หยางหนิงรู้ว่าซื่อจื่อมีพ่อเป็แม่ทัพเหว่ยขุนนางขั้นสองของแคว้นฉู่ แต่ไม่รู้ว่าองครักษ์เสื้อแพรคือใคร? งานศพนี้จัดขึ้นที่จวนองครักษ์เสื้อแพร งั้นก็แสดงว่าองครักษ์เสื้อแพรก็อยู่ในนี้ด้วย
เื่ที่ทำให้เขาแปลกใจอีกอย่างก็คือฮูหยินสามคนงามนั้น ไม่รู้ว่าเป็อนุของแม่ทัพหรือไม่ หากซื่อจื่อคนนี้เป็ลูกชายของแม่ทัพ ก็หมายความว่าแม่นางคนสวยนี่เป็แม่เลี้ยงของเขางั้นหรือ?
แต่ว่าในเมื่อฮูหยินสามจับไม่ได้ว่าเขาสวมรอยมา ก็ถือได้ว่าผ่านไปอีกด่านแล้ว แต่ว่าต่อไปจะรับมืออย่างไรนั้นยังไม่ทราบ?
อีกทั้งซื่อจื่อคนนี้ก็สมองไม่ค่อยสมประกอบ ตัวเขารับมือค่อนข้างยาก หนักสุดก็คงแกล้งโง่ไป
หลังจากมีคนมาดูแลการเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว หยางหนิงรู้สึกหดหู่ใจมาก หลังจากนั้นก็ถูกฮูหยินสามพาเข้าไปที่ห้องโถง
บรรยากาศในห้องโถงให้ความรู้สึกหดหู่ ผ้าขาวผืนหนึ่งแยกห้องโถงเป็สองฝ่าย หยางหนิงคิดว่าโลงศพก็น่าจะอยู่หลังผ้านั่น ในห้องโถงตอนนี้ มีการจัดผลไม้ ขนม ของคาวหวานไว้ที่แท่นไหว้ ตรงกลางเป็ป้ายชื่อขนาดใหญ่ ้าเขียนว่า “ฉีหุ้ยจิ่งตำแหน่งแม่ทัพเหว่ยสังกัดองครักษ์เสื้อแพรแห่งต้าฉู่”
หยางหนิงเข้าใจทันที ที่แท้แม่ทัพเหว่ยก็คือองครักษ์เสื้อแพร องครักษ์เสื้อแพรก็คือแม่ทัพเหว่ย เขาคือคนๆ เดียวกัน หากเป็อย่างนั้นจริงหรือว่าซื่อจื่อจะชื่อฉีหนิง? ชื่อก็เหมือนกับเขาเลย
ด้านข้างห้องโถงทางด้านหนึ่ง มีคนอยู่ไม่น้อย ด้านนั้นมีคนๆ หนึ่งสวมชุดไว้ทุกข์กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ ตอนที่หยางหนิงเดินเข้ามา คนๆ นั้นก็เงยหน้าขึ้น หยางหนิงเห็นว่าคนๆ นั้นอายุน่าจะรุ่นเดียวกับเขา ประมาณสิบห้าสิบหกปี หน้าตาดี เมื่อคนๆ นั้นเห็นเขา สีหน้าก็ดูเปลี่ยนไป ราวกับเจอผี
หยางหนิงคิดในใจว่าข้าเหมือนผีขนาดนั้นเลยหรือไงกัน? มองซ้ายมองขวา เห็นสองข้างมีคนราวยี่สิบสามสิบคน ห้องโถงนี้ใหญ่มาก เพราะมันดูไม่แออัดเลยสักนิด สิ่งที่สะดุดตามากก็คือมีคนๆหนึ่งนั่งอยู่ ดูแล้วน่าจะอายุราวหกสิบกว่าๆ ผมสีขาวโพลน สวมชุดดำ แต่บนมือมีผ้าเช็ดหน้าสีขาว
แต่เดิมคนแก่คนนั้นกำลังพูดคุยกับอีกคนอยู่ เมื่อเห็นหยางหนิงเดินเข้ามา เขาก็ใเช่นกัน
คนแก่ด้านข้าง เป็คนอ้วนที่มีอายุราวห้าสิบ อ้วนๆ เตี้ยๆ แต่ว่าผิวขาว สวมชุดสีขาว เมื่อเห็นหยางหนิงเดินเข้ามา ก็ใ แต่พริบตาเดียวเท่านั้น เขาก็รีบเดินขึ้นหน้ามาต้อนรับ สีหน้าดูเ็ป “ซื่อจื่อ ในที่สุดท่าน...ท่านก็กลับมาแล้ว!”
