“เหลวไหล ใครขโมยกระเป๋าแก...”
ชายหนุ่มร้องโอดครวญอยู่บนพื้น ใครมันอยากจะขโมยกระเป๋าเงินของผียากจนตัวนี้กันเล่า เขาไม่ได้รับแม้แต่เงินบรรณาการที่หลี่เฟิ่งเหมยมอบให้ด้วยซ้ำ เพราะกลัวว่าจะทำงานไม่สำเร็จโดยมีปัญหาอื่นเพิ่มเติมตามมา
ชายหนุ่มยืนกรานไม่ยอมรับ ทว่าพอเ้าหน้าที่จากสถานีตำรวจค้นตัวก็เจอกระเป๋าเงินสองใบจากตัวเขาจริงๆ
ใบหนึ่งคือของชายหนุ่มเอง อีกใบหนึ่งคือของหลี่ต้งเหลียง ในกระเป๋าเงินมีจดหมายแนะนำของหลี่ต้งเหลียง หลี่ต้งเหลียงมีท่าทางซื่อตรงอ่อนน้อม ว่ากันด้วยเหตุผลคำพูดของเขาน่าจะเป็ความจริง จั๋วเว่ยผิงกลับรู้สึกว่ามีจุดที่แปลกประหลาดทีเดียว
ชนจนล้มจะทำคนเป็สภาพนี้ได้ที่ไหน?
ถึงอย่างไรจั๋วเว่ยผิงก็ต้องพาพวกเขากลับสถานีตำรวจอยู่ดี ตอนถึงคราวของเก่อเจี้ยน เก่อเจี้ยนยืนยันว่าตนเองไม่ได้ทำอะไรเลย
“ผมแค่มาเก็บกระเป๋าแทนศิษย์พี่ ผมไม่ได้ทำร้ายพวกเขาจริงๆ นะครับ”
จะเข้าโรงพักทั้งสองคนไม่ได้เด็ดขาด ต้องเหลือหนึ่งคนที่เคลื่อนไหวอย่างอิสระไว้เสมอ และคอยปกป้องคุณผู้หญิงเซี่ยอยู่ข้างนอก จำเป็ต้องกล่าวว่าแม้หลี่ต้งเหลียงกับเก่อเจี้ยนทำหน้าที่คนคุ้มกันให้ผู้อื่นได้ไม่นานนัก แถมยังเป็งานพิเศษอีกด้วย ทว่าทั้งสองคนมีคุณสมบัติอันพึงประสงค์ของคนคุ้มกันแล้ว คำนึงถึงผู้ว่าจ้างตลอดเวลา วางผลประโยชน์และความปลอดภัยของนายจ้างไว้อันดับหนึ่ง งานนี้จึงไม่หลุดมือไป
ทั้งสองถูกสถานีตำรวจจับไปก็ไม่มีปัญหา กระนั้นใครจะมาปกป้อง ‘คุณผู้หญิงเซี่ย’ เล่า?
จั๋วเว่ยผิงมองเก่อเจี้ยน
สองคนนี้ต่างไม่ใช่คนในพื้นที่ซางตู ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องอะไรกับหลานเฟิ่งหวง แน่นอนว่าจั๋วเว่ยผิงยืนหยัดข้างหลานเฟิ่งหวง ไม่ใช่เพราะเห็นแก่หัวหน้าหยาง แต่เพราะเ้าหน้าที่จั๋วเห็นใจเซี่ยเสี่ยวหลานต่างหาก ขนาดหลี่ต้งเหลียงจะถูกพาตัวไปด้วยกัน เก่อเจี้ยนไม่กระวนกระวายแม้แต่น้อย คนอื่นพากันร่ำร้องคร่ำครวญว่าเก่อเจี้ยนเองก็ทำร้ายพวกเขาเหมือนกัน คนจากสถานีตำรวจฟังแต่ไม่นำพา ปล่อยเก่อเจี้ยนไว้เพียงผู้เดียว
“เขาโดนทางสถานีจับไปแล้ว จะทำอย่างไรดีเล่า?”
หลี่เฟิ่งเหมยเคยเข้าสถานีตำรวจ ครั้งก่อนทำเอาขวัญเสียเลยจริงๆ สถานีตำรวจคือสถานที่ที่คนปกติไม่ควรไป แม้เ้าหน้าที่จั๋วจะยุติธรรมมาก แต่เ้าหน้าที่จั๋วมีอำนาจตัดสินใจหรือ?
