ทันทีหวางฮวายเหล่ยจากไป อ๋าวหรานก็รีบสลัดท่าทางโง่เง่านั่นทิ้งไปทันที พวกจิ่งฝานก็ออกมาจากหลังฉากกันลมเช่นกัน
จิ่งเซียงยิ้มอย่างชั่วร้าย “เ้านี่หลอกคนได้เข้าทีอยู่เหมือนกันนี่”
อ๋าวหรานยิ้มตอบว่า “ชมเกินไปแล้ว ชมเกินไปแล้ว”
จิ่งเซียงครุ่นคิดพูดว่า “ตระกูลหวางคงไม่ใช่ว่าเป็พวกเดียวกันกับตระกูลทางหรอกนะ”
อ๋าวหรานพยักหน้า “คาดว่าตระกูลหวางคงได้ยินอะไรมาบ้าง เื่ร่วมมือกันนั้นคาดว่าคงจะอีกไม่นาน”
ในนิยายต้นฉบับ ผู้นำคนปัจจุบันของตระกูลหวาง ก็คือบิดาของหวางฮวายเหล่ย หวางชวน เป็คนมีความคิดซับซ้อน โเี้ บิดาของหวางชวนจากไปเร็ว ตอนเขาอายุสักสิบเจ็ดปีก็ได้สืบทอดตระกูลหวางแล้ว กลายเป็ผู้นำตระกูลหวางที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ตระกูลหวาง
ตระกูลหวางเป็ตระกูลใหญ่ สมาชิกมาก มีสายรองมากมาย คนที่หวังตำแหน่งผู้นำตระกูลนั้นก็มีมากจนนับไม่หวาดไม่ไหว หวางชวนเป็แค่เด็กหนุ่มอายุน้อย สำหรับพวกตระกูลหวางแล้ว เขาไม่สามารถรับภาระใหญ่ของตระกูลหวางได้
ในสายตาของคนตระกูลหวางพวกนั้น หวางชวนก็เป็แค่กระต่ายที่เปลือยคอรอให้คนมาเชือดก็เท่านั้น ส่วนพวกเขานั้นเป็เสือเป็หมาป่าที่ดื่มเืกินเนื้อ กำจัดเขาได้ภายในไม่กี่นาที
แต่ทว่าสิ่งที่ทำให้ทุกคนคาดไม่ถึงก็คือ ตอนที่หวางชวนเผชิญหน้ากับกลุ่มคนที่คิดจะกินเนื้อดื่มเืเขาได้ทุกเวลานั้น กลับไม่มีความกลัวเลยแม้แต่น้อย ไม่กลัวก็ช่างเถิด ทว่าเขากลับไม่ยอมจำนนต่อกลุ่มคนที่บิดาเขาเหลือไว้ให้ก่อนตาย อาศัยความเ้าเลห์และโหดร้ายของตนเองสู้กับพวกลุงๆ อาๆ ของเขาอย่างดุเดือดเืพล่าน
ปีที่หวางชวนอายุยี่สิบหกปีนั้นเขาจัดการ ท่านลุงใหญ่ของเขาได้สำเร็จ และถือเป็ศัตรูตัวฉกาจคนสุดท้ายของเขาแล้ว หลังจากนั้นก็นั่งอยู่ในตำแหน่งผู้นำตระกูลอย่างมั่นคงมาโดยตลอด ถึงแม้คนที่ไม่พอใจเขายังมีอีกมาก แต่คนที่กล้าเผชิญหน้ากับเขาตรงๆ นั้นมีเพียงไม่กี่คน
หลังจากหวางชวนดำรงตำแหน่งผู้นำตระกูลได้อย่างมั่นคงแล้วนั้น ก็แต่งท่านป้าของจิ่งฝาน จิ่งเหวินเยว่เข้าตระกูล ได้ดองกับตระกูลจิ่งตำแหน่งผู้นำตระกูลของหวางชวนก็ยิ่งมั่นคงขึ้น
