"แบบนี้... ฉันทนไม่ไหวแล้ว จะแล้ว... อ๊า!"
“เธอทนไว้ก่อน ผ่อนคลายหน่อย อ่า...”
“อ๊ะ รู้สึกดีจริงๆ… รีบเสร็จเร็วสิ โยตะ!”
ฉันยกสะโพกขึ้นแล้วโอบรัดโยตะไว้ ตอนนี้ร่างของฉันแนบติดไปกับโซฟา จนแทบจะจมลงไปในนั้นอยู่แล้ว
ฉันไม่อาจควบคุมปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายได้ ขณะที่ถึงจุดสุดยอดซ้ำแล้วซ้ำเล่า สติล้วนกระเจิงและคำพูดลามกต่างๆ ก็หลุดออกมาไม่ขาดสาย
นี่คือกิจวัตรประจำวันของฉันที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุดเมื่อมาห้องของโยตะ
“ฮ้า… อุ่นจังเลย โยตะปล่อยเข้ามาอีกได้นะ… ”
“เธอพูดอะไรแบบนี้ไม่อายบ้างเหรอ?”
“ก็มันฟินจริงๆนี่ โยตะไม่ชอบฟังอะไรแบบนี้เหรอ?”
"ก็ชอบ… "
“เอ่อ เดี๋ยวก่อน… อ๊าา… ”
หลังจากที่เราทั้งคู่พอใจแล้ว โยตะก็ค่อยๆ ดึงร่างของเขาออก ความใในตอนที่เขาค่อยๆ ดึงออกนั้น ทำให้ฉันสั่นสะท้านไปถึงจุดสุดยอดเล็กๆ น้อยๆ โดยไม่ได้ตั้งใจอีกครั้ง
ฉันรู้สึกได้ถึงความอุ่นที่ไหลเอื่อยเข้ามา และหัวยังคงว่างเปล่าเล็กน้อยจากการกอดรัดฟัดเหวี่ยง
หลังจากทำความสะอาดร่างกายส่วนล่างของฉันเพื่อไม่ให้ของเหลวในร่างกายไหลออกมาเสร็จแล้ว ฉันก็ใช้มือค้ำโซฟาเพื่อยกก้นขึ้นเล็กน้อย พร้อมพยายามยกเท้าลอยให้อยู่ในอากาศมากที่สุด เพื่อไม่ให้มันเลอะเทอะไปกว่านี้
แต่ยังไงโซฟาก็เปรอะเปื้อนไปด้วยเหงื่อ ของเหลวในร่างกาย และคราบน้ำอยู่เต็มไปหมดอยู่แล้ว
วันนี้เป็อีกวันที่อดไม่ได้ที่จะถอดเสื้อผ้าออกให้หมด... แต่เหมือนเขาจะทนไม่ไหวที่จะถอดกางเกงในแค่ตัวเดียวแล้วมีอะไรกันเลย เพราะแม้แต่รองเท้าส้นสูงที่รัดส้นก็ยังไม่ถอดออกด้วยซ้ำ
เหมือนครั้งนี้โยตะจะออกแรง และเอาใจใส่มากเป็พิเศษ จนฉันเริ่มสงสัยว่า… เขาอยากมากจนรอให้ถอดเสื้อผ้าก่อนไม่ได้ หรือชอบทำตอนที่ใส่เสื้อผ้ามากกว่า?
“โยตะ ฉันไม่อยากทำให้พื้นห้องนายสกปรก ช่วยพาฉันไปที่ห้องโถงได้ไหม?”