หลี่เฟิ่งเหมยไม่ทราบ การที่หัวหน้าหยางตัดริบบิ้นให้หลานเฟิ่งหวงนั้นหมายความว่าอะไร
เก่อเจี้ยนกลับมั่นใจในฝีมือศิษย์พี่หลี่ต้งเหลียงของเขา พวกเขาสองคนไม่คุ้นเคยกับต่างแดน หากจะแสดงความจงรักภักดี ก็ต้องไม่สร้างปัญหาให้แก่ผู้ว่าจ้าง
“คุณอย่ากังวลเลยครับ พวกเขาเจ็บตัวก็จริง แต่รับประกันได้ว่าไม่เจอาแแม้แต่น้อยแน่นอนครับ”
พวกเขาทั้งสองเรียนรู้วิชาจากสำนักศิลปะการต่อสู้ตระกูลไป๋ ตอนนั้นเก่อเจี้ยนกับหลี่ต้งเหลียงถือว่าเป็สานุศิษย์หลัก แม้พร์ไม่ทัดเทียมไป๋จื้อหย่ง ทว่าหากควบคุมกระทั่งระดับความรุนแรงในการต่อสู้ได้ไม่ดี อาจารย์ของพวกเขาอาจโกรธจนฟื้นคืนชีพขึ้นมาก็เป็ได้
เวลาซ้อมชกลมจะคั่นด้วยหนังวัวหนึ่งชั้น หนังวัวไม่เสียหาย แต่เนื้อหมูที่ใส่ไว้ด้านในถูกชกจนแหลกเละได้เลยทีเดียว เริ่มแรกใช้หนังวัวบรรจุเนื้อหมู ต่อมาเปลี่ยนแผ่นหนังให้บางลงเรื่อยๆ ระดับความยากก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น... จะบอกว่าคนจนเรียนหนังสือคนรวยเรียนต่อสู้ก็ได้ [1] ผู้คนในตอนนั้นยังกินไม่อิ่มท้องด้วยซ้ำ คนอื่นเรียนวิชาโดยการใช้กระสอบทราย สำนักตระกูลไป๋กลับใช้เนื้อหมูมาฝึกซ้อมชกลม ช่างฟุ่มเฟือยเหลือเกิน และฝึกหมัดได้ยากมากเช่นกัน
ภายหลังสำนักปิดตัวลง นอกจากมีปัจจัยสภาพแวดล้อมทางสังคมไม่เอื้ออำนวย ยิ่งกว่านั้นคือความยากลำบากทางการเงิน
หลี่เฟิ่งเหมยยังคงกังวลแม้ได้ฟังคำรับประกันของเก่อเจี้ยน จึงให้หลิวเฟินดูร้าน ส่วนตัวเธอวิ่งไปสถานีตำรวจเพื่อสอบถามเื่ราว กลัวหรือไม่ที่จะเข้าสถานีตำรวจอีกหน? หลี่เฟิ่งเหมยย่อมกลัวแทบสิ้นใจ เมื่อเดินเฉียดสถานที่นั้นจะประหวั่นพรั่นพรึง ปมในจิตใจยังไม่สลายหายไป
แต่ไม่ไปได้หรือ หลี่ต้งเหลียงถูกจับเพราะขับไล่พวกอันธพาลให้ร้านของเธอนี่นา
เก่อเจี้ยนไม่รีบร้อน หลังจากทราบว่าหลิวเฟินที่อยู่ดูแลร้านเสื้อผ้าคือมารดาของ ‘คุณผู้หญิงเซี่ย’ เขาแค่เฝ้าอยู่ข้างร้าน ไม่กระทบต่อการค้าขายของร้านแม้แต่น้อย อีกทั้งยังคุ้มกันหลิวเฟินได้ พอมาก็เจอพวกหาเื่ทันที สถานการณ์ตึงเครียดขนาดนี้ ไม่แปลกใจที่คุณผู้หญิงเซี่ยต้องส่งโทรเลขแจ้งให้พวกเขามาถึงซางตูก่อนเวลา
หลิวฟางพาเหลียงฮวนย่องออกจากห้างสรรพสินค้า
หลี่เฟิ่งเหมยจากไป ในร้านเหลือเพียงหลิวเฟินกับหม่าเวย หลิวฟางอยากบี้ลูกพลับนิ่มยิ่งนัก อย่างอื่นเอาไว้ก่อน ต้องให้หลิวเฟินคืนเงินหนึ่งหมื่นหยวนของเธอมา คุณธรรมสูงส่งนักมิใช่หรือ ในเมื่อไม่เห็นชอบกับการแต่งงาน จะรับเงินเธอไว้เพื่ออะไร?
