เซี่ยโม่มองใบหน้าของคุณตาที่มีแต่ความอิดโรย เอ่ยเตือนอย่างปวดใจว่า “คุณตาอย่าเพิ่งใจร้อน ดื่มน้ำสักแก้ว กินอะไรสักหน่อย อิ่มแล้วค่อยไปเถอะค่ะ”
“ได้!”
เธอเดินเข้าไปในห้องครัว พบว่าในห้องครัวมีข้าวฟ่างไม่กี่กิโลกับแป้งข้าวโพดถุงย่อม และมันฝรั่งหัวเล็กๆ ไม่กี่ลูกวางอยู่ตรงมุมกำแพง
ที่บ้านของท่านทั้งสองเหลือแค่วัตถุดิบเหล่านี้ ไม่มีอย่างอื่นเหลืออีกแล้ว
กว่าจะถึงวันจัดสรรอาหารก็อีกตั้งเดือนกว่า หากวันนี้เธอไม่มาที่นี่ ท่านทั้งสองจะใช้ชีวิตอย่างไร
เซี่ยโม่นึกดีใจที่ก่อนจะมาที่บ้านคุณตาคุณยาย เธอหยิบเส้นหมี่และแฮมหมูจากโกดังสินค้าติดมือมาด้วย
เธอเอาถ้วยใส่น้ำ ก่อนจะนำเส้นหมี่ขาวลงไปแช่ ระหว่างนี้เดินออกไปที่สวนผักนอกบ้าน เด็ดต้นหอมและผักกาดขาว นำมาล้างให้สะอาดแล้วหั่นเป็ท่อนเล็กๆ
จากนั้นมองหาน้ำมัน แต่หาอยู่นานก็ไม่เจอ
เซี่ยโม่ถอนหายใจอย่างถอดใจ โชคดีที่เนื้อสัตว์ที่มีอยู่คือแฮมหมู เลยไม่จำเป็ต้องใช้น้ำมันก็ได้
ตั้งหม้อใส่น้ำลงไป พอน้ำเดือดก็ใส่เส้นหมี่ขาว ต้นหอม และผักกาดขาว
ใช้มีดหั่นแฮมเป็แผ่นบางๆ แล้วค่อยใส่ตามลงไปในหม้อ ปรุงรสด้วยเกลือ ใช้ช้อนคนเล็กน้อย เพียงเท่านี้ก็ได้ผัดหมี่มาหนึ่งถ้วยแล้ว
เธอตักผัดหมี่ใส่ถ้วย หยิบตะเกียบออกมาจากกล่องใส่ตะเกียบ จากนั้นถือผัดหมี่สี่ถ้วยเดินออกจากห้องครัวไป
คุณตาคุณยายจ้องถ้วยผัดหมี่กลิ่นหอมกรุ่นตาโต “นี่คือ?”
เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “วันนี้หนูบังเอิญได้เจอคนดี เขาไม่เพียงช่วยหนูตามหาน้องชายจนเจอ ก่อนกลับเห็นหนูกับน้องน่าสงสารเลยให้เส้นหมี่ขาวกับแฮมมาค่ะ แล้วก็ให้กระติกน้ำร้อนมาด้วย”
เอ่ยจบเธอหันไปมองน้องชาย น้องชายนั่งอยู่หน้าเตาไฟกำลังมองเธอที่กำลังพูดโกหกตาปริบๆ ใบหน้าเซี่ยโม่ร้อนผ่าวขึ้นมาทันที
คุณยายพึมพำกับตัวเองว่า “ซิ่วหลาน ลูกกำลังปกป้องพวกเราอยู่ใช่ไหม ถึงได้ดลบันดาลให้โม่โม่ได้เจอคนที่ใจดีแบบนี้”
ส่วนคุณตา ไม่รู้ว่าเป็เพราะเห็นด้วยกับสิ่งที่คุณยายพูดมา หรือไม่อยากเปิดโปงหลานสาวกันแน่ถึงได้ไม่เอ่ยคำใด เพียงแค่กำชับว่า “โม่โม่ หลานต้องจำน้ำใจที่เขามอบให้ครั้งนี้เอาไว้นะ วันหลังหากมีโอกาสอย่าลืมตอบแทนเขาละ”
ต่อหน้าคุณตาคุณยายเธอแค่เออออตามก็พอ
เธอพยักหน้า “หนูต้องตอบแทนเขาแน่นอนค่ะ!”
