่า “แต่จากนี้ไป ไม่อนุญาตให้ยิ้มกับใครเช่นนี้ ข้าไม่อนุญาต”
เมื่อได้ยินคำพูดของหานรุ่ย จุนห่าวนั่งตัวตรงพร้อมทำปากเป็รูปตัว o อย่างใ จุนห่าวคิดในใจ เขาถูกภรรยาลวนลามแล้ว ถูกภรรยาลวนลามเช่นนี้ เขาควรทำหน้ายังไงดีล่ะ จุนห่าวตกอยู่ในห้วงของความคิด
“ร่างิญญาก็มีความรักได้มิใช่รึ? อย่าให้ถึงตอนนั้น ได้แต่เฝ้าดูแต่ไม่ได้กินล่ะ”
ฟังคำของจุนห่าวแล้ว เสี่ยวไป๋เห็นสีหน้าตกอกใของจุนห่าว เอ่ยขึ้นอย่างเหยียดหยามว่า “จุนห่าว เ้าคงมิได้ถูกภรรยาลวนลามหรอกนะ? มีอะไรให้น่าใหรือ หากข้าถูกหงส์ขาวลวนลามล่ะก็ ข้าคงวิ่งไปกอดรัดมัน พร้อมจูบหอมไม่หยุดแล้ว จากนั้นก็พาขึ้นเตียงไปเสียเลย มนุษย์ช่างสงวนตัวยิ่งนัก สงวนตัวไม่ได้กินเนื้อหรอกนะ”
ฟังคำของเสี่ยวไป๋ จุนห่าวคิดในใจ เสี่ยวไป๋เข้าใจอะไรมากเสียจริง ไม่แปลกใจที่มีชีวิตมากว่าพันปีแล้ว อายุของเขามิได้เสียไปเปล่าๆ “เ้าคิดได้แต่ก็ทำไม่ได้ หงส์ขาวของเ้ายังไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด? ก็ทำได้แค่เพ้อฝันไปวันๆ แต่เมื่อคิดย้อนกลับมา ต่อให้ตอนนี้มีหงส์ขาวตรงหน้าเ้า เ้าจะััหงส์ขาวด้วยจิติญญางั้นหรือ? ความรู้สึกที่มองเห็นแต่ััไม่ได้ ยิ่งอึดอัดเป็แน่” จุนห่าวกล่าวจบยังใช้เสียงจุ๊ๆ
เสี่ยวไป๋เอ่ยอย่างคำรามว่า “จุนห่าว ไอ้เ้าโง่ไม่เคยได้ยินหรือ? ตีคนอย่าตีที่หน้า พูดถึงคนก็อย่าเปิดโปงจุดอ่อน จะพูดจะจาอะไรให้ระวังไว้บ้าง แม้ว่าตอนนี้ข้าจะเป็แค่ร่างิญญา แต่ก็ใช้ร่างของอาวุธวิเศษบำเพ็ญเพียรจนกลายร่างจริงได้ ส่วนที่ข้าจะเจอหงส์ขาวหรือไม่นั้น ถึงตอนนั้นไม่ต้องให้เ้าช่วยละ ฮึ”
เสี่ยวไป๋พูดคำเหล่านี้ หันขวับพร้อมเอ่ยอย่างวางมาดถือดีแบบผู้อาวุธโสว่า “จุนห่าว เ้าหนุ่มเพิ่งจะอยู่ที่นี่ไม่กี่ปี เ้าลืมตัวตนเสียแล้ว เ้าจากคนที่จับโจร กำลังจะกลายเป็โจรเสียเอง เ้าเปลี่ยนบทบาทได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ มุมมองสามสิ่ง [1] ของเ้าเปลี่ยนไปเสียแล้ว หรือว่ามุมมองสามสิ่งนั้นไม่มีอยู่จริง อย่าบอกนะว่าชาติก่อนเ้าแสร้งทำ แสร้งว่ากล้าหาญซื่อตรง ถ้าเช่นนั้น เ้าคงลำบากมาก เ้าแสดงได้เก่งมากทีเดียว”
จุนห่าวฟังสิ่งที่เสี่ยวไป๋พูด เก็บคำขอโทษสำหรับเมื่อครู่นี้ พูดกับเสี่ยวไป๋ด้วยสีหน้าขึงขังว่า “เ้าจะเข้าใจอะไร ข้าเปลี่ยนไปตามเวลาและยุคสมัย ที่นี่มีสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก กฎแห่งธรรมชาติที่ซึ่งผู้แข็งแกร่งที่สุดถึงจะอยู่รอด แต่ข้าก็มิใช่เป็จอมมารไร้คุณธรรม ข้าจะไม่เป็ฝ่ายเริ่มปล้นสะดมผู้อื่น รอให้ผู้อื่นปล้นสะดมข้า แล้วค่อยปล้นสะดมกลับ ข้าก็จะกลายเป็ผู้สร้างวีรกรรมกล้าหาญแล้ว”