“ทำไมไม่ถอดรองเท้าก่อนล่ะ”
“ก็ฉันไม่ค่อยสะดวก งั้นนายก็ช่วยฉันถอดหน่อยสิ”
ฉันใช้ข้ออ้างนี้เพื่อทำตัวออดอ้อนขอความช่วยเหลือจากโยตะเล่นๆ บางทีเขาอาจอุ้มฉันขึ้นมาด้วยท่าทีอ่อนโยน และถ้าเป็แบบนั้นฉันก็จะถือโอกาสจูบเขาอีกสองครั้งเป็การตอบแทน
แต่ใช่ว่าเขาไม่เข้าใจคำบอกใบ้เท่านั้น แต่ยังเฉยเมย และลุกไปหยิบบ็อกเซอร์เสียอย่างนั้น
เมื่อฉันต้องเผชิญกับท่าทีที่ไม่เกรงใจของเขา ฉันจึงเลือกที่จะต่อรองอีกครั้ง และเขาก็ยอมผ่อนผันในที่สุด
ถึงเขาจะบ่นๆ บ้าง แต่เขาก็ใส่บ็อกเซอร์ก่อน แล้วค่อยมานั่งยองๆ ตรงหน้าฉัน
“งั้นก็อย่าขยับ”
"อื้ม"
ใบหน้าของเขาอยู่ห่างจากระหว่างขาของฉันไม่มาก แต่ฉันก็ไม่ได้ใส่ใจกับการที่เขาปลดสายรัดส้นรองเท้าอย่างระมัดระวังมากนัก
เขาจับข้อเท้าของฉัน ปรับไปมา และค่อยๆ ถอดรองเท้าด้วยความรอบคอบ ราวกับไม่ได้สนใจพื้นรองเท้าที่สกปรก และพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้เท้าของฉันอยู่ในท่าที่สบายที่สุด
ฝ่ามือของเขานั้นใหญ่จนแทบจะจับเท้าของฉันได้ด้วยฝ่ามือเดียว และการได้รับการดูแลจากผู้ชายที่มีรูปร่างแตกต่างกับตัวเองเช่นนี้ ก็ทำให้รู้สึกถึงแรงสั่นะเืในอกเล็กน้อย
แม้แผนจะไม่ได้ผล แต่การที่เขานั่งอยู่ตรงหน้า และจ้องมองมาที่ร่างกายส่วนล่างของฉัน ก็ทำให้ร่างกายที่อุณหภูมิอบอุ่นเริ่มปะทุความร้อนระอุขึ้น
การกระทำที่อ่อนโยนและเอาใจใส่เป็ครั้งคราวของเขา ทำให้ใจฉันสั่นไหวโดยไม่รู้ตัวเสมอ
“เสร็จละ เอาไปเก็บที่หน้าประตูเองนะ”
“เอ๊ะ? โยตะจะไม่เอาไปเก็บให้หน่อยเหรอ!?”
“ไม่มีมือมีเท้ารึไง?”
“ใช่สิ… นายนี่แล้งน้ำใจเกินไปแล้ว!”
ขณะที่ฉันชื่นชมความอ่อนโยนของโยตะได้เพียงสองวิ เขาก็ทำลายจินตนาการอันสวยงามของฉันทันที
ฉันปรับอิริยาบถ แล้วดึงกางเกงชั้นในที่ห้อยอยู่ตรงน่องกลับคืนให้เรียบร้อย ก่อนหยิบรองเท้ามาไว้ในมือด้วยสีหน้าไม่พอใจ และเดินไปที่ประตูเพื่อเอามันไปเก็บ
“ความอ่อนโยนของนายนี้ช่างแสนสั้นจริงๆ”
“ฉันจะรินน้ำให้เธอดื่มหนึ่งแก้ว พอใจมั้ย?”
“อืม ขอบใจมากนะที่ยังมีความกรุณา”
ถึงฉันจะบ่นเขาแบบนั้นก็เถอะ แต่จริงๆ ฉันก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนักหรอก
ขณะที่โยตะหันกลับไปเข้าห้องครัวเอาแก้วน้ำ ฉันก็หมุนตัวเช็กดูว่ามีคราบบนเสื้อผ้าอยู่บ้างไหม
เหมือนจะมีของเหลวบางส่วนเปื้อนกระโปรงด้านในอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่หากมองจากข้างนอกก็มองไม่เห็น ซึ่งคงไม่เป็อะไร
"อืม… ข้างนอกดูไม่สกปรกนะ"
“เอ้านี่ น้ำ”
“ขอบคุณ อ่า ช่วยหยิบทิชชูให้หน่อย”
“วางน้ำไว้บนโต๊ะก่อน”
โยตะที่กลับมาจากห้องครัวยื่นแก้วน้ำให้ฉัน แต่เมื่อฉันกำลังจะเอื้อมมือไปหยิบ ก็เหลือบไปเห็นว่ามีคราบอยู่ที่ต้นขาด้านใน ซึ่งเป็ร่องรอยของเขาที่ตกค้างอยู่บนร่าง ร่องรอยในตอนที่ดึงมันออกมา..
