สาวใช้ทั้งสี่กลัวจนแทบจะร้องไห้แต่เลี่ยวชิงเอ๋อร์ยังคงเจรจากับเกาเจวี๋ย หวังว่าเขาจะพานางไปเมืองหยางโจวแทนที่จะนำนางไปกักขังที่เมืองหลวง เช่นนั้นเขาจะได้รับค่าตอบแทนมากกว่า เลี่ยวชิงเอ๋อร์ยกสามนิ้วอวบอ้วนสัญญาว่านางใจกว้างกว่าพี่ชายของนางมาก
ระหว่างเดินทางไปยังูเาฉางไป๋ เลี่ยวชิงเอ๋อร์ไม่เพียงพบแหล่งสมุนไพรจีนราคาถูก เช่น โสม เขากวาง กำมะหยี่กระดองเต่าและกระดูกสัตว์ นอกจากนี้นางยังเจรจาเส้นทางและราคาช่องทางค้าขายกับสำนักคุ้มครองลู่เฟิง อย่างไรก็ตาม สมุนไพรในเมืองหลวงก็มีเกลื่อนกลาด นางจึงเลือกเมืองหยางโจวที่มีความเจริญรุ่งเรืองรองจากเมืองหลวงเป็เป้าหมายทางการค้าอันดับแรก ตอนนี้ทุกอย่างพร้อมแล้วยกเว้นส่วนประกอบสำคัญเพียงอย่างเดียวคือสถานที่ นางอยากไปเมืองหยางโจว มิใช่เมืองหลวง
ทว่าเกาเจวี๋ยไม่สนใจสิ่งที่นางเสนอเพื่อล่อตาล่อใจแม้แต่น้อย เขาเพียงลากพวกนางลงเขาด้วยความตั้งอกตั้งใจ ตราบใดที่ส่งของเหล่านี้ถึงมือเ้าแมวป่า เขาก็จะได้รับเหล้าสิบห้าไหมาดื่ม
เกาเจวี๋ยเดินเร็วไม่น้อย โดยทั่วไปการลงเขานั้นง่ายกว่าการขึ้นเขามาก แต่เขาก็ยังลากเด็กสาวทั้งห้าคนอย่างทุลักทุเล สาวใช้ทั้งสี่อยากหลั่งน้ำตาแต่ไม่กล้า ตอนแรกพวกนางคิดว่าชายชุดดำคนนี้เป็วีรบุรุษที่ช่วยพวกนางให้พ้นจากอันตราย แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็พ่อค้ามนุษย์ที่ไม่รู้จักปรานีและทะนุถนอมเด็กสาว
เดิมทีหญิงสาวทั้งห้าจะต้องลงจากูเาโดยใช้เวลามากกว่าครึ่งวัน แต่ภายใต้ความกดดันของเกาเจวี๋ย พวกนางจึงใช้เวลากลับเมืองตงกวาเพียงหนึ่งชั่วยาม เกาเจวี๋ยจับเชือกเดินกลับโรงเตี๊ยมซ่งเซียง เขาผูกเชือกกับเสาม้าบริเวณทางเข้า พลันสับหินสีเขียวที่พื้นจนแหลกละเอียดเพื่อข่มขู่นายหญิงและสาวใช้ทั้งสี่ ทั้งยังบอกพวกนางว่าอย่าคิดเล่นลูกไม้วิ่งหนี จากนั้นเกาเจวี๋ยก็เข้าโรงเตี๊ยมและสั่งอาหาร หลังกินอาหารเสร็จเขา้าเดินทางไปยังเมืองหลวงโดยเร็วที่สุด
“ท่านคือเกาเสินซินใช่หรือไม่?” ชายหนุ่มท่าทางเหนื่อยล้าเดินเข้ามาในโรงเตี๊ยม เขาเพียงเหลือบมองโต๊ะคิดเงินก่อนเดินไปหาเกาเจวี๋ยพลางกล่าว “ข้าเป็ผู้ส่งสารของฉางเนี่ยน นี่คือจดหมายถึงเกาเสินซินผู้สวมชุดคลุมสีดำขอรับ”