“คนจนอย่างเ้า ใครอยากจะปล้นก็ไม่ปล้นเ้าหรอก เ้าอย่าสำคัญตัวเองหน่อยเลย” เสี่ยวไป๋พูดอย่างเหยียดหยาม
จุนห่าวพูดกับเสี่ยวไป๋อย่างไม่พอใจว่า “ข้าจนแล้วจะยังไง การเป็คนจนชั่วขณะหนึ่งมิได้หมายความว่าจะเป็คนจนตลอดชีวิต เมื่อวานนี้ข้ายังเป็เศรษฐีอยู่เลย เป็เพราะป้ายอาญาสิทธิ์สองชิ้นนั่น ที่ไม่ทราบวิธีการใช้ หากไม่ทราบวิธีใช้ป้ายอาญาสิทธิ์ ครั้งนี้ข้าคงขาดทุนแน่แล้ว”
หานรุ่ยเห็นสีหน้าแปรเปลี่ยนตลอดเวลาของจุนห่าว ก็รู้ว่าจุนห่าวถูกกระตุ้นโดยเสี่ยวไป๋อีกครั้ง
เสี่ยวไป๋พูดกับจุนห่าวว่า “เ้ามาอยู่ที่นี่หลายปีแล้ว ยังจะใช้สายตาในชาติก่อนมองสิ่งต่างๆ อีก ป้ายอาญาสิทธิ์นี้มีวิถีส่งมอบแบบพิเศษ ต้องถูกระบุเ้าของก่อนถึงจะเปิด โดยปกติจะเป็กุญแจไปสู่ในดินแดนลับหรือซากวัตถุโบาณบางอย่าง รอให้หลังจากดินแดนลับหรือซากวัตถุโบาณเปิด บุคคลที่ถือกุญแจย่อมถูกส่งไปยังในดินแดนลับหรือซากวัตถุโบาณ กุญแจเช่นนี้โดยทั่วไปสามารถพาคนไปด้วยได้จำนวนหนึ่ง จำนวนคนเท่าไหร่ขึ้นอยู่กับคนที่ถือกุญแจเป็คนกำหนด เ้าลองปล่อยพลังิญญาเข้าสู่ป้ายอาญาสิทธิ์นี้ดู”
เมื่อฟังคำพูดของเสี่ยวไป๋แล้ว จุนห่าวก็เล่าสิ่งที่เขาทราบให้แก่หานรุ่ย หลังจากฟังแล้ว หานรุ่ยก็ปล่อยพลังิญญาเข้าสู่ป้ายอาญาสิทธิ์ส่วนหนึ่ง ป้ายอาญาสิทธิ์ดูดซับพลังิญญาในทันที ขณะเดียวกันป้ายอาญาสิทธิ์ก็ลงตราจากพลังิญญาของหานรุ่ย จากนี้ไปป้ายอาญาสิทธิ์นี้จะมีแต่หานรุ่ยที่ใช้ได้ ส่วนในจิตสำนึกของหานรุ่ยก็ปรากฏข้อความนึงขึ้น กุญแจสู่ดินแดนลับกุยหยวนเทียน พาคนไปด้วยได้ห้าคน นักพรตในระดับปราณแรกเริ่มสามารถเข้าไปได้ นักพรตที่อยู่สูงกว่าระดับปราณแรกเริ่มเข้าไปจะถูกรัดคอตายในทันที จากนี้สามปีจะเปิดขึ้น เมื่อเปิดได้สองปีดินแดนลับจะปิดลง และผู้คนในดินแดนลับจะถูกผลักออกมา เข้ามาจากที่ใด ก็จะกลับไปที่นั่น
หานรุ่ยบอกข้อมูลที่ได้รับกับจุนห่าว จุนห่าวมองไปที่ป้ายอาญาสิทธิ์ของหานรุ่ยที่ถูกประทับตราแล้ว บนป้ายอาญาสิทธิ์ปรากฏอักษรห้าตัว คือแดนลับกุยหยวนเทียน
จุนห่าวเล่นกับป้ายอาญาสิทธิ์ไปพลางๆ พูดกับหานรุ่ยพร้อมเงยหน้าขึ้นว่า “อีกสามปีดินแดนลับถึงจะเปิด เรายังมีเวลาเตรียมตัวอีกสามปี ในสามปีนี้ เราจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อบำเพ็ญเพียรให้ถึงลมปราณระดับสิบสอง สำหรับดินแดนลับเรารู้เพียงว่าระดับปราณแรกเริ่มเข้าไปได้ แต่เราไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ในนั้น ยิ่งแข็งแกร่งก็จะเป็หลักประกันว่าอย่างน้อยเราก็ไม่ต้องเกรงกลัวนักพรตคนอื่นๆ”