อธิบายมาตั้งมากมายขนาดนี้ นั่นก็เพราะว่าหวางชวนคนนี้ถือเป็ตัวละครสำคัญเช่นกัน ดูจากทุกเื่ที่เขาผ่านมาก็พอจะรู้ได้แล้วว่าเขาไม่ใช่ตะเกียงแล้งน้ำมัน และเขาเองก็มีใจทะเยอทะยานเป็อย่างมาก ไม่พูดถึงการรวบรวมภาคตะวันตก ต้องบอกว่าเขาคิดไปถึงการเป็าาเพียงหนึ่งเดียวในโลกนี้ ให้คนทั้งแผ่นดินใหญ่กลายเป็ขุนนางที่นอบน้อมต่อเขาเพียงคนเดียว จุดมุ่งหมายนี้เรียกได้ว่าเหมือนกับตระกูลทางเลยทีเดียวเพียงแต่ว่าวิธีการนั้นต่างกัน
หวางชวนที่มีใจทะเยอทะยาน แน่นอนว่าก็ต้องลงมือแล้ว ทุกตระกูลบนแผ่นดินใหญ่นี้ขอแค่มีชื่อเสียงสักหน่อย ก็จะถูกเขาส่งคนเข้าไปสอดแนม แน่นอนว่าตระกูลทางเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น แต่ทว่าตระกูลทางหดหัวอยู่ในกระดองมาตลอด ทำเื่ชั่วร้ายอย่างลับๆ แผนเก็บความลับเองก็ดีเยี่ยม ส่วนหวางชวนเองก็ไม่สนใจพวกเขานัก สายลับที่ส่งเข้าไปสอดแนมก็เป็แค่คนที่ไม่ค่อยสำคัญ
ครั้งนี้ที่ตระกูลอ๋าวถูกล้างตระกูล พูดตามหลักแล้วคงไม่ลอยไปถึงหูของหวางชวน แต่บังเอิญเื่นี้ดันไปถูกสายลับคนนั้นได้ยินเข้า สายลับนั้นอยู่ในตระกูลทางมานาน ก็พอจะสังเกตได้ถึงความผิดปกติเล็กๆ น้อยๆ ของตระกูลทาง
สายลับคนนั้นจึงรายงานเื่ที่ตระกูลอ๋าวถูกฆ่าล้างตระกูลแก่หวางชวน และบอกว่าที่ตระกูลอ๋าวถูกฆ่าล้างตระกูลก็เพราะตระกูลทางอยากจะเอาของสำคัญบางอย่างมาจากพวกเขา หากได้มาก็เท่ากับได้ครองโลก เป็ผู้แข็งแกร่งเหนือผู้แข็งแกร่ง แต่ที่แท้แล้วเป็อะไรสายลับธรรมดาๆ คนนั้นก็ไม่รู้อีกแล้ว
หวางชวนเป็พวกสัจจนิยม ตัวเขาคิดว่าอยากได้อะไรก็ต้องอาศัยตัวเองไปแย่งมา ไปชิงมา วางแผนเพื่อให้ได้มา ของเพ้อฝันเลื่อนลอยที่แม้กระทั่งจะเป็อะไรก็ยังไม่รู้นั้นไม่มีประโยชน์อันใด ดังนั้นเกี่ยวกับข้อมูลนี้ เขาก็ไม่ได้ใส่ใจนัก แค่สั่งให้สายลับคนนั้นจับตาดูต่อไป มีข่าวอะไรอีกค่อยเอามาบอกเขา
ต่อมา สายลับคนนั้นก็สืบได้อีกว่าผู้โชคดีคนเดียวที่รอดชีวิตมาได้ของตระกูลอ๋าวแอบซ่อนอยู่ในตระกูลจิ่ง หวางชวนคิดว่าไม่ว่าข่าวนี้จะจริงเท็จประการใด แต่นี่เป็เนื้อที่ยื่นมาถึงปากแล้วก็คุ้มค่าที่จะลองดู พอดีจะได้ให้หวางฮวานเหล่ยออกไปฝึกฝนด้วย ไปสืบดูว่าเท็จจริงประการใดที่ตระกูลจิ่ง ขณะเดียวกันก็จะได้เสริมความสัมพันธ์ระหว่างกันให้แน่นแฟ้นขึ้นด้วย
ตอนแรก หวางฮวายเหล่ยได้ยินว่าต้องไปตระกูลจิ่งก็รีบปฏิเสธ เขาอยู่ที่ภาคตะวันตกนี้เรียกได้ว่าเป็าาผู้โอหัง สุราดีนารีงามในใต้หล้าเรียกได้ว่า แค่ควักมือเรียกก็มา สะบัดมือไล่ก็ไป กำเริบเสิบสานเป็อย่างยิ่ง จู่ๆ จะให้เขาไปยังสถานที่ชายขอบเช่นตระกูลจิ่ง หนทางยาวไกล เขาไม่อยากเดินทางไปจริงๆ