หยางหนิงคิดในใจว่าเ้าเป็ใครอีกล่ะนี่ แต่ว่าเขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับจวนองครักษ์เสื้อแพร คนตรงหน้าพวกนี้เขาไม่รู้จักเลย จึงทำได้เพียงตอบไปว่า “อืม”
“ไปไหว้พ่อเ้าซะ” ฮูหยินสามดึงหยางหนิงขึ้นหน้าไป
หยาหนิงรู้สึกงงๆ แต่เื่มาถึงขั้นนี้แล้ว ทุกคนก็กำลังจับจ้องอยู่ ตัวเองเป็ถึงลูกชายขององครักษ์เสื้อแพรคนนี้ พ่อตายแล้ว ลูกชายจะไม่ไหว้ได้อย่างไร จึงทำได้เพียงคุกเข่าลงแล้วก็ไหว้ จากนั้นค่อยลุกขึ้นมา
ฮูหยินสามเหลือบไปมองชายหนุ่มที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ฉีอวี้ เ้าลุกขึ้น หนิงเอ๋อร์กลับมาแล้ว ที่ตรงนั้นมันเป็ของเขา!”
เสียงของฮูหยินสามเพิ่งจะจบไป เสียงหัวเราะแห้งๆ ก็ดังขึ้นมาจากข้างๆ เมื่อมองไปก็เป็หญิงม่ายคนหนึ่งเดินมาจากกลุ่มคน
หยางหนิงเห็นหญิงม่ายคนนี้อายุราวๆ สามสิบต้นๆ แต่ก็ถือว่ายังสวยอยู่ ปากบาง คิ้วขมวดเหมือนกำลังโกรธอยู่ แล้วเดินมาตรงหน้าของฮูหยินสาม ยิ้มแห้งแล้วพูดว่า “เ้าบอกให้อวี้เอ๋อร์หลีกทางให้? เขาคุกเข่าอยู่ตรงนั้นหลายวันแล้ว เ้าบอกให้หลีกเขาก็ต้องหลีกหรือ?”
ฮูหยินสามไม่ได้แสดงสีหน้าอะไร พูดอย่างเรียบๆ ว่า “หนิงเอ๋อร์กลับมา มันเป็หน้าที่ของหนิงเอ๋อร์ที่ต้องแสดงความกตัญญู ไม่ใช่หนิงเอ๋อร์ที่อยู่ตรงนั้น จะมีใครที่เหมาะสมกว่าเขางั้นหรือ?”
หญิงม่ายคนนั้นบีบเสียงสูงแล้วพูดว่า “ทุกท่านดู นายท่านเพิ่งไป นางก็ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำซะแล้ว ดูท่านางกำลังเตรียมกุมอำนาจในจวนโหวเอาไว้แล้วมั้ง” ยกนิ้วขึ้นมาแล้วชี้ไปที่ฮูหยินสาม “กู้ชิงฮั่น เ้าอย่าลืมนะ ที่นี่แซ่ฉี ไม่ได้แซ่กู้ แต่ก่อนเ้าโอหังอย่างไรข้าไม่สน แต่ถึงวันนี้ในตอนนี้ เ้ายังจะกล้าโอหังอีกหรือ?”