“เ้าพูดถูก ความแข็งแกร่งคือการรับประกันที่น่าเชื่อถือที่สุด แต่ทว่า หลังจากพวกเราเข้าไปแล้ว จุนตงและจุนหนานจะทำยังไงล่ะ ปล่อยให้พวกเขาอยู่ข้างนอก ข้าก็ไม่วางใจ” หานรุ่ยพูดอย่างเป็กังวล ภายในดินแดนลับมีอันตรายหนักหน่วง การพาเด็กที่ไม่มีพลังปราณสองคนเข้าไป หานรุ่ยเกรงว่าเขาและจุนห่าวจะปกป้องลูกทั้งสองไม่ไหว หากทิ้งให้ลูกๆ อยู่ข้างนอก เขาคงทำได้เพียงส่งลูกทั้งสองกลับตระกูลหาน เขาเชื่อว่าท่านปู่คงเลี้ยงดูลูกของเขาอย่างดี แต่ไปตั้งสองปี เขาเกรงว่าระยะเวลาสองปีนี้จะเกิดเื่ที่ไม่คาดคิด และถูกบีบบังคับให้แยกจากลูก
จุนห่าวเคาะโต๊ะเป็จังหวะด้วยนิ้วมือของเขา และพูดว่า “พาไปด้วย ตอนนี้พวกเขายังเล็กเกินไป ทิ้งไว้ข้างนอกข้าไม่วางใจทั้งนั้น ยังไงก็ต้องพาไปด้วย ข้าเชื่อว่าเราสองคนจะปกป้องพวกเขาทั้งสองได้ อีกอย่าง หลังจากนี้สามปี พวกเขาก็เริ่มบำเพ็ญเพียรแล้ว หาพวกเขาได้เห็นอะไรมากขึ้นก็ถือเป็การหาประสบการณ์แบบหนึ่ง ไม่ว่าเวลาไหน ขอแค่ครอบครัวของเราอยู่ด้วยกันก็พอแล้ว”
ได้ฟังคำพูดของจุนห่าว หานรุ่ยก็รู้สึกว่าควรพาไปด้วย เหมือนที่จุนห่าวพูด ขอเพียงครอบครัวของพวกเขาอยู่ด้วยกันก็พอแล้ว อีกอย่าง สามปีหลังจากนี้ เขาและจุนห่าวจำเป็ต้องเข้าสู่ลมปราณขั้นที่สิบสองให้ได้
จุนห่าวมองหานรุ่ยที่ยังคงขมวดคิ้ว จึงกล่าวให้สบายใจว่า “อย่าคิดมากเลย อยู่ข้างนอกก็ใช่ว่าจะปลอดภัยกว่าอยู่ข้างใน สรุปแล้ว การทำหน้าที่พ่อแม่ของเรา ต้องใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีปกป้องพวกเขา”
“เ้าพูดถูก สามปีหลังจากนี้ พวกเขาก็อายุหกขวบแล้ว และเริ่มมีพลังเข้าสู่ร่างกาย ตอนที่ข้าอายุหกขวบ ยังเริ่มฆ่าสัตว์อสูร เป็เพราะข้าคิดมากเกินไป และ้าปกป้องพวกเขาอยู่เสมอ หนทางแห่งการบำเพ็ญเพียรเต็มไปด้วยขวากหนาม เราไม่อาจปกป้องพวกเขาได้ตลอดชีวิต ต่อไปพวกเขาย่อมมีหนทางของตัวเอง” หานรุ่ยพูดพร้อมหน้านิ่วคิ้วขมวด
จุนห่าว : ...... คิดในใจ ตอนที่เขาอายุหกขวบ เขากำลังทำอะไรอยู่นะ เวลานั้นเขายังเล่นดินน้ำมัน แล้วเก็บขยะไปขายเอาเงิน นี่คือความแตกต่างของยุคสมัย และมีสภาพแวดล้อมอันยิ่งใหญ่เป็ตัวกำหนด
จุนห่าวหยิบกุญแจอีกดอกพร้อมกล่าวว่า “ดอกนี้ จะมอบให้แก่ตระกูลหาน ถือเป็ของขวัญแต่งงานให้แก่เ้าหนึ่งชิ้น ทำเช่นนี้เ้าคงไม่โกรธนะ”
หานรุ่ยกล่าวว่า "ได้ยังไงล่ะ ของขวัญแต่งงานราคา 3,010 ล้านไม่น้อยเลย ยิ่งไปกว่านั้น มันยังจะเป็กุญแจไปสู่ดินแดนลับที่มีค่ายิ่ง ถึงมีเงินก็ซื้อไม่ได้” หานรุ่ยเข้าใจความหมายของจุนห่าว ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด ตระกูลหานของพวกเขาก็ประมูลกุญแจนี้มาไม่ได้ ซึ่งไม่เป็การดีต่อตระกูลหานแน่ หากมีกุญแจนี้ ตระกูลหานของพวกเขาจะพลิกสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวยนี้ได้