หวางชวนจึงทำได้เพียงสั่งเขาว่าไม่ใช่แค่ไปตระกูลจิ่งเพียงอย่างเดียว ให้ไปหยั่งเชิงคนคนหนึ่ง สืบหาของที่จะทำให้ได้ครองโลกมา
ไม่เหมือนหวางชวนที่อาศัยเืของตนเองต่อสู้มาจนมีวันนี้ หวางฮวายเหล่ยเป็คุณชายที่ถูกเลี้ยงมาอย่างทนุถนอมสุขสบายั้แ่เด็กแน่นอนว่าต้องสนใจของวิเศษที่ไม่ต้องเปลืองแรงมากก็สามารถทำให้ได้โลกได้เช่นนี้เป็อย่างมาก หวางชวนพูดจบเขาก็รับคำแล้ว
ในนิยายต้นฉบับ การพบเจอกันของจิ่งฝานและหวางฮวายเหล่ยนั้นเป็เพราะอิ่นซีเิ หวางฮวายเหล่ยเป็พวกเ้าชู้ที่แค่เห็นคนสวยก็ไปไหนไม่รอดแล้ว อิ่นซีเิหน้าตางดงามยิ่งกว่าสาวงามทุกคนที่เขาเคยเจอ หวางฮวายเหล่ยจะปล่อยไปได้อย่างไร เขาเป็คนโอหังมาแต่เล็ก อาศัยความยิ่งใหญ่ของวงศ์ตระกูลและวรยุทธ์ของตนเองทำตามอำเภอใจ ไม่เก็บงำแม้เพียงนิด เผชิญหน้ากับสาวงามถึงเพียงนี้ เขาก็ใช้นิสัยเดิมที่เคยมีมาตลอดพุ่งขึ้นไปแย่งชิงมา แต่จะทำอย่างไรได้เขาบังเอิญเจอเข้ากับจิ่งฝาน ทำให้เกิดเป็ฉากวีรบุรุษช่วยสาวงามอันแสนจะน้ำเน่าขึ้น ส่วนหวางฮวายเหล่ยกับจิ่งฝานก็ผูกพยาบาทกันมาั้แ่ตอนนั้น ตอนหลังสร้างเื่ลำบากให้จิ่งฝานอีกมากมาย
วันนี้ได้เจอกัน ถึงแม้พล็อตเื่จะผิดแปลกไปบ้าง ทั้งสองคนไม่ได้สู้กันจนหน้าดำหน้าแดง แต่ก็ยังมีเื่ให้ต้องกันปะทะกัน ตามความเข้าใจของอ๋าวหรานที่มีต่อเนื้อเื่ครึ่งหลัง เขาสามารถขัดขวางได้ แต่พูดตามจริงแล้ว กับคนเช่นหวางฮวานเหล่ยนี้ อ๋าวหรานคิดว่าโดนจัดการสักทีก็ดีเหมือนกัน ความพยาบาทอย่างไรก็ต้องผูก ไม่สู้ทำตามใจปรารถนาไปเลย
เื่มากมาย ต่อให้เรามีใจอยากจะหยุดยั้งก็หยุดไม่ได้ แต่เมื่อเราจะให้มันเกิดขึ้นมันก็ดันไม่เกิดขึ้นมาอีก ตอนนี้หวางฮวายเหล่ยนั่น เรียกเต็มปากเต็มคำว่าพี่ชายน้องชาย ท่าทางนับญาติเสียเหลือเกิน
จิ่งเซียงถอนหายใจ “อย่างไรเสียหวางฮวายเหล่ยก็เป็ลูกชายของท่านป้าเหวินเยว่ คงไม่ช่วยคนอื่นทำลายญาติตัวเองหรอก ยังมีท่านลุงเขย ส่งของขวัญมาทุกปี ความสัมพันธ์กับท่านป้าก็ดีมาก อย่างไรก็ต้องเห็นแก่ท่านป้าอยู่แล้ว”
อ๋าวหราน “......” ท่านป้าที่แต่งงานไปแล้ว แล้วยังไม่เจอหน้ากันมานาน คงเห็นแก่ลูกชายและสามีตัวเองก็เท่านั้น
ทั้งสองคนกำลังคุยกันอยู่ จิ่งจื่อที่อยู่ที่ด้านขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน พูดออกมาชัดเจนทีละคำ “ท่านทั้งสองคุยกันสนุกเชียวนะ!”
