“เช่นนั้นหรือ!” จ้าวจือชิงชะโงกหน้ามาจากด้านหลัง “ยังมีที่น่าเล่นกว่านี้ นายท่านเฉินเล่าอยากจะมาเล่นด้วยกันหรือไม่?”
เฉินเจ๋อิประหลาดใจกับคำพูดหยอกล้อของจ้าวจือชิง อีกทั้งรู้สึกว่าไม่ชอบมาพากล
“น่าเล่นจริงหรือ?” เฉินเจ๋อิไม่รู้ว่าด้านหลังูเาปลอมมีความลับ จึงได้ชะโงกหัวเข้าไปดู ปรากฏว่ากลับพบเดินทางลับหนึ่งเส้น
หยางหนิงเองก็โผล่หน้าเข้ามาชะเง้อดูเช่นเดียวกัน “นี่คงไม่ใช่?”
“น่าจะใช่ขอรับ สุนัขเข้าไปแล้ว อีกเดี๋ยวใต้เท้าสามารถให้คนเข้าไปพาพวกเขามาได้เลย”
ทั้งสองเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว
รอจนหยางหนิงสั่งคนให้นำตัวฝ่าหยวนกับคนที่เหลือมา จ้าวจือชิงก็อุ้มชีเหนียงออกมาจากถ้ำแล้ว
พวกฝ่าหยวนหลักแหลมกว่าจางซานมากนัก เมื่อเห็นว่าชีเหนียงกับเหยื่อที่เหลืออยู่ไม่สุขจึงโปะยาสลบพวกนาง ตอนนี้คนทั้งหมดจึงอยู่ในสภาวะหมดสติ
“คนที่เหลืออยู่ด้านใน คงต้องรบกวนใต้เท้าส่งคนเข้าไปช่วยพวกนางออกมา”
เนื่องจากชีเหนียงคือเ้าทุกข์ ครั้งนี้ชีเหนียงที่กลายเป็พยานคนสำคัญจึงไปไหนไกลไม่ได้ ดีที่หลิงชางไห่เองก็อยู่ไม่ไกลนัก จึงถูกเชิญมาให้ตรวจร่างกายและต้มยาให้กับพวกนาง ไม่นานนัก หญิงสาวที่หมดสติทั้งหลายก็ค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา
พวกนางเห็นคนในชุดเ้าหน้าที่ทางการ ก็ดั่งเหมือนเห็นพระโพธิสัตว์มาโปรด ฉับพลันก็รีบพากันร้องทุกข์
“ใต้เท้า ท่านมาช่วยเหลือพวกข้าหรือ?” คงเพราะการร้องขอความช่วยเหลือจากหลวงจีนในวัดก่อนหน้านี้ทำให้พวกนางต่างถูกยาสลบกัน จึงทำให้ยังมีความหวาดกลัวในใจอยู่ พวกนางแต่ละคนจึงพากันคุดคู้ตัวรวมกลุ่มเอาไว้
หยางหนิงพยายามทำให้ตนเองดูน่าเชื่อถือ “ข้าคือนายอำเภอเฉา ย่อมมาเพื่อช่วยเหลือพวกเ้า”
คราวนี้ หญิงสาวทั้งหลายจึงรีบแย่งกันบอกเล่าเคราะห์กรรมน่าเศร้าที่ตนเองได้เผชิญกันทั้งหมด หยางหนิงปวดศีรษะเพราะความวุ่นวายนี้ จึงรีบให้กุนซือพาพวกนางไปบันทึกคำให้การ
ชีเหนียงเองก็ฟื้นขึ้นมาอย่างช้าๆ นางเดินออกมาจากห้องด้วยตนเอง เมื่อเห็นหยางหนิงกำลังสอบสวนฝ่าหยวน ทั้งที่มีพยานหลักฐานครบถ้วน แต่ฝ่าหยวนก็ยังคงไม่ยอมรับ
“เื่นี้เกี่ยวอันใดกับวัด? เกี่ยวอะไรกับอาตมา? คนเหล่านี้เข้ามาได้อย่างไร พวกเราเองไม่ทราบ พวกโยมค้นหาพวกสีกาเจอเอง เช่นนั้นอาตมาก็พูดได้เหมือนกันว่า คนเหล่านี้คือคนที่พวกโยมนำมาซ่อนไว้ในวัดเฉิงเอินเพื่อใส่ความแก่วัด?”