“ไม่อนุญาตให้พูดเื่อื่นนะ อีกเดี๋ยวสนใจแค่ทวงเงินจากป้าลูกเท่านั้น”
หลิวฟางกลัวว่าเหลียงฮวนจะหลุดปาก เหลียงฮวนรับปากซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ทวงเงินป้าเท่านั้น เื่อื่นฉันจะไม่พูดถึงอะไรทั้งสิ้น!”
ป้าสะใภ้แสร้งว่าเอ็นดูเธอ ส่วนป้ารองก็เป็แม่แท้ๆ ของเซี่ยเสี่ยวหลาน ย่อมเข้าข้างเซี่ยเสี่ยวหลานแน่นอน เหลียงฮวนเข้าใจสถานการณ์เป็อย่างดี เพียงเพราะมีเซี่ยเสี่ยวหลานอยู่ ต่อให้ร้านเสื้อผ้าของป้าสะใภ้ใหญ่โตขนาดไหน ก็ไม่เกี่ยวกับเธอโดยสิ้นเชิง... อีกอย่างถ้ามีเงิน 1 หมื่นหยวน ซื้อเสื้อผ้าจากที่อื่นได้ตั้งเท่าไร เหลียงฮวนไม่ให้ค่าเสื้อผ้าใน ‘หลานเฟิ่งหวง’ อีกแล้ว สถานที่นี้ทำให้เธออับอายขายหน้า!
หลิวฟางพาลูกสาวเดินเข้าไปในร้าน
เก่อเจี้ยนเห็นผู้หญิงสองคนก็ไม่ได้ใส่ใจ เขาและหลี่ต้งเหลียงเพิ่งมาถึงซางตู ต่างไม่รับรู้ความรู้สึกขุ่นข้องหมองใจระหว่างเซี่ยเสี่ยวหลานกับญาติ จะนึกถึงที่ไหนว่าญาติพี่น้องของเซี่ยเสี่ยวหลานจะเป็พวกน่ารำคาญเกือบทั้งหมด?
ความอันตรายของผู้หญิงสองคนไม่ได้มากมายเสียด้วย!
หลิวฟางเดินเข้าร้านเสร็จก็โยนกระเป๋าลงบนโต๊ะเก็บเงิน
“พี่รอง ธุรกิจเฟื่องฟูดีนี่ เหมือนบ้านฉันจะทำเงินหนึ่งหมื่นหยวนตกไว้กับพี่ พี่เอาเงินมาหรือเปล่า? ถ้าไม่ได้เอามา ก็กลับบ้านไปเอาตอนนี้เสีย พอดีฉันรีบใช้นะ”
หลิวฟางยังกล้ามาอีกหรือ
หลิวเฟินคือคนซื่อรังแกง่าย กลับโมโหหลิวฟางอย่างไม่เคยเป็มาก่อน คนตระกูลเซี่ยทำเกินไป แต่คนตระกูลเซี่ยก็ทำเกินไปแบบนั้นเสมอมา หลิวเฟินไม่เคยมีความคาดหวังใดต่อคนพวกนั้น เดิมทีเธอสมรสเข้าตระกูลเซี่ย ในเมื่อคนตระกูลเซี่ยเห็นเธอเป็คนนอก เธอเพียงไม่ปฏิบัติกับคนตระกูลเซี่ยเป็ญาติพี่น้องก็พอ! หย่าร้างแล้วก็สามารถตัดความสัมพันธ์ทั้งหมดได้ คนอื่นไม่รู้หรอกว่าเธอผ่อนคลายสบายใจแค่ไหน
แต่หลิวฟางไม่เหมือนกันน่ะสิ เป็น้องสาวร่วมบิดามารดาของเธอ เป็น้องสาวของเธอ ในกายของทั้งสองไหลเวียนด้วยโลหิตเดียวกัน!