เธอยกถ้วยผัดหมี่ไปวางไว้เบื้องหน้าคุณตาคุณยาย รวมถึงเธอและน้องชายด้วย ก่อนทุกคนจะเริ่มลงมือรับประทาน
คุณยายรับประทานพร้อมกับเอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า “นานแล้วที่ไม่ได้กินผัดหมี่ อร่อยเหลือเกิน เนื้อแฮมก็หอมมาก”
คุณตาซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างแอบคีบเนื้อแฮมใส่ในถ้วยของภรรยาคู่ชีวิต
คุณยายรีบบอก “ตาแก่ แกกินเถอะ”
แต่คุณตาเอ่ยอย่างดื้อรั้นว่า “แกกำลังป่วย ต้องกินให้มันเยอะๆ”
เห็นทั้งคู่ต่างเกี่ยงให้แฮมกันไปมา เธอแสบจมูกด้วยความปวดใจ รู้ดีว่าพวกท่านรักกันมาก
ภายในโกดังสินค้าที่ตามเธอกลับมาเกิดใหม่มีเนื้อเก็บเอาไว้มากมาย อยากกินมากแค่ไหนล้วนได้ทั้งสิ้น แค่ต้องหาข้ออ้างที่สมเหตุสมผลมารองรับเท่านั้น
คิดได้ดังนั้นเธอเลยลองหยั่งเชิงว่า “คุณยาย คนดีที่หนูได้พบวันนี้ เขาเก่งมากเลยค่ะ เขาบอกว่าถ้าอยากได้อาหารอะไรให้ไปหาเขา”
คุณตานิ่งเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยคำ “โม่โม่ เกิดเป็คนจะโลภมากไม่ได้ คนเขาช่วยเราแล้วครั้งหนึ่ง ไม่มีเหตุผลต้องช่วยเราเป็ครั้งที่สองครั้งที่สามอีก”
เหตุผลนี้ใช้ไม่ได้!
เธอกล่าวต่อ “คุณตาคะ ตอนนี้หนูปิดเทอม งั้นหนูขึ้นเขาไปหาสมุนไพร เอาไปขายเพื่อแลกเงินได้ใช่ไหมคะ”
คุณตาพยักหน้า “เก็บสมุนไพรไปขายได้ แต่อย่าขึ้นเขาไปลึกล่ะ”
“ค่ะ”
ผู้เป็ยายช่วยพูดแทนหลานสาว “โม่โม่เป็เด็กรู้ความ เก็บสมุนไพรไปขายเพื่อนำเงินไปซื้อยาให้ฉัน พอกินเข้าไปแล้วฉันรู้สึกดีขึ้นมาก อีกเดี๋ยวแกจะไปบ้านตระกูลเซี่ยใช่ไหม งั้นฉันไปด้วย”
หากคุณตาไม่ยอม “ยายแก่ แกอยู่บ้านพักผ่อนเถอะ หายดีเมื่อไรยังต้องคอยดูแลหลานๆ อีก”
คุณยายคิดตามก่อนจะพยักหน้า “ก็ได้”
เซี่ยโม่เอ่ยขึ้นด้วยความเป็ห่วง “คุณตา ขาหายเจ็บแล้วเหรอคะ เอาแบบนี้ดีไหมคะ พรุ่งนี้พวกเราค่อยไปกัน”
“หลานไม่ต้องเป็ห่วง เมื่อกี้ตาได้แช่น้ำอุ่น รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว”
เธอได้ฟังเช่นนั้นก็รู้สึกโล่งใจ จากนั้นจึงหันไปหาน้องชาย “เฉินเฟิง เราก็อยู่ที่นี่แหละ ไม่ต้องไปด้วย”
เซี่ยเฉินเฟิงหดคอพร้อมกับพยักหน้า เขาไม่อยากไปเจอแม่เลี้ยงจอมดุเช่นกัน “ครับ ผมจะอยู่เป็เพื่อนคุณยายที่นี่เอง”
ครึ่งชั่วโมงต่อมา เซี่ยโม่พยุงคุณตามาถึงหน้าบ้านของผู้ใหญ่บ้านซึ่งแซ่เซี่ยเช่นกัน
