แววตาของหลินเฟิงสั่นไหวเล็กน้อย หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ถอนหายใจยาวออกมา
“ช่างไร้เดียงสาเกินไปแล้ว”
หลินเฟิงพึมพำเสียงเบา เขาคิดว่ามีบางครั้งที่ตัวเองนั้นโง่เง่าเกินไป ไม่คิดว่าเื่การประลองที่เมืองต้วนเริ่นจะสำคัญ และความคิดของจักรพรรดินั้นก็ยากเกินกว่าจะเข้าใจได้ เมื่อเทียบกับพวกเขาแล้ว ถึงแม้ตัวตนของเขาในโลกที่สองนี้จะไม่ประสีประสา แต่เพื่ออำนาจและผลประโยชน์แล้ว ไม่มีอะไรที่ไม่สามารถทำได้
“ให้พวกเขาอยู่นอกเมืองตลอด?” หลินเฟิงกล่าวถาม แต่กลับเห็นหลิ่วชั่งหลันยิ้มอย่างเ็าและกล่าวว่า “ในเมื่อข้ามองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง หาก้าจับกุมข้า มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก มาดูกันสิ... ว่าพวกมันจะอยู่เมืองต้วนเริ่นได้ยังไง เพราะอำนาจมันได้อยู่ในมือของข้าแล้ว”
“แต่หลินเฟิง เ้ากับเฟยเฟยไม่ควรมาที่นี่ในเวลานี้”
หลิ่วชั่งหลันเผยรอยยิ้มอันขมขื่นออกมา ในอดีตเขาจงใจให้หลินเฟิงและหลิ่วเฟยไปจากเขาเพื่อไม่ให้พวกเขาเข้ามาเกี่ยวข้องกับสถานการณ์อันตราย แต่ไม่คิดว่าพวกเขาจะกลับมาเช่นนี้
“ในเมื่อเป็เช่นนี้ก็เลี่ยงไม่ได้แล้วล่ะ”
หลินเฟิงเพียงแค่ยักไหล่และยิ้ม
“เอาล่ะ พวกเราเข้าไปในจวนกันเถอะ” หลิ่วชั่งหลันยังคงยิ้มอย่างขมขื่น แต่เมื่อเหลือบมองกลุ่มคนด้านหลังหลินเฟิง เขาจึงประหลาดใจ คนเหล่านี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและพละกำลังล้วนแข็งแกร่ง โดยเฉพาะหญิงสาวที่มีผ้าคลุมหน้า มีกลิ่นอายอันบริสุทธิ์ออกมาจากร่างของนาง คาดไม่ถึงว่าจะทำให้หลิ่วชั่งหลันรู้สึกว่านางดูลึกลับเป็อย่างมาก
“เฟยเฟย หลินเฟิงปฏิบัติต่อเ้าอย่างไรบ้าง?”
หลิ่วชั่งหลันมองหลิ่วเฟยและถามติดตลกเล็กน้อย
“ท่านพ่อ” หลิ่วเฟยมองหลิ่วชั่งหลันกลับแล้วมองไปที่หลินเฟิง ก่อนกล่าวว่า “ตอนนี้หลินเฟิงได้เป็องครักษ์ส่วนตัวขององค์หญิงแล้ว”
“เอ่อ...”
หลินเฟิงตกตะลึงและมองไปที่หลิ่วเฟยด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น ผู้หญิงคนนี้มีอะไรก็จะบอกหมดเลยหรือไงกัน
“องครักษ์ส่วนตัวขององค์หญิง?”
หลิ่วชั่งหลันเผยแววตาสงสัย และพึมพำออกมา
“ท่านพ่อ ท่านคงยังไม่ทราบสินะ ว่าตอนนี้องค์ชายรองต้วนหวู่หยาได้ให้ความสำคัญกับหลินเฟิงมาก และยังเป็ที่โปรดปรานขององค์หญิง อีกทั้งองค์ชายรองยังได้ฝากฝังให้หลินเฟิงดูแลองค์หญิงอีก”
หลิ่วเฟยกล่าวอธิบายด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทำให้หน้าผากของหลินเฟิงปรากฏเส้นสีดำขึ้นหลายเส้น เขาควรรู้สึกอย่างไรหากคนรักของตนกำลังพูดถึงหญิงอื่นให้บิดาของนางฟัง
“หลินเฟิง” หลิ่วชั่งหลันััได้ว่าน้ำเสียงของหลิ่วเฟยเต็มไปด้วยความอิจฉา และมองหลินเฟิงด้วยรอยยิ้มจางๆ เ้าเด็กคนนี้ช่างร้ายกาจมาก คาดไม่ถึงว่าจะปราบลูกสาวหัวแข็งและเอาแต่ใจของตัวเองลงได้
“ท่านลุงหลิ่ว จริงๆ แล้วในสายตาข้านั้น เฟยเฟยย่อมงดงามกว่าองค์หญิงมาก” หลินเฟิงกล่าวออกมาอย่างไม่ขัดเขิน “แต่หลิ่วเฟยก็ไม่เต็มใจที่จะอยู่กับข้า ข้าได้แต่...”