เกาเสินซินเป็นามแฝงในยุทธภพของเกาเจวี๋ย เมื่อมีจดหมายภายในหน่วยจิ่นอีเว่ยก็จะส่งโดยใช้ชื่อนี้ ดังนั้นเขาจึงลงนามรับจดหมาย หลังอ่านจบก็ครุ่นคิดครู่หนึ่งพลางรีบกินอาหาร เมื่อจ่ายเงินก็ออกจากโรงเตี๊ยมทันทีพลันพบว่ามีเด็กชายสวมชุดคลุมขาวพยายามแก้มัดคนทั้งห้า เขาจึงรีบเอ่ยห้ามปราม “หยุดเดี๋ยวนี้ อย่าแก้มัดพวกนาง ไปให้พ้น”
เด็กหนุ่มมองกลับด้วยความใ เมื่อพบว่าเป็ “คนชั่วตัวใหญ่” ที่สาวอวบอ้วนบอกก็เอ่ยด้วยความหวาดกลัว “เ้าทำร้ายสตรีอ่อนแอทั้งห้าด้วยวิธีนี้ ช่างน่าอับอายสำหรับบุรุษทุกคนจริง ๆ ”
เกาเจวี๋ยไม่คิดจะสนใจชายหนุ่มที่ดูเหมือนบัณฑิตผู้นี้ พลางเดินไปตรวจดูปมเชือกก่อนพาพวกนางเดินไปยังท่ารถเพื่อตามหารถม้ารับจ้าง ด้วยน้ำตาเอ่อล้นดวงตากลมโตของเลี่ยวชิงเอ๋อร์ นางหันกลับไปบอกลาเด็กหนุ่ม “น้องชาย มันเป็โชคชะตาที่พวกเราได้พบกัน แม้เ้าจะไม่สามารถช่วยพวกข้าได้แต่ก็ขอบใจเ้ามาก...คนผู้นี้ดุร้ายและไม่มีเหตุผล ข้าขอเตือนว่าอย่าเข้ามายุ่งจะดีกว่า”
หลังเด็กหนุ่มได้ยินก็รีบวิ่งไปขวางทางพลางเอ่ย “ทุกอย่างควรมีเหตุผล สตรีเหล่านี้ก่อเหตุร้ายอันใด หากมันไม่สมเหตุสมผล ข้าจะพาเ้าไปพบทางการเดี๋ยวนี้”
เกาเจวี๋ยรู้ว่าเขาอวดเก่งเมื่อได้ยินถ้อยกวีของนาง มันสมเหตุสมผลหรือไม่? ในโลกนี้มีสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผลมากมาย เกาเจวี๋ยตะคอกกลับทันทีก่อนเดินเลี่ยง เมื่อเด็กหนุ่มเห็นดังนั้นก็เดือดดาลพลันพุ่งตรงไปยังเกาเจวี๋ยในฐานะวีรบุรุษปกป้องหญิงงาม เขา้ากระชากเชือกในมือของเกาเจวี๋ยทว่าเมื่อเกาเจวี๋ยเห็นเด็กหนุ่มรนหาที่ตายจึงไม่ถอยแต่อย่างใด ขณะจะง้างมือตีเด็กหนุ่มผู้นั้นก็มีคนข้าง ๆ ะโเสียงดัง “ไป๋จี๋ หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
เกาเจวี๋ยหันมองก็พบชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีน้ำตาลแดงเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มพลางเอ่ย “ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วยท่านจอมยุทธ์ ข้าแซ่หลัว จะไปูเาหิมะกับลูกชาย ขอโทษด้วยที่เขาสร้างปัญหาให้ท่าน หวังว่าท่านจะเมตตาและให้ข้าสอนบทเรียนแก่เขาเอง”
