เมื่อจิตปีศาจเข้ามาประชิดตัวหลัวเลี่ยได้แล้ว ความไม่สงบใจก็พุ่งเข้ามาภายในใจของเขา
ในขณะที่ความกังวลยังไม่หายไป จู่ๆ หมอกสีดำที่เหมือนหัวกะโหลกก็รวมตัวกันและควบแน่นกลายเป็ของเหลว
ในตอนนั้นเองราวกับว่าทุกอย่างหยุดชะงักไปชั่วขณะ
ัที่อยู่รอบๆ กายหลัวเลี่ยยังคงตั้งท่าโจมตี พวกมันแยกเขี้ยวและกางกรงเล็บออกมา ดูดุร้ายและน่าสะพรึงกลัวเป็อย่างยิ่ง
ผู้คนที่อยู่บนูเาัทมิฬยังคงส่งเสียงะโและชูแขนขึ้น
แต่สิ่งที่เรียกว่าของเหลวที่อยู่ด้านหน้าของหลัวเลี่ยดูเหมือนจะพัฒนากลายเป็แม่น้ำโบราณสายหนึ่ง
แม่น้ำสายนี้ไหลเชี่ยว น่ากลัว และแปลกประหลาด มีกระดูกเป็คลื่น และเสียงคำรามดุร้ายดังมาจากข้างในนั้น มีิญญาที่ยังคงดิ้นรนอยู่ตลอดเวลาในแม่น้ำที่ปั่นป่วน ิญญาพวกนั้นชูมือโผล่พ้นน้ำคล้ายขอความช่วยเหลือ พวกมันร้องเสียงแหลม ทำเอาคนที่ได้ยินพากันสะดุ้ง
เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้หลัวเลี่ยรู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมาในทันที จิตใจของเขาจมดิ่งลง
ในที่สุดเขาก็ตระหนักว่าเขาประเมินจิตปีศาจนี้ต่ำเกินไป
บางทีลำพังจิตปีศาจอาจไม่แข็งแกร่งนัก แต่ด้วยความที่หุบเขาสุสานันั้นคงอยู่มานานเกินไป จึงทำให้สามารถคาดเดาได้ว่าจิตปีศาจที่สั่งสมมาเป็เวลานานนั้นจะน่ากลัวมากเพียงใด?
หลังจากสะสมพลังมานานหลายปี บางทีภายใต้สถานการณ์ปกติหากไม่มีสิ่งมากระตุ้น มันก็คงไม่ทำให้เกิดความรุนแรงถึงขนาดนี้
เมื่อัพวกนี้ก่อการจลาจล พวกมันก็จะปลดปล่อยจิตปีศาจที่สะสมไว้ทั้งหมดออกมา
หรืออาจจะมองว่าสิ่งที่เรียกว่าการจลาจลของัคือการปลดปล่อยจิตปีศาจทั้งหมดออกมาและทำการล้างทุกสิ่งใหม่ ซึ่งเป็การทำให้ัทั้งหมดสูญเสียความเป็ไปได้ในการสลัดจิตปีศาจออกไป
เช่นนั้นการจลาจลก็คือหนึ่งในเหตุผลหลักสำหรับการดำรงอยู่ของหุบเขาสุสานั
นี่คือความคิดที่คนอื่นมองคลื่นน้ำ แต่ในสายตาของหลัวเลี่ยสิ่งนี้คือสายน้ำแห่งความมืดมิดที่มีมาั้แ่สมัยโบราณ
มีร่างหนึ่งปรากฏท่ามกลางคลื่นน้ำ และการเคลื่อนไหวของกระดูกในน้ำราวกับการผสมผสานที่ไม่เหมือนใครระหว่างมนุษย์กับั ในขณะเดียวกันร่างที่น่าเกรงขามนี้ก็ชี้นิ้วกวาดไปทาง์และโลก เขาดูคล้ายกับาาปีศาจที่ทรงพลัง เมื่อเขาเลื่อนนิ้ว โลกใต้พิภพก็เกิดการปั่นป่วน คลื่นในแม่น้ำก็ปั่นป่วน ทั่วท้องฟ้าก็ปั่นป่วน บรรยากาศเปลี่ยนแปลงทันทีราวกับปีศาจตนนี้ตั้งใจจะโจมตีหลัวเลี่ยโดยตรง
หลัวเลี่ยผู้รักษาสมดุลหยินหยางที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลกตระหนักได้ว่ามันสายเกินไปแล้ว
เขาไม่รู้ว่าจะหยุดได้หรือไม่เพราะอีกฝ่ายลงมือรวดเร็วเกินไป