จุนห่าวหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “เ้าชอบก็พอแล้ว”
“ในเมื่ออยากจะเข้าสู่ดินแดนลับ เรายังไม่มีอาวุธคู่กายเลย ่เวลาสามปีนี้ เราควรตระเตรียมอาวุธสักชิ้น” หานรุ่ยพูดกับจุนห่าว จุนห่าวใช้กริชอยู่เสมอ หลังจากที่ร่างกายแข็งแรงขึ้น จึงใช้แต่หมัด ซึ่งสิ่งเหล่านี้เหมาะสำหรับการต่อสู้ระยะใกล้ การโจมตีระยะไกลคงเสียเปรียบเล็กน้อย เขาเองก็ซื้อกริชง่ายๆ มา ตอนนี้ก็ใกล้พังเสียแล้ว
“ข้าจะเตรียมทำดาบสักเล่ม เสี่ยวไป๋บอกว่าเหล็กทมิฬจื่อหยางไม่เลวเลย มีเนื้อแข็ง จากนี้ไปข้ายังจะรวมจื่อหยางเกิงจินและแผ่นทองคำเข้าด้วยกัน และอัพเกรดเป็อาวุธวิเศษธาตุทอง” จุนห่าวบอกอาวุธวิเศษที่เขาคิดไว้กับหานรุ่ย
“ข้าอยากสร้างดาบสองเล่มที่รวมพลังิญญาธาตุทองเข้ากับธาตุสายฟ้าได้ แต่หาวัสดุนั้นไม่ง่ายเลย หลายปีมานี้ข้ายังไม่เคยพบวัสดุที่ใช่เลย” หานรุ่ยพูดอย่างทุกข์ใจ
“การตามหาวัสดุมิใช่เื่เร่งรีบนัก แผ่นดินชางหลานนั้นมีน้อยอยู่แล้ว ต่อจากนี้ไปเราต้องออกเดินทาง ถึงจะได้พบ ยังไงเวลานี้เราก็ไม่อาจกลั่นอาวุธวิเศษได้ ใช้อะไรก็คงเหมือนกัน” จุนห่าวกล่าวอธิบาย
“เ้าพูดถูก แค่ซื้อดาบคมๆ สักเล่มก็พอแล้ว ถ้าอย่างนั้น หลังจากพวกเรากลับมาจากเทือกเขาอู๋หยินแล้ว ไปที่เกาะหลานชิงเพื่อซื้อเหล็กทมิฬจื่อหยางละกัน” หานรุ่ยกล่าว
“เ้าไม่กลับเมืองเย่ว์เซียนแล้วหรือ?” จุนห่าวได้ยินว่าจะไปเกาะหลานชิงจึงเอ่ยถามขึ้น
“ยังไม่ไป ในเมื่อพี่สี่ไม่มาพบข้า คงพะว้าพะวังอะไรอยู่ ในเมื่อเป็เช่นนี้ อีกสักพักข้าค่อยกลับไป มีท่านปู่ออกนั่งบัญชาการรักษาการณ์ด้วยตัวเอง คงไม่เกิดเื่ใหญ่อะไรขึ้น ต่อให้เกิดเื่ใหญ่อันใดจริง หากปราศจากความแข็งแกร่งอันเด็ดขาด ข้าคงช่วยอะไรมิได้มาก และจะกลายเป็เป้าหมายของการโจมตีจากผู้อื่นเท่านั้น กลับจะเพิ่มปัญหาให้ท่านปู่เสียแทน” หานรุ่ยกล่าวว่า “หากตระกูลหานเกิดเื่อะไรขึ้น ก็คงเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ เวลานี้เราไม่อาจเผชิญหน้าตรงๆ กับราชวงศ์ได้ และข้าจะไม่ทำให้เ้าและลูกๆ มีส่วนร่วมในอันตรายนี้ ยามนี้ในใจของข้า เ้าและลูกคือสิ่งสำคัญที่สุด”
ได้ฟังคำพูดของหายรุ่ย จุนห่าวพูดกับหานรุ่ยอย่างหนักแน่นว่า “ในใจของข้า เ้าสำคัญที่สุด รองมาคือลูกๆ และรองมาอีกก็คือตัวข้าเอง”
หานรุ่ย : ...... คิดในใจ จุนห่าวไม่เคยลืมที่จะสารภาพความในใจกับเขาเลย