ถ้าคนที่หลิวฟางจะรังแกคือเธอ หลิวเฟินอย่างมากก็แค่โกรธเคือง หลังจากนั้นจะให้อภัยน้องสาว
ทว่าหลิวฟางจะผลักลูกสาวของเธอลงนรก หลิวเฟินมิอาจให้อภัยได้ เศษอาหารหนึ่งถังยังไล่ไปไม่ได้ หลิวฟางมาทวงเงินถึงที่ หลิวเฟินเป็คนประเภทติดค้างเงินผู้อื่นเพียงหนึ่งเหมายังละอาย นับประสาอะไรกับซุกซ่อน 1 หมื่นหยวนของบ้านเหลียงไว้—แต่เซี่ยเสี่ยวหลานบอกว่าไม่ต้องคืนเงินส่วนนี้ หลิวเฟินจึงไม่มีทางยอมรับ
เธอนึกถึงคำพูดที่ย่าอวี๋สอน เลยถามหลิวฟางกลับไป
“เงินของเธอจะอยู่กับฉันได้อย่างไร?”
หลิวฟางแสยะยิ้ม “พี่รอง พี่อย่าแกล้งโง่ ฉันเห็นแก่ความเป็พี่น้องนะ ถึงไม่ได้แจ้งความว่าลูกสาวพี่ขโมยเงิน”
“ป้า นั่นเป็ค่าเล่าเรียนที่แม่เก็บไว้ให้ฉัน ป้าคืนให้พวกเราเถอะ”
สองแม่ลูกร้องรับเข้ากันดี ทำเอาหม่าเวยสับสนไปหมดแล้ว
ไม่ได้ การทวงเงินจะมาทวงที่ร้านได้อย่างไร หม่าเวยเคยรับการฝึกอบรมพนักงานเบื้องต้น รู้ดีว่าจะปล่อยให้คนอื่นหาก่อกวนในร้านไม่ได้ เก่อเจี้ยนเดินเตร่หน้าร้านสองรอบ ได้ยินก็รู้สึกว่าไม่ค่อยปกตินัก จึงกวักมือเรียกหม่าเวยเพื่อถามไถ่
“สองคนนี้มาเพื่อก่อเื่หรือ?”
หม่าเวยพยักหน้าเสร็จแล้วส่ายหน้าแทน “เป็ญาติของเถ้าแก่น่ะค่ะ มาทวงเงินคุณน้าหลิว”
เก่อเจี้ยนไม่สนว่าอีกฝ่ายมาเพื่ออะไร ตราบใดที่รู้ว่าไม่ถูกกับหลิวเฟิน เช่นนั้นก็จำเป็ต้องจัดการเสียหน่อย ยังไม่ทันถึงคราวที่เก่อเจี้ยนจะแสดงตัว ชายหนุ่มคนหนึ่งก็เดินเข้ามา เขาหน้าตาโดดเด่นเหลือเกิน ท่าทางการเดินดูสบาย ทว่ากำลังเตรียมแรงพร้อมออกลวดลายแน่นอน
นี่คือสภาวะที่พร้อมประจัญหน้าทุกเวลา
หรือที่แท้นี่คือบุคคลที่พวกเขามาซางตูเพื่อจัดการ?
เก่อเจี้ยนลอบระวังอยู่ในใจ อีกฝ่ายกลับมีความคิดแบบเดียวกัน ไม่ได้ จะลงมือหน้าร้านไม่ได้
โจวเฉิงจดจ้องเก่อเจี้ยน แววตาของทั้งสองกำลังฟาดฟันต่อกันโดยไร้เสียง
โจวเฉิงพาตนเองเดินเข้าร้าน “น้าหลิว มีคุณน้าอยู่คนเดียวหรือ ตอนเที่ยงผมพาคุณน้ากับคุณป้าไปกินข้าวด้วยกันดีไหมครับ?”
เชิงอรรถ
[1]穷文富武 คนจนเรียนหนังสือคนรวยเรียนต่อสู้ มีที่มาจากในสมัยก่อน การร่ำเรียนวิชาการจะไม่ได้มีค่าใช้จ่ายมาก คนจนจึงเลือกเรียนทางวิชาการเพื่อหาโอกาสหลุดพ้นจากความยากจน ในขณะที่การร่ำเรียนศิลปะการต่อสู้ต้องใช้เงินค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็ค่าไหว้ครู ค่าอาวุธ ค่าอาหารสำหรับบำรุงร่างกาย คนรวยมักเรียนศิลปะการต่อสู้ไว้ปกป้องตนเอง จึงกลายเป็ปรากฏการณ์ที่คนจนเลือกเรียนวิชาการ และคนรวยเรียนศิลปะการต่อสู้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้