ฮูหยินสามกู้ชิงฮั่น ยิ้มแห้งแล้วพูดว่า “ฉงอี๋เหนียง ที่นี่ห้องโถงทำพิธี ไม่ใช่ที่ๆ ท่านจะมาส่งเสียงเอะอะได้นะ หนิงเอ๋อร์เป็ลูกเมียแต่งของท่านแม่ทัพ ตามหลักแล้วก็ต้องให้เขาทำหน้าที่ มันสมควรด้วยเหตุผลทั้งปวงไม่มีอะไรพูดอีก มันมีอะไรน่าทะเลาะงั้นหรือ? หลายวันก่อนหนิงเอ๋อร์ก็แค่ถูกคนจับตัวไป ดังนั้นก็เลยให้ฉีอวี้ทำแทน ตอนนี้หนิงเอ๋อร์กลับมาแล้ว เขาก็ไม่จำเป็อีก”
“อวี้เอ๋อร์ เ้าอยู่ตรงนั้นนั่นแหละ ดูสิใครกล้าทำอะไร” ฉงอี๋เหนียงพูดแล้วยิ้มแห้ง “เ้าเป็ลูกชายของนายท่าน เป็ลูกหลานตระกูลฉี ดูสิใครกล้าแตะต้องเ้า”
ฮูหยินสามไม่ได้ทะเลาะกับฉงอี๋เหนียง แต่มองไปที่ท่านใหญ่สามแล้วทำความเคารพ แล้วพูดว่า “ท่านใหญ่สามอยู่ที่นี่ด้วย งั้นก็ขอให้ท่านใหญ่สามตัดสินล่ะกัน”
ท่านใหญ่สามพูดว่า “ชิงฮั่น เ้าก็อย่าเพิ่งรีบร้อนเกินไป เื่นี้เราต้องวางแผนระยะยาวกัน”
“อย่าเพิ่งรีบร้อนงั้นหรือ?” กู้ชิงฮั่นยิ้ม “ท่านใหญ่สาม ตอนนี้คนที่รีบร้อนไม่ใช่ข้า แล้วเื่แบบนี้ คงวางแผนกันยาวๆ ไม่ได้หรอกจริงไหม?”
“อะไร เ้าจะบอกว่าข้าพูดไม่คิดงั้นหรือ?” ท่านใหญ่สามสีหน้านิ่งไป แล้วก็ถอนหายใจ แล้วพูดว่า “ชิงฮั่น ตอนนี้ในจวนโหวมีเื่ใหญ่เกิดขึ้นขนาดนี้ เื่มากมายจะต้องฟังความเห็นจากทุกคนให้มาก จะมาให้ตัดสินคนเดียวไม่ได้” แล้วเหลือบไปมองที่ฉีอวี้ แล้วพูดว่า “จริงๆ แล้วบางอย่างก็ไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผล หลายวันมานี้ฉีอวี้เฝ้าอยู่ที่นี่ตลอด มันไม่เหมาะหรอกที่พอหนิงเอ๋อร์กลับมา ก็จะไล่อวี้เอ๋อร์ไป มันเกินไปหน่อยไหม?”
คนข้างๆ คนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “กู้ชิงฮั่น เ้ากุมอำนาจในจวนเอาไว้ทั้งหมด เื่นี้ใครๆ ก็รู้ ตอนนี้พี่ใหญ่ก็จากไปแล้ว เ้ายังคิดจะให้ในจวนไม่สงบอีกหรือไง?”
