ยามเหม่าสามเค่อ [1] ณ ลานตากข้าว
คนหนุ่มจากสกุลเฉินมารวมตัวกันั้แ่เนิ่นๆ ส่วนคนหนุ่มสกุลเคอช่างบางตา กำลังอ้าปากหาวพลางเดินมาทางลานตากข้าว
ผู้ใหญ่บ้านเฉินทอดมองกลุ่มคนหนุ่มสกุลเคอแล้วถอนหายใจอย่างจนปัญญา
ผู้นำสกุลเคออายุมากแล้ว กำลังวังชาไม่ดีมาเนิ่นนาน ได้ยินว่าเมื่อคืนถึงขั้นต้องลมหนาวจนมิอาจลุกจากเตียงได้
คนสกุลเคอทั้งตระกูลช่างเอ้อระเหยตามใจชวนให้ผู้อื่นกังวลเสียจริง!
ครั้นเห็นคนหนุ่มของสกุลเคอมากันเกือบจะพร้อมหน้า ผู้าุโทั้งสามคนของสกุลเคอจึงค่อยทยอยเดินเข้ามา
ผู้ใหญ่บ้านเฉินระงับความเป็กังวลใจที่มีต่อสกุลเคอเอาไว้ เอ่ยอย่างเชื่องช้าว่า
“เมื่อเย็นวานเกิดเื่ผิดปกติบนเขาต้าชิง วันนี้เรียกรวมทุกคนเพื่อขึ้นไปดูสถานการณ์บนเขาพร้อมกับข้า...”
“ไม่ไป”
“ใช่ พวกเราไม่ไป”
“ได้ยินว่าเมื่อวานผู้ที่หนีลงมาจากบนเขาล้วนแต่ตายหมดแล้ว”
“ผู้ใดจะรู้ว่าบนเขามีสัตว์ร้ายอื่นใดอยู่บ้าง ผู้ใหญ่บ้านคงมิได้จะให้พวกเราไปตายกระมัง?”
ยังไม่ทันสิ้นคำกล่าวของผู้ใหญ่บ้านเฉิน คนสกุลเคอก็แย่งกันวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นเสียก่อน
ถึงขั้นมีคนจำนวนหนึ่งปัดก้นเดินหนี ปากยังเอ่ยอย่างหยามเหยียดว่า “นึกว่าจะมีเื่อันใด ให้ขึ้นเขาไปตายั้แ่เช้า ไปกินดีหมีมาหรืออย่างไร”
ครั้นเห็นคนสกุลเคอจากไป ปู่รองสกุลเคอพลันหยักยกมุมปาก ลอบคิดในใจว่า
ดูท่าตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านของแซ่เฉินคงถึงคราวสิ้นสุดแล้ว ลมน้ำหมุนเวียนเปลี่ยนผ่าน ควรถึงคราวสกุลเคอของพวกตนเป็ผู้ใหญ่บ้านเสียที
เมื่อต้วนเหลยถิงที่กำลังเอาแขนทั้งสองข้างกอดอกยืนพิงต้นหลิวเห็นสถานการณ์วุ่นวาย จึงเอ่ยออกไปว่า “ผู้ที่ไม่ยินดีขึ้นเขา มาทำข้อตกลงกันเป็อย่างไร?”
กลุ่มคนสกุลเคอที่หมายจะเดินจากไปพลันย้อนถาม “ทำข้อตกลงอันใด? พวกเราแค่ไม่อยากขึ้นเขาเท่านั้น ยังต้องตกลงอันใดอีก? นี่ไม่เท่ากับทำให้เป็เื่ยุ่งยากหรอกหรือ?”
“ฮ่าๆๆ ใช่แล้ว” กลุ่มคนจากสกุลเคอต่างพากันขานรับ
ต้วนเหลยถิงหัวเราะเสียงเบา เอ่ยว่า “เมื่อวานสัตว์ดุร้ายคลุ้มคลั่ง ไม่แน่ว่าอาจมีสัตว์ป่าที่ถูกล่า หากพวกเราขึ้นเขาแล้วเก็บซากสัตว์ติดมือมาได้เล่า?