หยางหนิงเห็นเขาหน้าด้านถึงเพียงนี้ ถึงกับโมโหจนทนไม่ไหว “ฝ่าหยวน คำพูดนี้เ้าพูดออกมาได้เยี่ยงไร สตรีเหล่านี้ให้การหมดแล้ว หลังจากที่พวกนางหนีออกจากหลุมใต้ดิน ก็ถูกพวกเ้าจับมัด เ้ายังมีอะไรจะแก้ตัวอีก?”
“ดีงาม ดีงาม! ในเมื่อพวกนางเป็พวกเดียวกัน ก็ต้องร่วมมือกันแน่นอนมิใช่หรือ อาตมาเคยพบพวกนางจริง หากแต่พวกนางแต่ละคนท่าทางตื่นกลัว เสื้อผ้าไม่เรียบร้อย เมื่อเป็เช่นนี้จะไม่เท่ากับเป็การทำลายสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ให้แปดเปื้อนหรือ ดังนั้นอาตมาจึงได้จัดแจงให้พวกนางไปอยู่ในห้องปีกก่อน แล้วจึงคิดจะให้คนตรงไปแจ้งความกับทางการอีกที เช่นนี้ผิดด้วยหรือ?”
ฝ่าหยวนสมกับเป็คนที่รับมือยาก มีคนไปรายงานหยางหนิงจริงว่าก่อนหน้านี้มีหลวงจีนไปวนเวียนอยู่ที่ประตูหน้าที่ว่าการ มีชาวบ้านมากมายเห็นกับตา เพียงแต่หลวงจีนผู้นั้นไม่ได้ไปแจ้งความ หากแต่แค่ไปสืบข้อมูลจากผู้คนก็เท่านั้น
“ข้ายังไม่เห็นบันทึกการแจ้งความจากผู้ใดเลย อีกทั้งโจรชั่วก็ได้สารภาพเื่สมรู้ร่วมคิดกับวัดเฉิงเอิน ตอนนี้ก็ยังมีเ้าทุกข์อยู่ที่นี่ด้วย แม้เ้าคิดจะใช้เล่ห์เหลี่ยมใดแก้ต่างก็คงยากจะพ้นความผิด”
คำพูดของหยางหนิงมีเหตุผลครอบคลุม พวกเขามีทั้งพยานบุคคลและหลักฐาน สิ่งเหล่านี้ย่อมใช้เป็ข้อพิสูจน์ได้
“คำพูดนี้ของใต้เท้าหยางผิดแล้ว ข้าว่าท่านเ้าอาวาสเปิดเผยตรงไปตรงมายิ่งนัก ไหนเลยจะเหมือนคนที่ทำเื่ชั่วช้าเช่นนั้นได้” เฉินเจ๋อิคิดไม่ถึงว่าจะเจอกับฉากใหญ่โตเช่นนี้ ขณะนี้เขายังไม่รู้ชัดว่าคนเหล่านี้ก็คือคนที่เขาสั่งให้ไปลักพาตัวลั่วชีเหนียงมาหรือไม่ มิเช่นนั้น เวลานี้เขาคงไม่ออกมาพูดพล่ามแน่
เพียงแค่คำพูดเดียวของเฉินเจ๋อิก็ดึงดูดความสนใจของจางซาน น้ำเสียงของคนผู้นี้คุ้นเคยอยู่บ้าง ซึ่งเหมือนกับคนที่เคยมาจ้างงานตนเอง เพียงแต่ขนาดรูปร่างไม่ได้ตรงกันมากนัก