“แหะๆ”
หลินเฟิงกล่าวขณะยิ้มออกมาแห้งๆ ทำให้ผู้คนโดยรอบต่างตกตะลึงจนต้องเบิกตากว้าง
แม้แต่หลิ่วชั่งหลันก็ยังประหลาดใจกับคำพูดของหลินเฟิง แต่ทางด้านหลิ่วเฟยนั้นกำลังขมวดคิ้วย่นและะโออกมาว่า “หลินเฟิง เ้าคนลามก!”
“ข้าไปลามกกับเ้าตอนไหนกัน? เฟยเฟย นี่อยู่ต่อหน้าท่านลุงหลิ่วนะ เ้าไม่ควรใส่ร้ายข้าอย่างนี้สิ ถ้าหากข้าทำเช่นนั้นจริง เ้าก็สามารถบอกกับท่านลุงหลิ่วได้”
เห็นหลินเฟิงทำเป็พูดจาสั่งสอนนางต่อหน้าหลิ่วชั่งหลันเช่นนั้นแล้ว หลิ่วเฟยที่เกือบหน้าแตกก็อยากทุบเขาสักทีสองทีให้สาแก่ใจ เ้าหมอนี่... ช่างไร้ยางอายยิ่งนัก
หลิ่วชั่งหลันยังคงไร้คำพูด ทำได้แต่หัวเราะ จู่ๆ บรรยากาศที่อึมครึมก็มลายหายไป เขาจ้องเขม็งไปที่หลินเฟิงพลางคิดว่า เ้าเด็กคนนี้ ดูเหมือนว่าจะรู้สถานการณ์ดีจึงทำให้บรรยากาศเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
คนอื่นๆ ต่างก็ประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อมองไปที่หลินเฟิง พวกเขาล้วนคาดไม่ถึงว่าภายใต้ความบ้าระห่ำและความหยิ่งในศักดิ์ศรีนั้น หลินเฟิงกลับเป็คนมีอารมณ์ขันเช่นนี้ แล้วยังกล้าเอ่ยในสิ่งที่คิดออกมาทั้งหมด หลินเฟิงในตอนนี้และยามต่อสู้นั้น มันช่างแตกต่างราวกับเป็คนละคน
เมื่อพวกเขามาถึงจวนของหลิ่วชั่งหลัน หลิ่วชั่งหลันได้จัดเตรียมที่พักให้กับหลินเฟิงและสหายไว้ให้เสร็จสรรพ ส่วนต้วนเทียนหลางและคนของเขาก็ถูกหลิ่วชั่งหลันทิ้งไว้นอกเมือง โดยไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย
ต้วนเทียนหลางไม่ได้ก่อปัญหาใดๆ และกองกำลังทหารก็อยู่กันเงียบๆ นอกเมือง ดูเหมือนว่าจะสงบเงียบเป็อย่างมาก
สามวันผ่านไป ในตอนที่ต้วนเทียนหลาง หลินเฟิงและคนอื่นกำลังรับประทานอาหาร ทันใดนั้นก็ได้รับข่าวที่ใจนต้องลุกขึ้นยืน
ทหารยามนายหนึ่งมารายงานว่า องค์ชายโม่เจี๋ยแห่งอาณาจักรโม่เยว่ได้ยกทัพมา และตอนนี้ก็อยู่ห่างจากชายแดนต้วนเริ่นไปประมาณ 1,000 ลี้ พวกเขาเคลื่อนทัพมาอย่างรวดเร็ว คาดว่าคงใช้เวลาไม่ถึงสองวัน แล้วกองกำลังทหารของอาณาจักรโม่เยว่ก็สามารถบุกโจมตีชายแดนต้วนเริ่นได้แล้ว
หลินเฟิงมองหลิ่วชั่งหลันอย่างประหลาดใจ หลิ่วชั่งหลันนั้นนอกจากมีสมญานามว่า เทพลูกศรแล้ว ยังถูกยกย่องให้เป็เทพแห่งา เขาแสดงให้เห็นถึงบารมีและความแข็งแกร่งในา อย่างไรก็ตามข่าวที่ทหารยามมารายงาน คาดไม่ถึงว่าจะทำให้ความเยือกเย็นของหลิ่วชั่งหลันมลายหายไปจนต้องลุกยืนขึ้นฉับพลัน เห็นได้ชัดว่าข่าวนี้ได้สร้างความตกตะลึงเป็อย่างมาก
หลิ่วชั่งหลันที่ยืนอยู่มองไปที่หลินเฟิงและคนอื่นๆ ที่กำลังงงงวย จากนั้นก็ค่อยๆ นั่งลงที่เดิมและกล่าวว่า “โม่เจี๋ย เป็องค์รัชทายาทแห่งอาณาจักรโม่เยว่ เขามากไปด้วยพร์และความสามารถ ทรงมีพระชนมายุแค่ 17 ปี แต่การบ่มเพาะของเขากลับอยู่ในระดับขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 9 แล้ว เกรงว่าเขาอาจทะลวงขอบเขตลี้ลับเมื่อไรก็ได้ นอกจากนี้ความเฉลียวฉลาดของเขาก็เหนือกว่าบุคคลทั่วไป มีเื่เล่ากันว่าเมื่อเขาเข้าสู่สนามรบ เขาจะไม่เคยพ่ายแพ้”
