ภิกษุชราอ่านตำนานอยู่นานถึงสองชั่วยาม
หากเป็ไปได้ เขาแทบจะนั่งลงอ่านที่ร้านนี้เสียเลย ทว่าเขายังติดภารกิจสำคัญ จึงได้แต่พาเหล่าลูกศิษย์ขึ้นรถม้าจากไป
รถม้าค่อยๆ เคลื่อนตัวโคลงไปโคลงมาผ่านถนนเส้นเดิม พาพวกเขาค่อยๆ ออกจากอำเภอิเหอ
ภิกษุชราพบว่าศิษย์ทั้งสองของตนดูจิตใจไม่ค่อยจะอยู่กับเนื้อกับตัวนัก ราวกับกำลังกลัดกลุ้มกับบางสิ่ง
ภิกษุชราจึงค่อยๆ ยื่นมือเหี่ยวแห้งของตนวางลงบนศีรษะล้านเลี่ยนของภิกษุหนุ่มนามอาปาแล้วเอ่ยขึ้น “ยังคิดเื่เ้าเด็กหนุ่มคนนั้นอยู่หรือ”
ภิกษุหนุ่มอาปาพยักหน้าเบาๆ
“เด็กหนุ่มคนนั้นมีรากแห่งปัญญา หากเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ เกรงว่าเพียงไม่กี่ปีก็ย่อมจะต้องเหนือกว่าข้าเป็แน่” ภิกษุหนุ่มตอบขึ้นเสียงดัง
ภิกษุชราได้แต่ยิ้มน้อยๆ ใบหน้าปรากฏรอยยับย่นมากมาย ดูแล้วช่างเปี่ยมเมตตา
“อาปาเอ๋ย เ้านี่ช่างดีนัก”
เมื่อได้ยินภิกษุชรากล่าวชม เขาก็ไม่ได้หน้าแดง เพียงยกสองมือขึ้นประนม ใบหน้ายิ้มนั้นขยับลงเบาๆ
ทั้งสองยามสนทนาก็ล้วนสนทนากันด้วยปริศนาธรรม
ส่วนเณรน้อยนั้นรู้สึกปวดฟันอยู่จึงไม่ได้ฟังที่อาจารย์พูด ด้วยเพราะเขานั้นไม่เคยกินลูกพลับแห้งมาก่อนจึงไม่ระวังจนกินมากไป บัดนี้จึงได้แต่นั่งหน้ามุ่ยด้วยความปวด
ยามอยู่บนรถ เณรน้อยไม่จำเป็สวมผ้าปิดตา จึงไม่ต้องเพ่งมองอะไรอีก ทำให้เขาดูแล้วเป็เณรน้อยแสนซนรูปหนึ่ง
“สือชี เ้าอาวรณ์อะไรอยู่ ยามเ้าก้าวเข้าสู่โลกใบนี้ยังมีอะไรให้ตื่นตาตื่นใจอีกมากนัก หากเพียงอำเภอเล็กๆ เช่นนี้ก็ทำให้เ้าลุ่มหลงแล้ว ต่อไปเ้าจะติดตามอาจารย์ไปโปรดสัตว์ทั้งใต้หล้าได้อย่างไร”
เณรน้อยพยักหน้ายอมรับเบาๆ
ทว่าในใจก็ยังคงคิดว่าวันนี้เขาเพิ่งจะได้พบกับสรรพสัตว์ ทั้งยังน่ารักนัก บนศีรษะยังมีผมชี้ๆ ทั้งยังตัวอ้วนกลม แถมยังมีขนมอีกสารพัดอย่าง
ภิกษุชรามองเณรน้อยที่ยังคงไม่รู้ความแล้วส่ายหน้าอย่างทอดถอนใจ
ภิกษุหนุ่มจึงได้กล่าวโน้มน้าวอาจารย์ตนขึ้นว่า “ศิษย์น้องยังเล็กนัก รอเขาโตแล้วย่อมจะเข้าใจเอง”
ภิกษุชราที่ยังคงนั่งบนอาสนะกลมของตนแล้วจึงหันไปเริ่มสวดมนต์ รถม้าที่ยังคงโคลงไปโคลงมานั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อภิกษุชราแม้แต่น้อย