มิสู้ทุกคนมาทำข้อตกลงกัน ผู้ใดขึ้นเขาผู้นั้นได้รับส่วนแบ่ง เป็อย่างไร? แน่นอนว่าผู้ที่ไม่ขึ้นเขาก็จะมิได้รับส่วนแบ่งเช่นกัน”
“ฮ่าๆๆ น่าขันสิ้นดี ยังจะเก็บซากสัตว์อันใด อย่าได้เอาชีวิตไปทิ้งจึงจะถูก”
“ใช่แล้ว หากทำให้สัตว์ดุร้ายเคลื่อนไหวอีกครั้ง ไม่เอาชีวิตไปทิ้งก็นับว่าขอบคุณ์แล้ว ยังจะได้เก็บซากสัตว์ป่าหรือ?”
ต้วนเหลยถิงเดินไปข้างหน้าไม่กี่ก้าว หยุดอยู่ข้างกายผู้ใหญ่บ้านเฉินแล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็เยี่ยงนี้ เช่นนั้นก็มาทำสัญญากัน ผู้ที่ยินดีขึ้นเขา ไม่ว่าหลังจากนี้จะเกิดเื่ใดขึ้นต้องรับผิดชอบด้วยตนเอง
ส่วนผู้ที่ไม่ยินดีขึ้นเขา ไม่ว่าผู้ที่ขึ้นเขาได้สิ่งใดติดมือมาก็อย่าได้อิจฉาตาร้อนโดยเด็ดขาด”
“ได้ ทำก็ทำ ผู้ใดกลัวกันเล่า?”
เหล่าผู้าุโสกุลเคอล้วนพยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน ภายในใจลอบคิดว่า : ไปเถิด คนสกุลเฉินจงไปตายเสียให้หมด หากขึ้นไปแล้วมิได้ลงมา หมู่บ้านเถาหยวนก็จะกลายเป็ถิ่นของคนสกุลเคอเสียที
ไม่นานนัก ภายใต้การเป็พยานของทุกคน ผู้ใหญ่บ้านเฉินพลันร่างสัญญา ส่งให้คนสกุลเคอที่ไม่ยินดีขึ้นเขากับผู้าุโทั้งสามประทับนิ้ว
หนึ่งฉบับแบ่งเป็สองสำเนา มอบให้ผู้ใหญ่บ้านเฉินกับปู่รองสกุลเคอเก็บเอาไว้
สกุลเคอต่างยกยิ้มเชื้อเชิญกันกลับจวน ทั้งยังบอกว่าคนสกุลเฉินโง่เขลา พากันก่อเื่วุ่นวายไปกับผู้ใหญ่บ้านเฉิน
ส่วนคนสกุลเฉินมารวมตัวกันข้างกายผู้ใหญ่บ้านเฉิน รอฟังคำสั่งการอย่างเงียบเชียบ
ผู้ใหญ่บ้านเฉินกำชับกับกลุ่มคนว่า “ทุกคนกลับจวนไปเอาไม้ตะบอง อาวุธ และเชือกเส้นใหญ่มา อีกหนึ่งเค่อให้หลัง พวกเราไปรวมตัวกันที่เชิงเขาต้าชิง”
“ขอรับ” คนสกุลเฉินขานรับโดยพร้อมเพรียง เร่งรีบไปเตรียมการตามคำสั่งของผู้ใหญ่บ้านเฉิน
......