หลินเฟิงและคนอื่นๆ ต่างตกตะลึง อายุเพียง 17 ปี ก็มีการบ่มเพาะระดับขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 9 แล้ว ช่างน่ากลัวยิ่งนัก พร์นั้นสามารถเทียบได้กับแปดคุณชายแห่งเสวี่ยเยว่ที่แข็งแกร่งที่สุดได้
นอกจากนี้ชายหนุ่มอายุเพียง 17 ปี กลับไม่เคยพ่ายแพ้ในการรบครั้งใดเลย
“ท่านพ่อ ท่านเองก็สู้รบมามากมาย และไม่เคยพ่ายแพ้เลยสักครั้งเดียว”
หลิ่วเฟยกล่าวอย่างฮึกเหิม ผู้คนต่างพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของนาง เทพลูกศรหลิ่วชั่งหลัน ด้วยชื่อเสียงนี้ที่เขาสะสมชัยชนะจากการสู้รบมานับไม่ถ้วน
“สิ่งที่ข้ากังวลไม่ได้เกี่ยวกับเื่นี้ นอกจากโม่เจี๋ยจะมีพละกำลังที่แข็งแกร่ง เขายังมีความสำคัญต่ออาณาจักรโม่เยว่มาก ตราบใดที่เขาอยู่ในสนามรบ อาณาจักรโม่เยว่ก็จะใช้กองกำลังทั้งหมดของพวกเขา โม่เจี๋ยจึงเป็สัญลักษณ์ของอาณาจักรโม่เยว่ ดังนั้นในคราวนี้จึงเป็ศึกที่รุนแรงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน”
หลิ่วชั่งหลันขมวดคิ้วแน่น ทั้งศึกภายนอกและศึกภายในของอาณาจักรเสวี่ยเยว่ จักรพรรดิไม่เชื่อใจเขาและหาว่าเขา้าแย่งชิงอำนาจ ในตอนนี้ข้างนอกนั่น อาณาจักรโม่เยว่ก็กำลังรุกมา วิกฤตในคราวนี้จะรุนแรงมากกว่าครั้งไหนๆ
หลินเฟิงและคนอื่นๆ ต่างตกตะลึง พวกเขาเข้าใจความหมายของหลิ่วชั่งหลัน ว่าศึกครั้งนี้จะอันตรายเป็อย่างมาก
ในตอนนี้หลิ่วชั่งหลันลุกยืนขึ้นอีกครั้ง และกล่าวว่า “พวกเ้าค่อยๆ กินข้าวกันไปนะ ข้าจะไปดูสถานการณ์ที่ประตูเมือง”
หลินเฟิงดูประหลาดใจเล็กน้อย ภายในใจของเขาเข้าใจดีว่าหลิ่วชั่งหลันหมายถึงอะไร เขาอยากให้ต้วนเทียนหลางและกองกำลังทหารที่อยู่นอกเมืองร่วมมือกันกำจัดศัตรู
“หลิ่วชั่งหลัน สมควรแล้วที่มีสมญานามว่า ‘เทพลูกศร’ ช่างกล้าหาญชาญชัยยิ่งนัก”
ผู้คนต่างคิดในใจ ทั้งที่รู้ว่าต้วนเทียนหลางมาก็เพื่อยึดอำนาจ แต่เมื่ออาณาจักรโม่เยว่มารุกราน เขาจำเป็ต้องทำและตัดสินใจเช่นนี้ ซึ่งสำหรับคนธรรมดานั้น มันยากเกินไปที่จะทำเช่นเขาได้
“องค์รัชทายาทแห่งอาณาจักรโม่เยว่ โม่เจี๋ย!”
หลินเฟิงพึมพำ คราวนี้ที่อาณาจักรโม่เยว่ทุ่มกำลังมารุกราน ดูเหมือนจะเป็เื่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หลินเฟิงไม่คิดเลยว่าจะมีหายนะไล่ตามเขามาขนาดนี้
“ข้าก็จะไปด้วย” หลินเฟิงกล่าวขณะลุกขึ้นยืน แล้วก้าวตามหลิ่วชั่งหลันไป สายตาของคนอื่นๆ ต่างตกตะลึง จากนั้นรีบลุกขึ้นยืนและเดินตามไป
ใจกลางเมืองต้วนเริ่นในตอนนี้ ผู้คนยังคงใช้ชีวิตอย่างสงบสุข มั่งคง และสามัคคี ส่วนเมืองในตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับหลิ่วชั่งหลันแล้ว ซึ่งเมืองต้วนเริ่นนั้นแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยต้องสั่นคลอนเช่นนี้มาก่อน
อย่างไรก็ตามแม้ว่าเมืองต้วนเริ่นจะสงบสุข แต่หลินเฟิงกลับมีลางสังหรณ์ว่านี่เป็เพียงความสงบก่อนพายุจะมา และเป็จุดเริ่มต้นของา
ากำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว…
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้