เณรน้อยอยากจะหยิบของขวัญที่ตนเพิ่งจะได้มาออกมา ทว่าเมื่อหันไปมองท่านอาจารย์ที่กำลังสวดมนต์อยู่ก็ตัดสินใจเก็บมันไว้ก่อนจะดีกว่า
เณรน้อยจึงค่อยๆ หลับตาลง ศีรษะน้อยๆ ไร้ซึ่งเส้นผม ขนตางอนยาว เมื่อรวมกันแล้วก็ดูสงบนัก ริมฝีปากคู่น้อยค่อยๆ พึมพำบทสวดมนต์ออกมาอย่างไหลลื่นราวกับว่าเคยสวดมาแล้วนับพันครั้ง
ยามที่เขากำลังสวดมนต์ ลูกปัดสีฟ้าที่เขาซ่อนไว้ก็ค่อยๆ เปล่งแสงนวลตา
หลังจากเหล่าภิกษุจากไปไม่นานนัก อาสวินและนายท่านสามก็เลือกตำราเสร็จ
นายท่านสามช่วยอาสวินเลือกตำรามาหลายเล่ม
ตำรานั้นเดิมทีก็ไม่ใช่สินค้าราคาถูก โดยเฉพาะตำราที่ทำจากกระดาษเช่นนี้ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง ทว่านายท่านสามที่ปกติมักจะคิดเล็กคิดน้อยอยู่เสมอ วันนี้ถึงกับยอมทุ่มหมดตัว
ตำรามากมายเสียจนนายท่านสามและอาสวินแบกไม่ไหว สุดท้ายจึงต้องเรียกเสี่ยวอู่ให้มาช่วยอีกแรง
อาลู่ที่เพิ่งจะเสร็จธุระก็รีบบังคับรถให้มายังร้านตำราพร้อมกับเหล่าปา
แสงสุดท้ายของวันสาดส่องลงมา
คนกลุ่มหนึ่งบนรถเทียมวัวค่อยๆ ออกจากเมืองอย่างเอื่อยเฉื่อย
ระหว่างทางก็ต้องผ่านถนนเฟิงเยว่อีกครั้ง
ยามไปถึงก็เห็นว่าถนนเส้นนี้ดูคึกคักกว่ายามเช้านัก ตอนเช้านั้นยังเห็นเพียงสตรีนุ่งน้อยห่มน้อยรูปร่างอ้อนแอ้นที่เดินนวยนาดมาหาอาลู่ ทว่าบัดนี้กลับมีสตรีกลุ่มใหญ่กำลังโบกมือให้เหล่าบุรุษพร้อมเผยให้เห็นเอวคอดกิ่วของพวกนาง
อาภรณ์ของเหล่าสตรีเ่าั้ล้วนบางเบาจนแทบจะเห็นเนื้อหนัง ทั้งยังเปิดกว้างนัก ยามโบกมือจึงเผยให้เห็นข้อมือเรียวเล็กของพวกนางที่สะบัดไปมาเบาๆ
ไม่รู้ว่ามีผู้คนอีกมากมายเท่าใดที่โดนข้อมือเรียวขาวผ่องเ่าั้ดึงดูดเข้าไปในร้าน
อาลู่นั้นไม่อยากให้น้องสาวต้องมาเห็นภาพเหล่านี้ จึงให้เหล่าปาเร่งความเร็วขึ้นอีกหน่อย
ทุกคนเดิมทีก็อยากกลับขึ้นเขาอยู่แล้ว ด้านล่างนั้นแม้จะเจริญรุ่งเรือง แต่กลับให้ความรู้สึกไม่ปลอดภัย
รถเทียมวัวโคลงเคลงไปมาตลอดทาง
เมื่อถึงแผงขายชาของอาลู่ ทุกคนจึงได้เปลี่ยนมานั่งรถม้าแทน
แม้ว่าจะไม่ใช้ม้าสีขาวบริสุทธิ์เหมือนม้าของคุณชายเฉิน แต่ก็นับว่าเป็ม้าร่างกำยำลักษณะดีตัวหนึ่ง ตลอดทางขึ้นเขามันก็ห้อตะบึงอยู่ตลอด......