กล่าวกันว่าหากมีคนยอมรับผิดก็มักไม่ถูกตำหนิ เกาเจวี๋ยพยักหน้าเป็สัญญาณให้เขาพาลูกชายออกไป ชายวัยกลางคนจึงยิ้มก่อนก้าวไปพาเด็กหนุ่มที่ไม่เต็มใจจากไปด้วยการกระทำแข็งกร้าวแต่ยังคงพูดคุยอย่างนุ่มนวล
หลังพวกเขาเดินจากไป เกาเจวี๋ยก็มองเลี่ยวชิงเอ๋อร์ที่แสดงท่าทีหดหู่ ก่อนเอ่ยเ็า “เ้าฟังข้าให้ดี เ้าไม่ต้องพยายามหนีอีกต่อไป ไม่อยากไปเมืองหยางโจวแล้วหรือ? ข้าจะไปส่งเ้าที่นั่น” เมื่อเห็นใบหน้ากลมของหญิงสาวแสดงความประหลาดใจ เกาเจวี๋ยจึงอธิบาย “ข้าเพิ่งได้รับจดหมายจากพี่ชายของเ้า เขาบอกว่าพบข้อมูลมากมายเกี่ยวกับเมืองหยางโจวในห้องของเ้า ไม่ว่าจะเป็หนังสือหรือแผนที่ เขาเดาว่าเ้าอยากไปค้าขายสมุนไพรในเมืองหยางโจว ฉะนั้นจึงขอให้ข้าไปส่งเ้าที่เมืองหยางโจวโดยตรง เพื่อไม่ให้เ้าหนีไปอีกหลังกลับจวน”
“ส่งข้าที่เมืองหยางโจวหรือ? พี่ชายของข้าใจดีเพียงนี้เชียวหรือ” เลี่ยวชิงเอ๋อร์เอ่ยถามด้วยความสงสัย “มีเงื่อนไขเพิ่มเติมหรือไม่?”
เกาเจวี๋ยพยักหน้ากล่าว “ใช่ เลี่ยวจือหย่วนเขียนในจดหมายว่าหลังเ้าไปถึงเมืองหยางโจว เ้าจะต้องอาศัยในจวนตระกูลกวนของป้าและต้องไปเรียนที่สำนักศึกษาเฉิงซวี่กับคุณหนูกวนด้วย”
“สำนักศึกษาเฉิงซวี่?” เลี่ยวชิงเอ๋อร์สะบัดผมพลางยิ้ม “นั่นมัน ‘สำนักหาคู่อันดับหนึ่งในตำนานของราชวงศ์ิ’ ใช่หรือไม่? ข้าได้ยินว่าต้องผ่านการสอบก่อนจึงจะเข้าเรียนได้ พี่ชายข้ารู้ว่าข้าไม่เก่งการเขียนอักษรด้วยพู่กัน เขาจะช่วยให้ข้าเข้าเรียนที่นั่นโดยไม่ต้องสอบใช่หรือไม่? เพียงไปเฉย ๆ ก็ได้แล้วใช่หรือไม่? ตอนนี้ข้าเป็สตรีจากตระกูลชั้นสูง ทั้งยังผิวขาวมีเสน่ห์ ข้าอาจหาผู้ชายที่สูง รวยและรูปงามได้”
เกาเจวี๋ยงุนงงกับคำพูดของนางแต่ก็เข้าใจว่านางตกลงไปเรียนสำนักศึกษาเฉิงซวี่แล้ว เพียงส่งนางไปเมืองหยางโจวก็ถือว่างานสำเร็จ เขาจึงบอกนางถึงค่าตอบแทนล่าสุดที่เลี่ยวจือหย่วนเขียนในจดหมายคือ “เหล้ารสเลิศยี่สิบขวด” และต้องจ่ายภายในสามเดือนหลังมาถึงเมืองหยางโจว เลี่ยวชิงเอ๋อร์เห็นด้วยอย่างมีความสุข แน่นอนว่าเลี่ยวจือหย่วนยังกล่าวในจดหมายอีกว่าในอนาคตจะมี “ของขวัญลึกลับ” อีกหนึ่งชิ้น ทว่าเกาเจวี๋ยไม่สนใจเพราะคำพูดของเ้าแมวป่าเชื่อได้ต่ำกว่าสิบส่วน เช่นสาวอวบอ้วนที่แมวป่าบอกว่า “งามนักงามหนา” ก็ถือเป็ตัวอย่างที่ดีที่สุดแล้วไม่ใช่หรือ?