ไอพลังปีศาจบางๆ กระทบเข้ากับใบหน้าของเขา มันซึมลงเข้าไปในิัของเขาทันที จากนั้นมันก็ส่งผลกระทบต่อจิตสำนึกของเขาด้วยความรวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์
มันทำเช่นนี้เพื่อลบล้างจิตสำนึกของเขาและทำให้เขากลายเป็ปีศาจที่กระหายเื
่เวลาต่อมาจิตสำนึกของหลัวเลี่ยก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ความเงียบสงบที่มีมาแต่เดิมถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ กลับกลายเป็ปีศาจตัวใหญ่ที่อยู่ท่ามกลางปีศาจตัวน้อย
เห็นได้ชัดว่าปีศาจตัวใหญ่นี้คือหลัวเลี่ย
หลัวเลี่ยที่จิตใจดีได้กลายเป็ปีศาจที่ดุร้ายแล้ว
"แย่แล้ว!"
หยางเสี้ยวเสียและคนอื่นๆ ที่อยู่บนูเาัทมิฬซึ่งกำลังเฝ้ามองหลัวเลี่ยอยู่จากระยะไกลคล้ายจะตัวแข็งทื่อไปเสียแล้ว
พวกเขาเห็นได้อย่างชัดเจนว่าผมของหลัวเลี่ยกลายเป็สีดำราวกับน้ำหมึก และแต่ละเส้นก็ปล่อยไอพลังปีศาจออกมา เขากำลังจะกลายเป็ปีศาจ ดวงตาทั้งสองของเขาก็เต็มไปด้วยเส้นเื เขาดูโเี้มาก
จิตสำนึกของหลัวเลี่ยก็ไม่สงบเช่นกัน
เขาได้ยินเพียงเสียงกรีดร้องที่ดังก้องอยู่ภายในหู เสียงร่ำไห้ของิญญาผู้บริสุทธิ์ เสียงกรีดร้องของิญญาที่ดุร้าย และเสียงความคิดชั่วร้ายที่น่าสะพรึงกลัวราวกับงูพิษกระหายเืที่หมายจะคร่าชีวิตและบดขยี้จิตใจของเขาอย่างบ้าคลั่ง อารมณ์ในเชิงลบ เช่นความร้ายกาจและความกระหายเืเริ่มเข้ามาครอบงำจิตสำนึกของหลัวเลี่ยอย่างรวดเร็ว มันพยายามเปลี่ยนเขาให้กลายเป็ปีศาจที่ไร้มนุษยธรรมอย่างสมบูรณ์
หลังจากที่ถูกกดดัน ในที่สุดจิตสำนึกส่วนดีก็สามารถรวมตัวกันเป็แสงสว่างท่ามกลางความสมดุลของหยินและหยางอย่างสมบูรณ์แบบ และปกป้องความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่หลงเหลืออยู่น้อยนิดให้คงอยู่เอาไว้ได้
หลัวเลี่ยตกอยู่ในภวังค์ บางครั้งเขากระหายเื และบางครั้งเขาก็จิตใจดี
ด้านขาวและด้านดำสลับกันไปมา
การที่หลัวเลี่ยแสดงออกว่าถูกความคิดชั่วร้ายเข้าครอบงำ ทำให้ัที่อยู่รอบๆ คิดว่าเป็พวกเดียวกันจึงไม่ได้โจมตีเขาอีก พวกมันเข้ามาล้อมรอบกายของหลัวเลี่ย และมองเขาอย่างโง่เขลาราวกับว่าพวกมันกำลังมองการกำเนิดของผู้สูงศักดิ์
ไม่มีใครรู้ว่าการสลับอารมณ์ไปมาระหว่างความโหดร้ายและความเมตตาอยู่ตลอดเวลานั้น เหมือนกับหินลับคมที่ช่วยฝึกฝนจิตใจและความอดทนของหลัวเลี่ย
ในขณะที่ความอดทนและความมีเมตตาของเขาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ร่องรอยของความคิดชั่วร้ายในใจของหลัวเลี่ยก็เริ่มลดลงอย่างเงียบๆ
เขายังคงได้ยินเสียงปีศาจคำรามดังมาตามสายลม ดวงตาของเขาเป็สีแดง และร่างกายเต็มไปด้วยไอพลังร้าย แต่เขาก็พยายามฝืนที่จะอาศัยความอดทนอันน่าทึ่งนั้นนั่งลงอย่างช้าๆ
“ในใจของข้ามีความทะเยอทะยานของัผู้ยิ่งใหญ่!”