ฉันขอบอกไว้เลยว่าการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยของเขานั้น มีผลต่ออารมณ์ของฉันมาก
แต่ตอนนี้ฉันรู้สึกรำคาญใจเล็กน้อยกับคราบที่ยังเกาะติดอยู่ หลังจากหยิบกระดาษทิชชูที่เขาเอามาให้แล้ว ฉันก็นั่งลงบนโซฟา แล้วเช็ดทำความสะอาดตรงนั้นต่อ
“ฉันมีคำถาม”
"...หืม? มีคำถามอะไร?"
โยตะที่ยืนอยู่ไม่ไกลจ้องมาที่ฉัน และฉันที่ไม่ได้ใส่ใจสายตานั้นของเขา ก็ยกกระโปรงขึ้นแล้วเช็ดต้นขาตัวเองอย่างช้าๆ
เดิมทีฉันคิดว่าเขากำลังมองที่ด้านล่างของกระโปรงฉันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยกระหาย แต่เมื่อฉันเงยหน้าขึ้น ก็พบว่าสีหน้าของเขาดูฉงนเล็กน้อย
เขามองมาที่ฉันด้วยสายตาระแวง ซึ่งตอนนี้ฉันทำความสะอาดเสร็จแล้ว และกำลังขยำกระดาษทิชชูให้เป็ก้อนกลมๆ ก่อนโยนลงไปในถังขยะ
“ปกติตอนอยู่บ้านเธอก็แต่งตัวแบบนี้เหรอ?”
"เอ๊ะ? จะเป็ไปได้ไง"
ฉันกลับมาจัดรูปร่างหน้าตาของตัวเองให้เป็ระเบียบเรียบร้อย แล้วพับขากลับไปนั่งแบบที่กุลสตรีควรจะทำมากขึ้น เหมือนฉันจะเข้าใจแล้วว่าโยตะ้าสื่อถึงอะไร
วันนี้ฉันแต่งตัวด้วยการชุดเดรสชิ้นเดียวโดยมีเข็มขัดคาดเอวแบบหรูหรา และมีแจ็กเกตขนสัตว์ที่ห้อยอยู่ที่โถงทางเข้า
แน่นอนว่าชุดชั้นในก็มาแบบครบเซต และมีสไตล์สวยสดไม่แพ้กัน
“แถมยังฉีดน้ำหอมอีก ไม่คิดว่ามันเยอะไปหน่อยเหรอ?”
“โอ๊ย โยตะ นายไม่เข้าใจเลยจริงๆ ”
สำหรับโยตะที่มักจะสวมชุดอยู่บ้านแบบหลวม ๆ เสมอ การแต่งกายของฉันอาจดูเป็ทางการไปหน่อยเมื่อเทียบกับของเขา
ตราบใดที่ฉันยังมีเวลา นอกเหนือจากการจับคู่เสื้อผ้าอย่างให้เข้ากันแล้ว ฉันยังใส่ใจกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่เข้ากับตัวเองอีกด้วย
นี่เป็หนึ่งในวิธีที่ฉัน้าลงทุนในความสัมพันธ์นี้ให้มากขึ้น แถมมันยังช่วยกระตุ้นความรู้สึกให้กับกิจกรรมอีกด้วย
“ฉันไม่ได้มาบ้านนายกับอีแค่สนองความ้าทางเพศนะ”
“แล้วมันไม่ใช่ตรงไหน?”
"ไม่ใช่ย่ะ! อ่า… ถึงมันจะเป็เหตุผลหลัก… "
เมื่อเขาต้องพบกับคำพูดที่ดูไม่ใส่ใจของฉัน เขาก็เหมือนจะรู้สึกจริงๆ ไปว่า ฉันมาที่นี่เพื่อแค่ความสุขทางกายเท่านั้น
แม้ว่าความปรารถนาทางกายอาจบรรลุได้โดยง่าย แต่ความ้าที่จะมีใครสักคนที่เป็คนจริงๆ มาสนองก็สำคัญเช่นกัน