หลังเจรจาเสร็จสิ้น เกาเจวี๋ยก็พาสตรีเหล่านี้ไปจ้างรถม้าที่ท่ารถ ก่อนนั่งรถม้าไปเมืองหยางโจวในชั่วข้ามคืน
…...
ลมยามค่ำคืนพัดโชยเป็ระลอกทำให้ดอกไม้และใบไม้จำนวนมากที่หน้าลานกว้างปลิวว่อนพื้น ทั้งยังทำให้ชุดกระโปรงสตรีในสวนปลิวไสว ใบหน้าของนางจึงปกคลุมไปด้วยเส้นผมดุจผีสางท่ามกลางความมืดมิด
เนื่องจากเหอตังกุยตัดสินใจลอบสังหารหนิงยวน ตอนนี้นางจึงขอให้เสี่ยวโหยวไปยังห้องโถงใหญ่เพื่อรายงานให้เหล่าไท่ไท่ฟังว่าตนปลอดภัย จากนั้นนางก็เดินกลับไปที่สวนคนเดียวเพื่อตามหาหนิงยวน นางตรวจจุดฝังเข็มที่เปราะบางที่สุดในร่างกายมนุษย์ที่สามารถฆ่าคนได้ในครั้งเดียวอย่างต่อเนื่อง พลางนึกถึงวิธีการฆ่าต่าง ๆ ที่พอจะสังหารคนได้เช่นการฝังเข็มเงินในจุดตาย
แม้นางจะเคยดูแลการลอบสังหารของหออู่อิง ทั้งยังวางแผนลอบฆ่าคนจำนวนมาก แต่นางก็ไม่เคยฆ่าใครด้วยตัวเอง ยิ่งการสังหารด้วยสองมือที่เคยใช้ช่วยชีวิตคนยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง...กระนั้นนางก็พยายามจะทำให้มือสกปรกด้วยการฆ่าปีศาจตนนั้นและนางก็จะไม่เสียใจที่ทำเช่นนี้ นางเชื่อว่าตราบใดที่เขาตาย ฝันร้ายในชาติที่แล้วของนางก็จะสิ้นสุด สิบปีข้างหน้าเื้ัที่สร้างปัญหาเช่นเขาจะลดลง ใต้หล้าก็จะสงบมากขึ้น
สาเหตุที่นางไม่ใช้ดาบฆ่าเขาเป็เพราะนางไม่เชี่ยวชาญการฆ่าคนด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว จึงคิดว่าไม่ว่าจูฉวนจะอ่อนแอเพียงใดก็ยากจะฆ่าเขาด้วยดาบ ดังคำพูดที่กล่าว “กระต่ายเ้าเล่ห์มีรูสามรูในโพรงของมัน” ดังนั้นคนทรยศเช่นจูฉวนก็ต้องมีวิธีเอาตัวรอดเช่นเดียวกับชายสวมหน้ากากเมื่อครู่ที่หนีไปกะทันหัน ในนามของการรักษาาแ นางจะสังหารเขาขณะยังไม่ทันระวังตัวด้วยการใช้เข็มเงินแทงจุดตาย เช่นนี้จึงจะเป็กลยุทธ์ที่ดีที่สุด…
มือใต้แขนเสื้อค่อย ๆ กำแน่น ั้แ่นางค้นพบตัวตนที่แท้จริงของบุคคลนั้นก็มีอาการมือสั่นไม่หาย เหอตังกุยหลับตาพลางสูดหายใจเข้าลึก ไม่ต้องกลัว อย่าใ ต้องทำได้ ตราบใดที่แก้แค้นด้วยเหตุผลของความถูกต้อง ไม่ว่าใครที่มีความกล้าก็สามารถเอาชีวิตผู้อื่นได้...ความแค้นในชาติที่แล้วต้องได้รับการชดใช้ในชาตินี้ ปีศาจตนนั้นต้องลงนรกเพื่อสารภาพบาปกับลูกทั้งสามของนาง…เอ๊ะ เขาไปไหนเสียแล้ว?