“ในใจของข้ามีความทะเยอทะยานของเทพ!”
“ในใจของข้ามีความทะเยอทะยานในการก้าวข้ามระดับวรยุทธ์!”
“ความทะเยอทะยานดั่งสายน้ำที่สามารถชำระล้างทุกสิ่งให้สะอาด ความทะเยอทะยานดั่งไฟที่หล่อหลอมร่างกายของข้า ความทะเยอทะยานดั่งสายฟ้าที่ช่วยขัดเกลาจิตใจของข้า”
“เมื่อทุกสิ่งถูกชำระล้างแล้ว สิ่งชั่วร้ายก็จะไม่มากล้ำกราย!”
"หากกายและใจผ่องใส สิ่งชั่วร้ายทั้งหลายจะถอยหนี!"
ทันใดนั้นแสงแห่งความสมดุลของหยินหยางในจิตสำนึกของหลัวเลี่ยก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นมันก็ขับไล่ความคิดชั่วร้ายทั้งหมดออกไป ทำให้ความคิดที่ร้ายกาจเ่าั้สลายตัวหายไป นอกจากนี้ยังทำให้ความคิดของหลัวเลี่ยชัดเจนขึ้น ทำให้ร่างกายและจิตใจของเขาปลอดโปร่งมากขึ้น
ผมของเขาที่มีสีดำเหมือนน้ำหมึกยังคงไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่ไอพลังปีศาจทั้งหมดนั้นได้หายไปแล้ว
สีดำสนิทเปรียบเสมือนดาบคมที่ตัดความคิดชั่วร้ายทั้งหมดออกไป
ดวงตาสีแดงเข้มกลับคืนสู่สีที่แท้จริงซึ่งเป็สีขาวและสีดำ นอกจากนี้ในแววตายังสะท้อนถึงความเมตตาต่อโลกใบนี้อีกด้วย
ไอปีศาจที่อยู่รอบกายของหลัวเลี่ยไม่กล้าเข้าใกล้หลัวเลี่ยอีก มันพากันหลีกหนีเขาด้วยความหวาดกลัว ราวกับว่าหลัวเลี่ยคือตัวซวยของพวกมัน
หลัวเลี่ยแสดงทักษะวิชาหยินหยางออกมา
มันเป็การโจมตีที่ไม่ใช่ทักษะวรยุทธ์
ทันใดนั้นบริเวณปลายนิ้วของหลัวเลี่ยก็เปล่งแสงเจิดจ้าสว่างไสวไปหลายพันลี้
เขาหายใจออก จากนั้นก็เปล่งเสียงดังก้องกังวานไปไกล
“ข้ามีความทะเยอทะยานที่ยิ่งใหญ่อยู่ในใจ และความทะเยอทะยานของข้าก็เหมือนน้ำที่ชำระล้างทุกสิ่ง”
“ข้ามีความทะเยอทะยานของเทพอยู่ในใจ และความทะเยอทะยานของข้าก็เหมือนไฟที่แผดเผาร่างกายของข้า”
“ข้ามีความทะเยอทะยานที่จะก้าวข้ามระดับวรยุทธ์ต่างๆ และความทะเยอทะยานของข้าก็เหมือนสายฟ้าที่ช่วยขัดเกลาจิตใจของข้า”
“ข้ามีพลังมหาสรรพฟ้าดิน ข้ามีพลังแห่งความสมดุลของหยินและหยางที่มอบแสงสว่างให้แก่จิตใจ จนทำให้สิ่งชั่วร้ายไม่เข้ามารุกราน และทำให้สามารถหลีกเลี่ยงสิ่งชั่วร้ายทั้งปวง”
“สลายไป!”