อ๋าวหรานถูกเสียงขบฟันนี้แทงไปถึงิญญา หันหน้าไปก็เห็นจิ่งจื่อมีสีหน้าโกรธเคือง ท่าทางดุร้าย ดวงตาที่ดำสนิทคู่นั้นแทบจะลุกเป็ไฟแล้ว
จิ่งเซียงสงสัย “เ้าเป็อะไรไป?”
จิ่งจื่อหันศีรษะไปมองนาง พูดฟันกระทบกัน “เ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ? ที่พวกเ้าพูดกันทำไมข้าถึงฟังไม่รู้เื่เลย?”
อ๋าวหราน “......” เอาแล้ว โกรธเข้าแล้ว กำลังคิดจะอธิบายอยู่แล้วก็ถูกขัดจังหวะเสีย
จิ่งเซียงหัวเราะแห้งๆ ออกมาสองเสียง “เื่พวกนี้เ้าไปถามอ๋าวหรานเอาเถิด ข้าเองก็ไม่รู้ ดึกมากแล้ว ข้าจะไปนอนแล้ว ขอให้ทุกคนฝันดีนะ”
พูดจบก็จากไปทันที
อ๋าวหรานรองรับจิตสังหารของจิ่งจื่ออย่างทำอะไรไม่ได้
กำลังจะอธิบาย จิ่งฝานกลับพูดขึ้นมาก่อน “วันนี้พักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยเล่าให้เ้าฟัง ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังเ้าหรอก”
สำหรับบุคคลตัวอย่างเช่นจิ่งฝานแล้ว จิ่งจื่อเคารพเป็อย่างมาก เขาจึงหันมาจ้องอ๋าวหรานอย่างดุร้าย แล้วพูดกับจิ่งฝานว่าราตรีสวัสดิ์แล้วก็จากไปแทน
อ๋าวหรานโกรธแล้ว อดค่อนแคะไม่ได้ “เ้าเด็กนี่ไร้เหตุผลเกินไปแล้ว เมื่อก่อนเวลาเจอข้าก็ทำท่าจมูกชี้ขึ้นฟ้า แต่กลับอยากให้ข้าแบ่งปันความลับด้วย เป็ไปได้หรือ? ข้ายังอยากเข้าใกล้เขาหรือ? ไม่หลบไปไกลๆ ก็ดีเท่าไรแล้ว”
จิ่งฝานก็ไม่สนใจที่เขาค่อนแคะ หลงจู๊นำยาเขามาพอดี อ๋าวหรานก็ดื่มยาเข้าไปเงียบๆ ประสิทธิภาพดียิ่ง คอและปอดที่เ็ปจากการไอรู้สึกดีขึ้นในทันใด เบาสบายไปเยอะเลย แต่ดวงตายังควบคุมไม่ได้ น้ำตาไหลลงมาอีก อ๋าวหรานยกมือขึ้นเช็ด
ตกกลางคืน อ๋าวหรานก็ถูกลำคอที่คันจนทำให้ตื่นขึ้นมา คาดว่าคงเป็เพราะยาหมดฤทธิ์แล้ว ยังเกรงว่าจะรบกวนจนจิ่งฝานตื่น จึงทนไว้ไม่ไอออกมา ต่อมาก็ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงคิดจะไปดื่มยาอีกถ้วย
อ๋าวหรานข้ามออกไปทางฝั่งเท้าของจิ่งฝานอย่างเงียบเชียบ ในใจยังแอบค่อนแคะว่าคนผู้นี้สูงเกินไปแล้ว ไม่รู้ยังจะโตอีกไหม แล้วลงจากเตียงอย่างเงียบเชียบ อ๋าวหรานถือชุดกับรองเท้าออกไป ค่อยๆ เปิดประตูเบาๆ อ๋าวหรานอดทอดถอนใจไม่ได้ว่าคนเป็ขโมยจริงๆ แล้วก็ลำบากเหมือนกัน
แค่ออกมาจากชั้นนั้นอ๋าวหรานก็ไออย่างรุนแรง ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ไอจนเจ็บคอไปหมด จนทำให้ปอดโยกไหวไปด้วย ไอติดต่อกันเป็นาทีถึงจะดีขึ้น พอจับหน้า ก็พบว่าเต็มไปด้วยน้ำตา