เหอตังกุยค้นหาทั้งสวนดอกไม้แต่ไม่พบคนที่นาง้าฆ่าจึงยืนนิ่งในสวนด้วยความงุนงง ความรู้สึกบ้าคลั่งและความปรารถนาจะสังหารค่อย ๆ จางหาย นางเริ่มลังเล บุรุษผู้นั้นจากไปแล้ว นางควรตามไปฆ่าเขาถึงเรือนทิงจูหรือไม่? นาง้าฆ่าจูฉวนเด็กหนุ่มที่ช่วยชีวิตนางถึงสองครั้งในชีวิตนี้จริง ๆ หรือ? การที่นางอยากสังหารผู้ทะเยอทะยานต่ออนาคตผู้นี้...มันยุติธรรมและถูกต้องจริง ๆ หรือ?
เหอตังกุยเดินอย่างไร้จุดหมายในคืนที่มืดมิด นางลังเลและหงุดหงิดในใจ หากไม่ใช้โอกาสนี้ก็จะไม่มีโอกาสดี ๆ เช่นนี้อีกแล้ว อย่างไรก็ตาม จูฉวนในวัยสามสิบสามปีที่ทำร้ายนางในชาติก่อนถูกทอดทิ้งในห้วงกาลเวลาอีกห้วงหนึ่งแล้ว แต่จูฉวนในชาตินี้กลับไม่ได้ทำอะไรนางแม้แต่น้อย นางอยากให้ตัวเขาในชาตินี้เป็ตัวแทนระบายความโกรธแค้นและชำระหนี้เืในชาติที่แล้วจริง ๆ หรือ?
“ฮ่า ๆ ช่างบังเอิญเสียจริงที่ได้พบคุณหนูเหอ เ้ามาเดินเล่นชมจันทร์เหมือนกันหรือ?”
“คุณหนูเหอเดินใต้ดวงจันทร์เช่นนี้ทำให้ท่านเหมือนนางฟ้าท่ามกลางแสงจันทร์ หากท่านหันกลับมาในสวนก็จะดูเหมือนนางฟ้าแห่งมวลหมู่ดอกไม้ ฮ่า ๆ ”
เหอตังกุยชะงักฝีเท้าพลางมองบ่าวรับใช้สองคนที่ชื่อเฟิงเหยียนและเฟิงอวี้ ก่อนหัวเราะเบา ๆ ที่แท้จูฉวนและเฟิงหยางประมุขรุ่นเยาว์แห่งพรรคเฉาก็เป็เพื่อนที่ดีต่อกันมาโดยตลอด หึ มิน่าล่ะ...
มิน่าล่ะที่ความคิดของนางในชาติก่อนถูกจูฉวนปฏิเสธ ที่แท้ก็หันไปแสวงหาผลกำไรจากพรรคเฉาตามโครงสร้างและกลยุทธ์ที่เหมือนกลยุทธ์ของนาง พรรคเฉาเป็พรรคที่เรียกได้ว่า “พรรคขนาดใหญ่ที่สุดในยุทธภพ” จูฉวนใช้ประโยชน์จากนางเต็มที่แต่กลับไม่ไว้ใจนางแม้แต่น้อย เขาปกปิดเื่อะไรบ้าง? เดิมทีนางคิดว่านางเข้าใจเขา ทว่าการทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างของเขากลับเป็เพียงความเพ้อฝันของนางเท่านั้น
“คุณชายเฟิงและคุณชายหนิงของเ้าไปไหน?” เหอตังกุยเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “เมื่อกี้ข้าเห็นคุณชายหนิงในสวนดอกไม้ เหตุใดจึงหาเขาไม่เจอเล่า เห็นว่าเขาาเ็สาหัส ตอนนี้ได้รับการรักษาแล้วหรือยัง?”