ยามแสงตะวันกำลังจะลาลับขอบฟ้า แม่นางหลัวก็เริ่มนั่งไม่ติดเสียแล้ว
ปกติค่ำมืดพวกเขาค่อยกลับมาก็แล้วไปเถิด ทว่าวันนี้พวกเขายังพาเฉินโย่วไปด้วย เด็กหญิงนั้นทั้งดื้อทั้งซน จึงทำให้นางนั้นเป็กังวลเหลือเกิน
นางจึงตัดสินใจพาเสี่ยวเถาออกไปดูสักหน่อย เดินไปจนถึงูเากระดูกที่ยังคงมีกระดูกเรียงสูงเป็กอง
วันนี้ลมแรงนัก ยามสายลมโบกพัดจึงได้ยินเสียงหวิวๆ ที่พัดผ่านผ้าหลากสี
แสงสีทองยามอาทิตย์อัสดงห่อหุ้มทุกสรรพสิ่งจนเห็นเป็แสงหลากสีสัน ดูแล้วช่างเปี่ยมไปด้วยความงดงามและความศักดิ์สิทธิ์
ยามนางเดินมาก็ถือผ้าไหมสีแดงเส้นหนึ่งมาด้วย
นางอยากจะแขวนผ้าไหมเส้นนี้ด้วยตัวเอง
เสี่ยวเถาที่ยืนอยู่ก็เอียงคอมองตามท่าทางนายหญิงของตน แววตาเต็มไปด้วยความกังวล
“นายหญิง ระวังด้วย”
เสี่ยวเถานั้นกล่าวไว้ั้แ่แรกแล้วว่านางจะแขวนให้เอง ทว่านายหญิงดึงดันจะแขวนเองให้ได้
แม้หลัวอู๋เลี่ยงจะเคยเป็แม่นางน้อยในสายตาคนอื่น ทว่าไม่กี่ปีมานี้ร่างกายนางกลับดีขึ้นมาก
เมื่อก่อนท่านหมอหูก็เคยกล่าวว่านางนั้นจะอยู่ได้อีกไม่นาน ทว่าบัดนี้นางจะมีชีวิตอยู่ได้ไปจนแก่ชรา
หากยังเป็เหมือนในอดีต นางคงจะไม่อยากอยู่ต่อ
ทว่าบัดนี้นางกลับขอให้ตนมีชีวิตอยู่ได้นานอีกหน่อย อย่างน้อยก็ขอให้นานพอจะได้เห็นเ้าเด็กหญิงตัวน้อยของนางเติบโต
นางค่อยๆ เข้าไปใกล้อย่างระมัดระวัง แล้วจึงแขวนผ้าไว้บนกระดูก จากนั้นพลันรู้สึกจนใจขึ้นมา ปกตินางจะเห็นร่างน้อยๆ ของเฉินโย่วปีนขึ้นไป้าอย่างคล่องแคล่ว ครั้นพอเป็ตนทำเช่นเดียวกัน เพียงแค่เข้าไปใกล้กลับรู้สึกว่าเปลืองแรงไปมากโข
ทว่าดูเหมือนว่านอกจากเด็กหญิงแล้ว คนอื่นๆ ก็ล้วนแต่ใช้วิธีการผูกกระดูกกับผ้าไหมแล้วโยนขึ้นไปแทนทั้งนั้น
แม่นางหลัวลองอยู่นานสองนานก็แขวนไม่ได้สักที จึงได้แต่หากระดูกท่อนหนึ่งมาผูกกับผ้าแล้วโยนขึ้นไปบนูเากระดูกแทน
กระดูกท่อนนั้นยามกระทบกับกระดูกท่อนอื่นก็ส่งเสียง “แกร๊ก” คราหนึ่ง ในที่สุดก็แขวนได้เสียที ผ้าไหมสีแดงนั้นสะบัดพลิ้วตามสายลม เส้นไหมยาวสะบัดไหวๆ ดูแล้วช่างงดงามนัก
หลัวอู๋เลี่ยงถอนหายใจยาวๆ ออกมาคำหนึ่ง
เมื่อหันไปก็เห็นท่านอาจารย์กัวกำลังเดินมาทางตน
“สายัณห์สวัสดิ์เ้าค่ะท่านอาจารย์กัว” แม่นางหลัวในท่าทางสง่างามเอ่ยทักทายขึ้น
วันนี้ราชครูไม่ตามคนอื่นๆ ลงเขาไป ความจริงแล้วเขานั้นติดเรือนนัก ทั้งยังไม่ค่อยชอบออกไปไหน ยิ่งไปกว่านั้นข้างล่างนั้นยังมีคนคอยตามหาตัวเขาอยู่ ดังนั้นเขาจึงอ่านหนังสืออยู่ในเรือนทั้งวัน ยามนี้จึงออกมายืดเส้นยืดสายสักหน่อย
ไม่คาดคิดว่าจะมาเจอเหตุการณ์ตรงหน้า
ร่างอรชรของผู้เป็เ้าของใบหน้างามผุดผาดนั้นกำลังตั้งใจโยนผ้าไหมขึ้นไปบนูเากระดูก ท่าทางของนางนั้นช่างน่ามอง ใบหน้างามเต็มเปี่ยมไปด้วยแววตั้งใจ