ผนึกพลังหยินและหยางถูกผลักไปข้างหน้าอย่างนุ่มนวล
วิ้ง!
ความผ่องใสบริสุทธิ์สว่างเรืองรอง
หมอกดำแห่งความคิดชั่วร้ายสลายไปทำให้ทุกสิ่งสว่างไสว
ผู้คนบนูเาัทมิฬที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ต่างตกตะลึง พวกเขาไม่เคยได้ยินเลยว่าจะมีใครที่สามารถต่อต้านความคิดชั่วร้ายได้ หรือแม้ว่าจะมี คนคนนั้นก็ต้องเป็ผู้ที่อยู่ในระดับกายทองคำ และสามารถต้านพลังชั่วร้ายทั้งหมดได้
แต่หลัวเลี่ยอยู่ในระดับหยินหยางเท่านั้น
ถ้าไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองก็คงไม่เชื่อว่านี่คือเื่จริง
หวงอวี้องค์ชายแห่งแคว้นปิงเฟิงอุทานอย่างใขึ้นว่า “หรือว่าเขาจะสร้างเคล็ดวิชาทำลายพลังชั่วร้ายออกมาแล้ว?”
เมื่อทุกคนได้ยินคำนั้น พวกเขาต่างตกตะลึง
เหตุการณ์ของไก้อู๋ซวงก่อนหน้านี้อาจไม่มีใครเชื่อและคิดว่ามันเป็เื่ตลก
ทว่าสถานการณ์ในตอนนี้ได้แตกต่างออกไปแล้ว
หลัวเลี่ยได้สร้างเคล็ดวิชาฝึกอันดับหนึ่งของระดับวรยุทธ์ทั้งสามระดับที่ได้รับการยอมรับจากทุกคน และทำให้พวกเขาพลอยเข้าใจสัจธรรมไปด้วย แล้วจะนับประสาอะไรกับสิ่งนี้
"ไม่!"
ดวงตาทั้งสองข้างของหยางเสี้ยวเสียเป็ประกาย เขาพูดอย่างตื่นเต้นว่า "เคล็ดวิชาที่เขาใช้คือเคล็ดวิชาอันดับหนึ่งในพลังวรยุทธ์ทั้งสามระดับที่เขาสร้างขึ้นเอง นั่นก็คือเคล็ดวิชาเต๋านับอนันต์!"
"อะไรนะ? เคล็ดวิชาเต๋านับอนันต์? เป็วิธีที่ช่วยขับไล่พลังที่ชั่วร้ายออกไปหรือ?" หวงอวี้กล่าวด้วยความประหลาดใจ
หยางเสี้ยวเสียกล่าวว่า "จากมุมมองของข้า ลักษณะของมันเหมือนกับตอนที่การฝึกนี้ถูกสร้างขึ้นในจัตุรัสเหยียนหลง"
"เ้าพูดไม่ผิด นี่คือเคล็ดวิชาเต๋านับอนันต์"
ผู้คนหันหน้าไปมองตามเสียง และพบว่าเป็เสวี่ยปิงหนิงที่พูดออกมา
เสวี่ยปิงหนิงคุ้นเคยกับเคล็ดวิชาเต๋านับอนันต์มาก แต่เพราะว่านางเป็นักเวท ดังนั้นนางจึงฝึกฝนเคล็ดวิชานี้ไม่ได้
หวงอวี้กล่าวอย่างใว่า “สมกับที่เป็เคล็ดวิชาอันดับหนึ่งของพลังวรยุทธ์ทั้งสามระดับจริงๆ ไม่คิดว่ามันจะสามารถปกป้องเราจากพลังชั่วร้ายทั้งหมดได้ ปัญญาของท่านอ๋องเซี่ยหลัวเลี่ยนั้นไม่มีใครเทียบได้จริงๆ ในเมื่อเขาสามารถหลบหลีกความชั่วร้ายได้ แล้วใครจะขวางเขาได้อีกเล่า ยิ่งเมื่อกำหนดระยะเวลาภายในหนึ่งปีด้วยแล้วยิ่งดูเป็ไปไม่ได้”