เฟิงเหยียนลูบมือพลางพูดด้วยรอยยิ้ม “บางทีเขาอาจนอนแล้วก็ได้ขอรับ อย่าได้สนใจเลย เมื่อพูดถึงเขา พวกเราก็อยากอธิบายบางอย่างให้ท่านฟัง”
“มีอะไรจะอธิบายกับข้า?” เหอตังกุยยืนประสานมือด้านหลังก่อนเอ่ย “พูดมาสิ”
เฟิงอวี้เกาหัวพลางพูด “ก่อนหน้านี้ข้าอยู่ที่ประตูข้าง ท่านไม่เห็นหรือว่าข้าคุยและมอบห่อผ้าให้หลิงเมี่ยวอี้ อันที่จริงหลิงเมี่ยวอี้เป็ศิษย์น้องของคุณชายข้า ครั้งนี้นางมาที่เมืองหยางโจวคนเดียว…”
เฟิงเหยียนกล่าวเสริมทันที “กล่าวกันว่านางมาที่เมืองหยางโจวเพื่อตามหาคนรักซึ่งน่าชื่นชมมาก แต่คราวนี้นางหนีออกจากบ้านอย่างลับ ๆ โดยมีเงินติดตัวเพียงเล็กน้อย หลังมาถึงเมืองหยางโจวก็ถูกโจรปล้น ถุงเสื้อผ้าและถุงเงินถูกขโมยไปทั้งหมด ทำให้นางไม่มีเงินกินข้าวสักแดง ต้องนอนข้างถนนและไม่สามารถดำรงชีวิตต่อไปได้…”
“เฮ้อ น่าสงสารจริง ๆ ” เฟิงอวี้กล่าวต่อ “วันหนึ่งขณะนางรอขอซาลาเปาที่ประตูหลังจวนตระกูลหลัวด้วยความหนาวและหิวโหยก็บังเอิญพบพวกเรา นางจึงรีบวิ่งมาหาพลางเล่าความยากลำบากที่นางต้องเผชิญพร้อมร้องห่มร้องไห้ เมื่อพวกข้าได้ยินก็เห็นใจนาง…”
เฟิงเหยียนใช้แขนเสื้อเช็ดหางตาก่อนถอนหายใจ “ต่อมานาง้ายืมเงินพวกข้า เดิมทีพวกข้าก็ไม่สบายใจเื่ของนางอยู่แล้วจึงตกลง…”
“คุณหนูเหอ อันที่จริงภาพที่เ้าเห็นเมื่อบ่ายวันนี้คือข้ามอบเงินให้หลิงเมี่ยวอี้” เฟิงอวี้มองเหอตังกุยอย่างร้อนใจก่อนพูดด้วยรอยยิ้ม “ได้โปรดคุณหนูอย่าเข้าใจผิดและอย่าบอกเื่นี้กับใคร”
“พวกข้ารู้ว่าท่านสงสัยว่าเหตุใดจึงบอกเื่นี้กับใครไม่ได้ ฮ่า ๆ ” เฟิงเหยียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “คุณหนูเหอลองคิดดู แม้การกระทำของคุณหนูหลิงจะน่าชื่นชมและน่าเห็นใจ เพียงเพื่อพบชายคนหนึ่ง นางถึงขั้นหนีออกจากบ้านมาที่เมืองหยางโจวเพื่อเข้าเรียนในสำนักศึกษาเฉิงซวี่ หากคนอื่นรู้เข้า ชื่อเสียงของนางต้องเสื่อมเสียเป็แน่ ฮ่า ๆ คุณหนูเหอดูเป็คนใจดี ได้โปรดช่วยคุณหนูหลิงเก็บความลับนี้ได้หรือไม่ขอรับ?”
เฟิงอวี้กล่าวสรุป “ท่านน่าจะไม่เคยเห็นข้าให้ห่อผ้าแก่นาง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเมื่อท่านพบคุณหนูหลิงอีกครั้ง อย่าพูดเกี่ยวกับคุณชายเฟิงและคุณชายหนิงของข้าได้หรือไม่? แสร้งว่าท่านไม่เคยรู้จักพวกข้ามาก่อนได้หรือไม่?”
“ที่แท้ก็เป็เช่นนี้” เหอตังกุยยิ้มพลางพยักหน้า ก่อนเงยหน้ามองพลันชี้ให้เห็นช่องโหว่ในคำพูดของพวกเขา “คุณหนูหลิงเป็ศิษย์น้องของคุณชายเ้าใช่หรือไม่? สำนักอู่ตังรับสตรีเป็ศิษย์ั้แ่เมื่อใด? ข้าไม่เห็นจะรู้เลย”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้