หยางหนิงเหลือบไปมอง เห็นคนที่พูดเป็ชายอายุประมาณสามสิบ ร่างกายซูบผอม สายตาเหมือนคนที่ชอบดื่มเหล้าอย่างไรอย่างนั้น
“ท่านห้าหมายความว่าอย่างไร?” กู้ชิงฮั่นยิ้มแห้งแล้วพูดว่า “ไม่สงบ? ไม่ทราบว่าท่านห้าเอาสายตาคู่ไหนมาดูว่าในจวนโหวไม่สงบ? จะบอกว่ากุมอำนาจไว้หมด ข้าเป็แค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ จะไปมีปัญญาอะไรขนาดนั้น หากไม่ใช่เพราะไท่ฟูเหรินกับท่านแม่ทัพสั่งมา ข้ามีหรือจะกล้าจัดการเื่ต่างๆ ในจวน”
“ผู้หญิงอย่างเ้านี่มันหน้าไหว้หลังหลอกจริงๆ ต่อหน้าอีกอย่างลับหลังอีกอย่าง” ชายอีกคนก็พูดขึ้นมา “ต่อหน้าไท่ฟูเหรินก็ทำตัวอ่อนหวาน ลับหลังโหดร้ายไร้มารยาท ตอนนี้เ้าก็หามไท่ฟูเหรินออกมา ทำไม คิดจะใช้มารยาอะไรอีก คิดจะใช้ไท่ฟูเหรินมาบีบเรางั้นหรือ?” แล้วก็สบถ “งั้นเ้าก็ไปเชิญไท่ฟูเหรินออกมาเลย มาพูดเหตุผลกันต่อหน้า”
กู้ชิงฮั่นยังคงนิ่งเหมือนเดิม แล้วพูดว่า “ซื่อจื่อหายตัวไป ท่านแม่ทัพสิ้นบุญ ไท่ฟูเหรินอายุมากแล้ว ร่างกายไม่แข็งแรง เกิดเื่สองเื่ต่อเนื่องกัน เ้าคิดว่าท่านจะลุกมาคุยเหตุผลต่อหน้าพวกเ้าไหวหรือ? ท่านหก คำพูดของท่านไม่ควรพูดออกมาด้วยซ้ำ”
รูปร่างของท่านหกอ้วนท้วม อ้วนกว่าคนอ้วนๆ ก่อนหน้านี้เกือบหนึ่งรอบ เขามองบน แล้วชี้ไปที่กู้ชิงฮั่นแล้วพูดว่า “อะไรคือไม่ควรพูด? ข้าอยากจะพูดอะไร ยังต้องให้เ้ามาสั่งอีกงั้นหรือ? วันนี้มีอะไรก็พูดอย่างนั้น มีหนึ่งเื่พูดหนึ่งเื่ มีสองเื่พูดสองเื่ จะไม่ปล่อยให้เ้ามาชี้นำอะไรที่นี่หรอกนะ”
ตอนนี้หยางหนิงรู้สึกมึนงงมาก
คนพวกนี้ เป็คนของตระกูลฉีทั้งหมด แต่ว่าตอนนี้หยางหนิงไม่รู้เลยว่าใครมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกับใครบ้าง แต่ไม่ว่าจะเด็กจะแก่ต่างไม่พอใจกู้ชิงฮั่นทั้งนั้น ทุกคนต่างพุ่งเป้าไปที่กู้ชิงฮั่น
กู้ชิงฮั่นพยายามชิงตำแหน่งหน้าที่กลับมาให้ตัวเขา ดูแล้วก็ไม่ใช่เื่ใหญ่อะไรมากมาย แต่กลับถูกคนพวกนี้รุมโจมตี
เขาคิดในใจว่าเื่นี้ไม่ต้องแย่งกันก็ได้มั้ง ชิงตำแหน่งนั้นมาได้แล้ว ตัวเองก็ต้องไปคุกเข่าแบบนั้น แต่กลับมีคนยอม งั้นก็ให้เขาคุกเข่าไปสิ
แต่ตอนนี้ทุกคนพุ่งเป้าไปที่กู้ชิงฮั่น หยางหนิงเองก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจ
“ทุกท่าน ฮูหยินสามก็ทำไปเพื่อส่วนรวม พวกท่าน...!” ตอนนี้เองก็เห็นต้วนชางไห่จู่ๆ ก็โผล่มายืนอยู่ที่หน้าประตูห้องโถง หลังจากที่เขากับฉีเฟิงและพรรคพวก ตามหยางหนิงกับฮูหยินสามเข้ามาที่ห้องโถง ก็ไม่ได้เข้ามาในห้อง คุกเข่าอยู่ด้านนอก แต่ตอนนี้กลับทนไม่ไหวที่เห็นฮูหยินสามถูกโจมตี ดังนั้นก็เลยออกหน้าช่วยพูด
เขาพูดยังไม่ทันจบ คนผอมๆ ที่ถูกเรียกว่าท่านห้าก็พูดว่า “ต้วนชางไห่ เ้าเป็ใครกัน ก็แค่หมารับใช้ตัวหนึ่งในจวนเท่านั้น เ้ามีสิทธิอะไรมาออกความคิดเห็น?”