“นายท่านเฉินล้อเล่นแล้ว คนชั่วหรือจะเขียนคำว่า คนชั่ว ไว้บนใบหน้า?” หยางหนิงมองเฉินเจ๋อิอย่างไม่ชอบใจ เขารู้อยู่แล้วว่าคนผู้นี้เป็ตัวปัญหา ทั้งที่เมื่อครู่ฝ่าหยวนเริ่มมีความประหม่า ใครจะรู้ว่าพอเฉินเจ๋อิเข้ามาแทรก ฝ่าหยวนก็กลับกลายเป็สุขุมใจเย็นอีกครั้ง
“แน่นอนว่าไม่มีทาง ทว่าใต้เท้าหยางคือขุนนางผู้ตัดสินคดี คงจะไม่ปิดคดีง่ายดายเช่นนี้หรอกกระมัง” เฉินเจ๋อินั่งลงบนเก้าอี้ ทำท่าจับตาดู บ่าวรับใช้ตระหนักได้ว่าเขาไม่มีทีท่าจะจากไป จึงเริ่มร้อนใจ เฉินเจ๋อิไม่รู้จักจางซาน เพียงแต่บ่าวรับใช้คนนี้ ในฐานะคนที่ไปหาจางซานเพื่อจัดแจงเื่นี้ เขาย่อมรู้จักจางซาน
เพียงแต่ไม่ว่าเขาจะส่งสัญญาณให้เ้านายอย่างไร คนกลับไม่สนใจไยดีแม้แต่น้อย จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องรีบโน้มตัวกระซิบข้างหูเฉินเจ๋อิ
เฉินเจ๋อิถึงเพิ่งสังเกตเห็นลั่วชีเหนียงที่ยืนหน้าซีดอยู่ตรงหน้าประตูห้อง
“ใต้เท้าหยาง หากอยากรู้ว่าวัดเฉิงเอินเกี่ยวข้องกับเื่นี้หรือไม่ อันที่จริงง่ายดายยิ่งนัก”
หลายปีมานี้ ฝ่าหยวนไม่เคยทำพลาดมาก่อน จึงบ่งชี้ได้ว่าเขาต้องเคยกระทำการพวกนี้มาไม่มากก็น้อยเป็แน่
“ชีเหนียงมีข้อเสนอหรือ?”
ลั่วชีเหนียงเดินขึ้นหน้าไปหลายก้าว “หญิงสาวเหล่านี้ส่วนมากจะถูกขายไปยังหอนางโลม เพียงแค่ไปเชิญแม่เล้าในหอนางโลมมา แล้วลองถามหญิงสาวเ่าั้ว่าซื้อขายมาจากมือผู้ใด” เมื่อสิ้นเสียงของชีเหนียง ก็สามารถรับรู้ได้ว่าฝ่าหยวนมีท่าทีผ่อนคลายอย่างชัดเจน
ก่อนหน้านี้เวลาฝ่าหยวนให้คนส่งมอบสินค้า ล้วนให้คนปลอมตัวเป็อย่างดี ดังนั้นจึงไม่ห่วงว่าคนของตนเองจะถูกจำได้ แต่น่าเสียดายที่แม้แผนการของเขาจะดีแค่ไหนก็เปล่าประโยชน์
“เื่นี้ไม่มีทางเป็ฝีมือฝ่าหยวนเพียงผู้เดียวแน่ ในวัดนี้ต้องมีพรรคพวกของเขาอยู่ ใต้เท้าต้องแยกขังหลวงจีนเหล่านี้ หากแยกกันไต่สวนต้องได้ผลลัพธ์แน่นอน”