คนในหมู่บ้านส่วนใหญ่ล้วนแซ่เซี่ย ผู้ใหญ่บ้านคนนี้นอกจากจะเป็ผู้ใหญ่บ้านแล้ว ยังเป็ผู้นำตระกูลเซี่ยด้วย
แม้จะไม่ใช่ผู้นำตระกูลเซี่ยอย่างเป็ทางการ ทว่าทุกคนในตระกูลล้วนเชื่อฟังผู้นำคนนี้มาก หากผู้นำตระกูลพูดว่าหนึ่ง ไม่มีใครกล้าพูดว่าสอง
ระหว่างทางที่มา เซี่ยโม่ปรึกษากับคุณตามาตลอดทางว่า จะเล่าเื่ที่เกิดขึ้นให้แก่ผู้ใหญ่บ้านทราบเสียก่อน หากมีแรงสนับสนุนจากผู้ใหญ่บ้าน เธอกับน้องก็สามารถย้ายทะเบียนบ้านได้อย่างราบรื่น
บ้านของผู้ใหญ่บ้านสร้างจากอิฐสีดำและกระเบื้อง โดดเด่นสุดในหมู่บ้าน แสดงให้เห็นถึงฐานะและอำนาจที่มีมากกว่าใคร
เซี่ยโม่ยืนเรียกอยู่หน้าบ้าน “คุณปู่คะ อยู่ไหมคะ”
ผู้ใหญ่บ้านได้ยินเสียงคนเรียกจึงเดินออกมา เป็ชายชราอายุประมาณห้าสิบปี ผมสีดอกเลา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น “โม่โม่มาหรือ เข้ามาก่อนสิ แล้วนั่นใครล่ะ”
“คุณปู่คะ นี่คือตาของหนู คุณตาคะ นี่คือผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านนี้ และเป็ผู้นำตระกูลเซี่ยด้วยค่ะ”
ผู้ใหญ่บ้านรู้สึกมึนงง บุตรสาวของชายแก่ผู้นี้เสียชีวิตไปหลายปีแล้วไม่ใช่หรือ แล้วอีกฝ่ายมาที่นี่ทำไมกัน
“เข้ามานั่งข้างในก่อนสิ มีธุระอะไรงั้นหรือ”
เซี่ยโม่รับหน้าที่เล่าเื่ทั้งหมดที่เกิดขึ้น “คุณปู่ คือเื่เป็แบบนี้ค่ะ ั้แ่แม่เลี้ยงแต่งเข้ามาก็รังแกน้องชายของหนู…”
ผู้ใหญ่บ้านขมวดคิ้ว เอ่ยขัดขึ้นมาว่า “หลานนี่ยังไง ไม่กี่วันก่อนหลานยังบอกกับปู่อยู่เลยว่าแม่เลี้ยงดีกับเรามาก ทำไมวันนี้ถึงมาบอกว่ารังแกน้องชายเราบ่อยๆ แล้วล่ะ”
ใบหน้าร้อนผ่าวเหมือนถูกตบก็ไม่ปาน ชาติที่แล้วทำไมเธอถึงได้โง่งมเช่นนี้นะ
เธอตอบอย่างประดักประเดิดว่า “คุณปู่ เป็หนูที่เข้าใจผิดไปว่าแม่เลี้ยงดูแลน้องชายหนูอย่างดีมาตลอด คุณปู่ดูรองเท้าของน้องชายหนูสิคะ แม่เลี้ยงชอบทำเป็บ่นว่าน้องชายให้หนูฟังบ่อยๆ ว่าน้องชายใช้รองเท้าเปลือง ที่ไหนได้ ทั้งหมดแม่เลี้ยงแค่เล่นละครให้หนูดู”
เธอจะใช้สิ่งนี้แหละเป็หลักฐาน
เธอเก็บรองเท้าคู่เก่าของน้องชายไว้ในโกดังสินค้า ระหว่างที่พูดเธอล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเพื่อหยิบมันออกมา
เพียงแค่มองรองเท้าที่ยื่นมาเบื้องหน้า ก็รู้ทันทีว่าอะไรเป็อะไร ผู้ใหญ่บ้านสบถออกมาคำโต “หวางลี่ลี่คนนี้ทำเกินไปแล้ว ถึงกับกล้ารังแกหลานตระกูลเซี่ยเชียวหรือ!”