ใต้แสงตะวันอัสดงเช่นนี้ดูแล้วสบายตาสบายใจนัก
ช่างดูสบายตาสบายใจ ต่างจากหญิงงามที่มีมากจนนับไม่ถ้วนในวังหลวง ไม่ว่ากระทำการใดล้วนต้องมีจุดประสงค์
ทว่านางนั้นไม่เพียงจะทำให้คนมองแล้วรู้สึกงามเท่านั้น นางยังนับว่าเป็ผู้ปกครองที่มีหัวก้าวหน้าที่หาได้ยากยิ่งบนูเาลูกนี้ เขาจึงอดกล่าวเตือนนางประโยคหนึ่งไม่ได้ “อธิษฐานเช่นนี้ไม่ช่วยอะไรหรอก”
แม่นางหลัวได้ยินเช่นนั้นก็เลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ
ราชครูจึงรีบกล่าวเสริม “ครั้งแรกที่ข้าขึ้นมาบนูเาลูกนี้ ด้วยเพราะจิตใจยังไม่สงบจึงไม่ได้ตั้งใจสำรวจูเาลูกนี้ให้ดี ทว่าบัดนี้เมื่อเห็นกองูเากระดูกลูกนี้ก็เห็นว่ามันต้องเป็จุดกำเนิดของค่ายกลสังหารที่คอยสูบพลังชีวิตจากูเาทั้งลูก คนที่อยู่ใกล้มันจึงได้พาลกลายเป็คนโเี้ สิ่งชั่วร้ายทั้งปวงจึงถูกดึงดูดออกมา ทั้งยังแผ่กลิ่นอายชั่วร้ายนี้ออกไปอีกเป็วงกว้าง สุดท้ายจึงทำให้เกิดการต่อสู้ล้มตาย เพียงแต่...”
เสี่ยวเถาเมื่อได้ยินเช่นนั้นใบหน้าก็พลันปรากฏแววว้าวุ่นใจ ูเากระดูกลูกนี้คนบนูเาล้วนคารวะเป็สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าจะเข้าหรือออกจากูเาก็ต้องคารวะอย่างนอบน้อม
แต่ท่านอาจารย์ตรงหน้ากำลังพูดถึงค่ายกลสังหารอะไรสักอย่าง
ใบหน้าของแม่นางหลัวยังคงสงบนิ่งดังเดิม ใบหน้างามขยับปากเอ่ยขึ้นช้าๆ “เพียงแต่อะไร”
“เพียงแต่ในค่ายกลสังหารนี้ไม่เคยมีเด็กเล็กคนใดมีชีวิตรอดได้ ด้วยเพราะเด็กเล็กนั้นร่างกายอ่อนแอ ยามอยู่ในค่ายกลจึงมีชีวิตรอดได้ยาก ทว่าบนูเาลูกนี้กลับมีเด็ก เช่นนี้ข้าจึงไม่ค่อยมั่นใจนัก”
“แล้วท่านอาจารย์มีวิธีปลดผนึกค่ายกลหรือไม่” แม่นางหลัวเอ่ยถามขึ้น
ราชครูทำท่าครุ่นคิด สุดท้ายจึงส่ายหน้า
“ไม่มี ค่ายกลนั้นลึกลับนัก น่าจะถูกฝังมาแล้วนับพันปี สถานที่แห่งนี้จึงถูกเหล่าทวยเทพทอดทิ้งไปนานแล้ว หากยิ่งปล่อยไว้นานกว่านี้ ข้าก็มองไม่เห็นเช่นกัน เพียงแต่หากว่ากันตามความคิดของข้า สิ่งที่ดีที่สุดคือพวกท่านรีบย้ายหนีจากที่นี่เสีย มิเช่นนั้นไม่ช้าก็เร็วพวกท่านจะได้กลายเป็กระดูกกองหนึ่งที่เพิ่มขึ้นมาเพียงเท่านั้น”
หลัวอู๋เลี่ยงมองูเากระดูก เห็นแถบผ้าไหมสีแดงยังคงโบกสะบัด ยามอยู่ใต้แสงยามเย็นเช่นนี้ทำให้มันดูงดงามเป็พิเศษ
นางได้ยินเสียงกระดิ่งแว่วมาตามลม
ใบหน้าเคร่งขรึมของนางจึงพลันปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยนขึ้นมา
“ท่านรู้หรือไม่ว่ามนุษย์ช้าเร็วก็ย่อมต้องกลายเป็กระดูกขาวกันทุกคน ทว่าท่านอาจารย์ได้ยินหรือไม่ พวกเขากลับมาถึงบ้านแล้ว”