ครั้นเคอโยวหรานเปิดเปลือกตาตื่น ฟูกนอนข้างกายก็เย็นเยียบเสียแล้ว
นางพลิกกายลุกขึ้น ข้างหมอนมีกระดาษแผ่นหนึ่งวางอยู่ ตัวอักษรเปี่ยมพลัง งดงามยิ่งกว่าลายอักษรของนักเขียนพู่กันหลายๆ คน
ใจความโดยรวมคือ
ต้วนเหลยถิงขึ้นเขาไปกับชาวบ้านแล้ว ก่อนไปยังช่วยล้างหน้าและเปลี่ยนโฉมให้เคอโยวหราน บอกนางว่าอย่าได้แตะน้ำ
นอกจากนี้ต้วนเหลยถิงยังช่วยปรับเปลี่ยนการแปลงโฉมทีละน้อยในทุกๆ วัน เพื่อให้เคอโยวหรานค่อยๆ กลับคืนสู่รูปโฉมเดิมได้โดยไม่แปลกตา เพราะถึงอย่างไรการใช้น้ำยาแปลงโฉมนานเกินไปก็ไม่ดีต่อผิวหน้า
เคอโยวหรานรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ นางพลิกกายลงจากเตียง ยังคงสวมใส่เสื้อคลุมนวมตัวหลวมของต้วนเหลยถิงออกไปจัดเตรียมอาหารเช้าอันอุดมสมบูรณ์
หลังจากหมอเทวะกินดื่มสุราอาหารจนอิ่มหนำ ชายชราก็เดินไปนั่งบนม้านั่งในลานเรือนอย่างอารมณ์ดียิ่งนักแล้วเอ่ยว่า
“ฮ่าๆๆ ตาเฒ่าพิษ ข้ารักษาต้วนเหลยถิงหายเร็วกว่าคนป่วยของเ้าหนึ่งวัน ครั้งนี้นับว่าข้าชนะแล้ว”
เคราแพะของเซียนพิษถึงกับกระดก เอ่ยด้วยใบหน้าเก็บกดจนแดงเถือก “เคอต้าส่าที่เ้ารักษายังสติไม่ครบถ้วนด้วยซ้ำ ส่วนพิษของต้วนต้าหลางกับต้วนเอ้อร์หลางที่เป็คนป่วยของข้าล้วนถูกขับออกมาแล้ว ไม่มีอาการตกค้างแม้แต่นิด”
หมอเทวะกระเด้งกายลุกขึ้นฉับพลัน เอ่ยว่า “เืคั่งในสมองของเคอต้าส่าล้วนถูกขับออกมาจนหมดสิ้น เหตุที่สติของเขายังไม่ครบถ้วนก็เพราะตอนได้รับาเ็ปัญญาของเขายังหยุดอยู่ในวัยเยาว์เท่านั้น
ค่อยๆ สอนสั่งเขาเป็พอ หากเขาเรียนเข้าสมอง กระทั่งสอบเคอจวี่ก็ยังไม่เป็ปัญหา
ตามหลักนับว่ารักษาจนหายดีแล้ว ดังนั้นข้าจึงชนะ”
เซียนพิษโมโหจนกระทืบเท้า ตามหลักแล้วครั้งนี้เขาล่าช้าไปหนึ่งก้าวจริงๆ หางตาพลันเหลือบมองไปทางเคอโยวหรานที่กำลังเตรียมตัวขึ้นูเา ทันใดนั้นจึงะโเรียกอย่างมีไหวพริบ
“แม่นางน้อย จงท่องตำราทั้งสามเล่มนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด ช่วยอาจารย์คว้าชัยคืนมา”
ขณะกล่าวยังล้วงหยิบตำราสามเล่มจากอกเสื้อมายัดใส่อ้อมแขนของเคอโยวหราน
หมอเทวะก็ล้วงหยิบตำราสามเล่มออกมาจากอกเสื้อด้วยเช่นกัน ยัดใส่มือนางพลางเอ่ย “แม่นางน้อย อย่าได้ไปสนใจตาเฒ่าสารพัดพิษผู้นั้น อ่านพื้นฐานที่อาจารย์มอบให้เ้าเสียก่อน ต้องวางรากฐานให้มั่นคง เรือนถึงจะไม่ถล่มลงมา”
เซียนพิษยัดขวดทรงกระบอกหลายขวดใส่มือของนาง “แม่นางน้อย นี่คือพิษและยาถอนพิษที่อาจารย์เพิ่งคิดค้นขึ้นใหม่ คำอธิบายอยู่บนขวดหมดแล้ว เ้าเก็บเอาไว้ป้องกันตัวเถิด
จะต้องอ่านตำราของอาจารย์ก่อน นั่นเป็ถึงสุดยอดเคล็ดวิชาที่ต้องเรียนรู้เอาไว้ใช้ยามออกไปข้างนอกเลยทีเดียว”
