“พวกเรากลับมาแล้ว”
ทันทีที่เด็กหนุ่มทั้งสองกลับมาถึงเรือนพักของตัวเอง มู่ขวงก็ะโขึ้นเสียงดัง
“พี่เฟิงกลับมาแล้ว!”
ในตอนนั้นเอง ไป๋จื่อเยว่ในชุดคลุมสีขาวกำลังฝึกซ้อมวิชาหมัดอยู่ที่ลานบ้าน แน่นอนว่านี่คือหมัดทะลวงลมปราณของตระกูลมู่ โดยด้านข้างของเด็กหนุ่มคือมู่จงที่คอยชี้แนะการฝึกให้กับเขา
หลังได้ยินเสียงของมู่ขวง ไป๋จื่อเยว่พลันล้มเลิกการฝึกลง จากนั้นเขาและมู่จงก็รีบออกไปต้อนรับอีกฝ่ายในทันที
“คุณชายเฟิงกลับมาแล้ว”
หลังจากได้ยินเสียงของมู่ขวง เด็กสาวหน้าตางดงามในชุดคลุมสีครามก็เดินออกมาต้อนรับอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกดีใจเป็อย่างยิ่ง
“ฮ่าๆ มู่หลาน ท่านอาจง พวกเรากลับมาแล้ว”
มู่ขวงลงจากหลังของมู่เฟิง ก่อนจะเดินกะโผลกกะเผลกเข้าไปทักทายอีกฝ่าย
“พี่เฟิง มู่ขวง เหตุใดพวกท่านสองคนถึงได้หายไปนานนัก คิกๆ ข้ามีข่าวดีจะบอกกับพวกท่านด้วย เวลานี้วรยุทธ์ของข้าอยู่ในระดับทงม่ายขั้นเก้าแล้ว มู่ขวงต่อจากนี้ข้าไม่จำเป็ต้องหวั่นเกรงต่อเ้าอีกต่อไปแล้ว”
ไป๋จื่อเยว่ยกกำปั้นขึ้น พลางกล่าวด้วยยิ้มอย่างคนมีชัย
“ระดับทงม่ายขั้นเก้าแล้ว!”
มู่เฟิงและมู่ขวงต่างประหลาดใจเมื่อได้ยินดังนั้น มู่จงที่อยู่ด้านข้างกล่าวเสริมขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “เมื่อไม่กี่วันก่อนเขาเพิ่งจะสามารถทะลวงเปิดเส้นลมปราณในจุดที่เก้าได้ด้วยตัวเอง ทำให้วรยุทธ์ของเขาในตอนนี้อยู่ในระดับทงม่ายขั้นเก้าแล้วขอรับ”
“โอ้ คนผู้นี้แท้จริงแล้วเ้าคือสัตว์ประหลาดใช่หรือไม่? ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน เ้ากลับสามารถพัฒนาจากคนธรรมดากลายเป็ผู้ฝึกยุทธ์ระดับทงม่ายขั้นเก้าได้!”
มู่ขวงใเล็กน้อย
มู่เฟิงเองก็ใเช่นกัน
“เด็กหนุ่มผู้นี้มีร่างกลืนจิติญญา เขาสามารถกลั่นพลังปราณของผู้อื่นให้กลายเป็ของพลังปราณของตัวเองได้ เป็ร่างกายแบบพิเศษที่ไม่ธรรมดา”
ฉับพลันนั้นเสียงของซีเยว่พลันดังขึ้นในห้วงความคิดของมู่เฟิง
“ร่างกลืนจิติญญา? เป็ร่างกายแบบใดกัน?”