เธอเล่าต่อว่า “คุณปู่คะ วันนี้เขาก็ให้หลานชายพาน้องชายหนูไปทิ้งไว้บนรถไฟ หนูต้องตามไปถึงสถานีตำบลซิงหลงถึงจะหาเจอ หากหนูไม่รู้ข่าวแล้วรีบออกตามหา ไม่รู้ป่านนี้เฉินเฟิงจะต้องไปตกระกำลำบากอยู่ที่ไหน”
“มีเื่เช่นนี้ด้วย?” ผู้ใหญ่บ้านโกรธจนคิ้วกระตุก
“เฉินเฟิงถูกหลานชายของแม่เลี้ยงพาไปทิ้งไว้ไปบนรถไฟ ถ้าคุณปู่ไม่เชื่อ ไปถามเ้าหน้าที่ซ่งมู่ไป๋ที่ทำงานอยู่สถานีรถไฟก็ได้ค่ะ เขาเป็คนช่วยหนูตามหาน้องชาย”
ผู้นำตระกูลเซี่ยตบโต๊ะเสียงดังด้วยความโมโห “แบบนี้มันใช้ไม่ได้! ปู่จะไปหาเซี่ยฟู่กุ้ยเดี๋ยวนี้ ไปถามสิว่าดูแลเมียมันยังไง ถึงได้ปล่อยให้ทำเื่แบบนี้ออกมาได้!”
เซี่ยฟู่กุ้ยก็คือบิดาของเธอเอง
เธอแกล้งทำเป็เอ่ยรั้ง “คุณปู่คะ อย่างไรพวกเราก็ตระกูลเซี่ยเหมือนกัน หนูไม่อยากทำให้คุณพ่อต้องเสียหน้า”
ผู้ใหญ่บ้านมองหลานสาวซึ่งตัวผอมบางจนแทบจะปลิวไปตามลม ใบหน้าพลันเคร่งขรึมลงหลายส่วน แม่เลี้ยงทำกับน้องชายตัวเองถึงขนาดนี้ หลานสาวยังมีแก่ใจคิดถึงหน้าบิดา
ไม่เพียงคิดถึงหน้าตาของบิดา ยังคิดถึงหน้าตาของตระกูลเซี่ยอีกด้วย
ถึงว่าก่อนหน้านี้ทำไมหลานสาวถึงเอาแต่พูดถึงแม่เลี้ยงในแง่ดี ที่แท้เพราะเก็บความเจ็บช้ำน้ำใจเอาไว้ในท้องนี่เอง ผู้ใหญ่บ้านมองเื่นี้ออกอย่างทะลุปรุโปร่ง
คิดได้ดังนั้นแววตาที่มองหลานสาวเต็มไปด้วยความชื่นชม
น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาจึงอ่อนลงหลายส่วน “โม่โม่ ความหมายของหลานคือ?”
เธอเอ่ยออกมาว่า “ั้แ่แม่เลี้ยงแต่งเข้ามา คุณตาคุณยายเคยไปหาคุณพ่อที่บ้านครั้งหนึ่ง ท่านทั้งสองอยากรับหนูกับน้องไปเลี้ยงดูเอง เพราะกลัวว่าพวกหนูจะไปกระทบความรู้สึกของคุณพ่อกับแม่เลี้ยง แต่กลายเป็ถูกคุณพ่อต่อว่าจนคุณตาคุณยายต้องหัวเสียกลับไป คุณพ่อบอกว่าลูกหลานตระกูลเซี่ยจะไปอยู่ที่อื่นได้ยังไง”
คุณตาพยักหน้า “ใช่ ตอนนั้นฉันกับยายแก่โกรธแล้วก็เสียใจมาก”
ผู้ใหญ่บ้านเองก็เคยได้ยินเื่นี้เช่นกัน
เธอพูดต่อ “ในเมื่อวันนี้เกิดเื่แบบนี้ขึ้น หนูทนต่อไปไม่ไหวแล้ว อย่างไรเสียคุณพ่อกับแม่เลี้ยงก็มีลูกด้วยกันใหม่แล้ว หนูกับน้องเลยไม่อยากอยู่ในบ้านให้ขัดหูขัดตาพวกท่านอีกต่อไป หนูอยากไปอยู่กับคุณตาคุณยาย หวังว่าคุณปู่จะช่วยหนูนะคะ”