หมอเทวะเบียดเซียนพิษให้ออกห่าง จากนั้นล้วงหยิบขวดศิลาดลออกมาจากอกเสื้อ ยัดใส่มือเคอโยวหรานพลางเอ่ยว่า
“เอ้า นี่คือยาบำรุงที่แม้แต่เงินพันตำลึงยังยากจะแลกมา บนขวดมีคำอธิบาย เ้ารีบบำรุงร่างกายให้ดี อย่าได้ไปฟังตาเฒ่าพิษ บนหัวยังมีอาการาเ็ จะให้ไปอ่านตำราอันใดกัน? บำรุงรักษาร่างกายสักระยะเถิด หากว่างเสียจนทนไม่ไหวก็อ่านตำราของอาจารย์ก่อน มิต้องไปสนใจตาเฒ่าพิษนั่น”
ยามนี้ใบหน้าของเซียนพิษถึงกับเขียวคล้ำเสียแล้ว เขาถลกชายแขนเสื้อแล้วเอ่ยว่า “ตาหมอเฒ่า มิสู้พวกเราออกไปสู้กันสักตั้ง”
หมอเทวะมิได้ตอบรับข้อเสนอของเซียนพิษอย่างเป็ประวัติการณ์ เพียงเอ่ยขณะลูบหนวดเขี้ยวว่า
“ไม่ไป พวกเรากำลังแข่งกันว่าศิษย์เรียนรู้วิชาของผู้ใดได้ดีกว่า ผู้ใดทำดีต่อศิษย์มากกว่ากัน ข้าไม่มีเวลาไปมัวสนใจเ้า”
เซียนพิษสูดลมหายใจเข้าลึก หยิบขวดศิลาดลหลากสีอีกหลายขวดออกมาจากอกเสื้อด้วยสีหน้าปวดใจมาส่งให้เคอโยวหราน ทันใดนั้นพลันแปรเปลี่ยนเป็เผยสีหน้าเอาอกเอาใจและเอ่ยว่า
“แม่นางน้อย นี่คือยาพิษกับยาถอนพิษล้ำค่าที่อาจารย์สะสมเอาไว้ เ้าจงเก็บรักษาเอาไว้ให้ดี สามารถใช้ยาเหล่านี้ปกป้องตนเองได้ หากมีผู้ใดรังแกเ้า จงมาหาอาจารย์เพื่อให้อาจารย์ไประบายโทสะแทนเ้า อย่าได้อดกลั้นอยู่เพียงผู้เดียวเป็อันขาด”
ทุกคนในสกุลต้วนมองผู้เฒ่าทั้งสองแย่งกันพูด แข่งขันกันว่าผู้ใดจะมอบสิ่งของให้เคอโยวหรานและดีต่อนางมากกว่ากัน
หางตาของทุกคนต่างกระตุกด้วยนึกอยากกลายเป็เคอโยวหราน ของดีมากมายถึงเพียงนี้ ไม่ว่าใครก็อยากได้ทั้งสิ้น!
ทางด้านเคอโยวหรานไม่ปฏิเสธผู้ใด ให้สิ่งใดก็รับไว้โดยไม่ปริปาก จนถึงขั้นหอบข้าวของภายในอ้อมอกเอาไว้ไม่ไหว
ผู้เฒ่าทั้งสองเป็ถึงผู้มีฐานะเช่นไร สิ่งที่นำออกมายังจะเป็ของธรรมดาได้หรือ?
หยวนซื่อจำได้ว่าเมื่อห้าปีก่อน เพื่อให้ได้มาซึ่งยาลูกกลอนหนึ่งเม็ดของท่านหมอเทวะ ยังต้องใช้เงินนับหมื่นนับพันตำลึงทอง
และเพื่อให้ได้มาซึ่งยาถอนพิษหนึ่งเม็ดของท่านเซียนพิษ จำต้องใช้เครื่องหยกงามประณีตมูลค่ามหาศาลนับสิบชิ้น
แต่ยามนี้นางกำลังเห็นสิ่งใดกัน?
ภายในอ้อมแขนของเคอโยวหรานมีทั้งยาลูกกลอน ยาพิษและยาถอนพิษที่ถูกมอบให้ขวดแล้วขวดเล่า รวมถึงตำราโบราณหายากอีกหลายเล่ม
ที่แห่งนี้กลายเป็ดินแดนเหนือจินตนาการไปแล้วหรืออย่างไร? ภาพเช่นนี้สามารถทำให้ผู้คนอิจฉาจนเสียสติได้เลยมิใช่หรือ?
หลังจากผ่านพ้นการผลัดกันทิ้งะเิกว่าหนึ่งชั่วยามของท่านอาจารย์ทั้งสอง เคอโยวหรานก็ถึงกับบรรทุกข้าวของกลับมาเต็มลำ...
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] เค่อ 刻 หมายถึง ่เวลาสิบห้านาที
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้