ตอนนี้เป็เวลาดึกดื่น เด็กรับใช้ในร้านพักผ่อนไปแล้ว ภายในร้านเงียบมากอ๋าวหรานพิงอยู่ที่บันได มีเพียงชั้นหนึ่งที่ยังมีแสงสว่างจากตะเกียงและเสียงอะไรเบาๆ นิดหน่อย
อ๋าวหรานไอไปพลางเดินลงไปชั้นหนึ่ง จึงพบว่าที่ชั้นหนึ่งมีคนกำลังกินข้าวแค่คนเดียว หันหลังให้อ๋าวหราน เห็นแค่ชุดดำของเขา บนเก้าอี้มีเสื้อกันลมสีดำวางอยู่ นั่งตรงแน่วราวต้นสน บนโต๊ะมีอาหารสองสามอย่างและข้าว ค่อยๆ คีบกับแต่ละอย่างกินช้าๆ อ๋าวหรานมองไปแวบหนึ่งก็ดึงสายตากลับมา ตั้งใจจะพุ่งไปทางเด็กรับใช้ที่อยู่ตรงโต๊ะเก็บเงิน เด็กรับใช้คนนั้นมือเท้าค้าง หัวสัปหงก
อ๋าวหรานไม่อยากเรียกให้เขาตื่น คิดแล้วคิดอีก อ๋าวหรานก็เดินไปที่หน้าร้าน หลายวันนี้ล้วนเป็วันที่สว่างไสว โคมไฟด้านนอกยังคงส่องสว่างโชติ่ แต่ก็สู้แสงพราวระยับของดวงดาวมิได้ นี่เป็โลกนิยายที่ถูกบรรยายขึ้น ไม่มีมลพิษเหมือนโลกจริง มีแค่ท้องฟ้าสว่างไสว ดาวทุกดวงส่องแสงประกาย
อ๋าวหรานนั่งอยู่เป็นาน คันคอไอออกมาเรื่อยๆ แต่ก็ยังทนไหว มองดวงจันทร์ในต่างโลกนี้ อ๋าวหรานก็รู้สึกใจคอแห้งเหี่ยวเล็กน้อย เมื่อก่อนนั้นถือว่า ‘สุดขอบฟ้าร่วมจันทรา’ เป็เพียงแค่กวีวรรคหนึ่ง ตอนนี้ถึงเพิ่งรู้สึกว่านั่นคือความคิดถึงอันลึกล้ำ อ๋าวหรานขยี้ตา
“เ้ากำลังคิดถึงอะไรอยู่?”
“บ้าน”
อ๋าวหรานหันไปตามเสียง จิ่งฝานยืนอยู่ด้านข้างเขา “เ้าออกมาทำไมหรือ?”
“พลิกตัวแล้วไม่เจอเ้า”
อ๋าวหรานลุกขึ้นยืน บิดี้เี “ไปเถิด กลับเข้าไปกัน กลางดึกน้ำค้างลง นั่งนานจนบนชุดข้ามีหยดน้ำแล้ว”
จิ่งฝานพยักหน้า เช็ดน้ำค้างบนไหล่อย่างเงียบๆ พูดว่า “ไปเอายาที่ห้องครัวก่อนเถิด”
อ๋าวหรานพยักหน้า ถามอีกว่า “ตอนนี้ยังมียาหรือ?”
จิ่งฝานพยักหน้า “หลงจู๊น่าจะเตรียมไว้ตลอดเวลา”
ยาของอ๋าวหรานถูกต้มอยู่ที่ชั้นห้า ที่นี่มีห้องครัวเล็กอยู่ทุกชั้น อ๋าวหรานตามจิ่งฝานไปที่ห้องครัว ตักยามาถ้วยหนึ่ง ยังร้อนอยู่จริงๆ ดื่มยาแล้วก็สบายตัวขึ้นเยอะ
ตอนที่กลับห้องอ๋าวหรานถอนหายใจพูดว่า “เมื่อกี้ที่ชั้นล่างเห็นมีคนกินข้าวอยู่คนหนึ่ง ชุดดำทั้งตัว กินอย่างช้าๆ เหมือนพวกยอดฝีมือที่กำลังท่องยุทธภพ”
จิ่งฝานพูดว่า “ไม่แน่อาจเป็เพียงแค่คนเดินทางทั่วไป พักผ่อนเถอะ”
อ๋าวหรานพยักหน้า แล้วพูดอีกคำหนึ่งว่าขอบคุณ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้