“หากเ้ายังอยากจะกินข้าวที่นี่อยู่ ก็ไปให้พ้นซะ” ท่านหกเหมือนโดนเหยียบหาง ร้องะโขึ้นมา “กู้ชิงฮั่น เ้าดู จวนมีกฎระเบียบหรือ? หมารับใช้ตัวหนึ่ง กล้ามาเห่าหอนตรงนี้ นี่เป็กฎที่เ้าตั้งขึ้นงั้นหรือ? เมื่อกี้บอกว่าจวนสงบดี ตอนนี้เห็นหรือยัง?” ยกสองมือขึ้นมา แล้วพูดเสียงดังว่า “ทุกคนดู จวนองครักษ์เสื้อแพรมีเื่แปลกๆ ทหารยามคนหนึ่ง กลับมายุ่งย่ามเื่ในห้องพิธี แถมยังพูดเื่เห็นแก่ส่วนร่วมอะไรด้วย หากเื่นี้แพร่ออกไป ตระกูลฉีของเราจะเอาหน้าไว้ที่ไหน?”
ต้วนชางไห่โกรธหน้าเขียว ปากสั่น แล้วก้มหน้า กำหมัดแน่น เส้นเืเส้นเอ็นขึ้นจนชัดไปหมด ร่างกายก็สั่นเทา
“ยังกล้ากำหมัดอีกงั้นหรือ?” ท่านห้ายิ้มแห้งแล้วพูดว่า “ทำไม คิดจะลงไม้ลงมือกับเรางั้นหรือ?” แล้วเดินมายืนตรงหน้าของต้วนชางไห่ แล้วตะคอกใส่ว่า “ตอนนี้ข้ายืนอยู่นี่แล้ว ข้ารู้ว่าตอนนั้นเ้าสามารถบุกตะลุยโจมตีข้าศึก เ้าคลานออกมาจากกองศพ วรยุทธ์ของเ้าก็ไม่เลว ตอนนี้เ้าก็ลงมือเลยสิ ต่อยข้าให้ตายไปเลย หากเ้าไม่กล้าลงมือ เ้ามันก็แค่คนขี้ขลาดตาขาวคนหนึ่งเท่านั้น”
กู้ชิงฮั่นตอนนี้ก็พูดขึ้นมาว่า “ชางไห่ เ้าออกไปก่อน!”
ต้วนชางไห่ก้มหน้า แล้วยกมือขึ้นคารวะ ท่านห้ายกขาขึ้นมา ทาบไปที่ท้องของต้วนชางไห่ แล้วด่าว่า “เ้าหมารับใช้” ต้วนชางไห่คิดไม่ถึงว่าท่านห้าจะยกเท้าขึ้นมาแบบนี้ เขาถูกดันถอยหลังไปสองก้าว ยังดีที่เขาแข็งแรง ก็เลยแค่ถอยไป ไม่ได้ล้ม
“โอโห้ ยังเรียกชางไห่ชางไห่” ฉงอี๋เหนียงเห็นคนออกหน้าพูดแทนนาง ก็โกรธจนควันออกหู แล้วพูดว่า “กู้ชิงฮั่น เขารีบวิ่งมาออกหน้าแทนเ้า เพราะอะไรกันหรือ? ปกติเขากับเ้าสนิทสนมกัน หรือว่าจะ...!”
นางยังพูดไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียง “เพี๊ยะ” กู้ชิงฮั่นยกมือขึ้นมาตบหน้านาง เสียงการตบดังกังวลชัดเจน คนในห้องโถงบรรพชนเงียบกันหมด ทุกคนดูเหมือนจะใมาก ฉงอี๋เหนียงเอามือจับไปที่หน้าของตัวเอง ตะลึงไป สายตามีความหวาดกลัว แต่ไม่นานนักก็แปรเปลี่ยนเป็ความโกรธ แล้วพูดเสียงสูงว่า “เ้า...เ้ากล้าตบข้าหรือ?” ยื่นมือไปข่วนหน้าของกู้ชิงฮั่น แล้วด่าว่า “นังแพศยา กล้าตบข้า ข้าจะสู้กับเ้าก็ได้...!”