พูดจบ นางก็บอกข้อเสนอแนะให้ใต้เท้าหยางอีกหนึ่งเื่ ซึ่งก็คือการเดิมพัน ขอเพียงทุกครั้งก่อนที่จะไต่สวนหลวงจีน ให้บอกกับพวกเขาว่า หากพวกเขาสารภาพก่อน เช่นนั้นก็จะสามารถลดโทษผ่อนหนักเป็เบาได้ อีกทั้งจะอนุญาตให้พวกเขาชดเชยความผิดด้วยการอยู่ที่วัดเฉิงเอินต่อ แต่หากผู้อื่นสารภาพเื่ราวเร็วกว่า เช่นนั้นโอกาสนี้ก็จะไม่มีอีก เมื่อเป็เช่นนั้น ทุกคนก็จะห่วงว่าตนเองจะมีโทษหรือไม่ จากนั้นก็จะสามารถเปิดปากพวกเขาได้ พยานจากปากของหลวงจีนในวัด ฝ่าหยวนคงไม่มีทางปฏิเสธได้อีกเป็แน่
ฝ่าหยวนมองชีเหนียงอย่างดูแคลน แค่หญิงออกเรือนคนหนึ่งจะมีความคิดดีๆ อะไรได้
......
เมื่อเห็นคำให้การที่บันทึกเต็มหน้ากระดาษใบแล้วใบเล่าถูกยื่นมายังมือของหยางหนิง ฝ่าหยวนก็ไม่อาจอยู่ในความสงบได้อีกต่อไป หน้าผากเริ่มมีเหงื่อซึมออกมาน้อยๆ
ตลอดจนบันทึกเล่มหนึ่งยื่นมาถึงมือของหยางหนิง เขาเห็นชัดเจนว่าบนนั้นได้บันทึกเื่ราวความผิดของผู้ที่ถูกค้าขายมากถึงหนึ่งร้อยคน เื่นี้เกิดขึ้นมานานั้แ่สามสิบปีที่แล้ว
“เ้ายังมีสิ่งใดจะพูดอีก?” หยางหนิงถือบัญชีในมือและสอบถามเสียงเข้ม “เวลาสามสิบปี นับั้แ่เ้าเป็เ้าอาวาสก็เริ่มข้องแวะกับการค้าขายมนุษย์ ส่วนจางซานกับพวกก็แค่คู่ค้าที่พวกเ้าเพิ่งหามาในตอนหลัง ตอนนี้เ้ายังมีสิ่งใดจะอธิบายอีก”
หยางหนิงพูดจบ ยังไม่ทันให้ฝ่าหยวนได้เอ่ย ก็ได้ยินเสียงของลูกศิษย์น้อยคนหนึ่งดังขึ้น
“อาจารย์ หรือไม่ท่านก็รีบสารภาพเถอะ สารภาพแล้วยังสามารถลดโทษได้บ้าง ต่อไปลูกศิษย์ยังสามารถเลี้ยงดูท่านยามแก่เฒ่าได้” หลวงจีนน้อยที่เกลี้ยกล่อมก็คือหลวงจีนที่นำทางให้ลั่วจิ่งเฉิน บัญชีเล่มนี้ เขาเป็คนนำมันออกมา แน่นอนว่าสิ่งที่บันทึกในนั้นล้วนเป็ฝีมือการจดบันทึกของฝ่าหยวนเองทั้งนั้น หลวงจีนน้อยผู้นี้เพียงแค่เคยแอบดูหนึ่งครั้งก็เท่านั้น
นอกจากนี้ลายมือในนั้นคือลายมือของฝ่าหยวน หากนำมาเทียบกับตำราสวดมนต์ของตนในอดีต ฝ่าหยวนแม้นมีร้อยปากก็คงยากจะแก้ตัว จึงจำต้องรับผิด
ขณะที่ทางการคุมตัวผู้เกี่ยวข้องออกไป จ้าวจือชิงก็เดินไปข้างหน้าจางซาน
-----