มู่เฟิงเอ่ยถามด้วยความสนใจ
“พลังปราณของผู้ฝึกยุทธ์แต่ละคนนั้นจะมีความแตกต่างกันตามความเหมาะสมของร่างกาย โดยปกติแล้วจะไม่สามารถยืมพลังปราณหรือดูดซับพลังปราณของผู้อื่นไปใช้ได้ แต่ร่างกายของเขานั้นพิเศษ มันสามารถดูดซับพลังปราณและพลังชีวิตของผู้อื่นไปเป็ของตัวเองได้ แต่แน่นอนว่ามันยังมีข้อเสียด้วยเช่นกัน พลังปราณที่เขาดูดซับไปจากผู้อื่นจะไม่สามารถเข้ากับร่างกายของเข้าได้หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ ดังนั้นในเวลาที่ทะลวงเปิดเส้นลมปราณ พลังปราณเหล่านี้อาจจะกลายเป็พลังมารและแว้งกัดเอาได้ง่ายๆ แต่เื่นี้เป็ปัญหาที่สามารถแก้ไขได้ เมื่อใดที่้าจะทะลวงเปิดเส้นลมปราณเพียงกินยาระงับมารเอาไว้ เท่านี้ก็สามารถลดโอกาสทึ่จะเกิดอันตรายได้แล้ว”
ซีเยว่อธิบาย
“บนโลกนี้ช่างเต็มไปด้วยเื่ราวมหัศจรรย์มากมายนัก คาดไม่ถึงว่าจะยังมีร่างกายเช่นนี้อยู่ด้วย”
มู่เฟิงทอดถอนใจกับตัวเอง
“โอ้ วรยุทธ์ระดับทงม่ายขั้นเก้า นับว่าไม่เลว แต่เ้ายังเอาชนะข้าไม่ได้หรอกนะ เวลานี้วรยุทธ์ของข้าได้ทะลวงขึ้นสู่ระดับจื่อฝู่แล้ว”
มู่ขวงวางมือลงบนไหล่ของไป๋จื่อเยว่ขณะกล่าวด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเขาได้ออกแรงบีบฝ่ามือลงบนไหล่ของอีกฝ่าย แรงมหาศาลนี้ทำให้ไป๋จื่อเยว่ต้องร้องออกมาด้วยความเ็ป
“มู่ขวง เ้าสามารถทะลวงขึ้นสู่ระดับจื่อฝู่ได้แล้วงั้นหรือ?”
มู่จงตกตะลึง
เวลานี้มู่ขวงเพิ่งจะมีอายุเพียงสิบห้าปีเท่านั้น
“ถูกต้อง ความสำเร็จนี้ต้องขอบคุณพี่เฟิง บนเทือกเขาอันหนาน ข้าและพี่เฟิงได้ทำการฝึกฝนอย่างหนัก จนสามารถทะลวงสู่ระดับจื่อฝู่ได้สำเร็จ”
มู่ขวงยกมือเกาศีรษะพลางกล่าวปนยิ้ม
“ทั้งหมดล้วนมาจากการฝึกฝนอย่างหนักของตัวเ้าเอง ข้าไม่ได้มีส่วนช่วยอะไรเ้ามากนักหรอก”
มู่เฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม และปฏิเสธคำชมนี้
“ให้ตายเถอะ ข้าอุตส่าห์คิดว่าหลังจากทะลวงผ่านระดับทงม่ายขั้นเก้าได้แล้วจะสามารถเอาชนะเ้าได้เสียอีก คาดไม่ถึงว่าเ้าจะพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นแล้ว”
ไป๋จื่อเยว่กล่าวอย่างเศร้าสร้อย
“หึๆ จื่อเยว่ การที่เ้าสามารถฝึกฝนมาจนถึงระดับนี้ได้ภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน ถือว่าเ้าประสบผลสำเร็จมากแล้ว หากเป็คนธรรมดาทั่วไปเกรงว่าคงต้องใช้เวลาสองถึงสามปีกว่าจะได้ผลลัพธ์เช่นเ้า”
มู่เฟิงตบลงบนบ่าของเด็กหนุ่มพลางกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“พี่เฟิง พวกท่านไปอาบน้ำชำระล้างร่างกายก่อนเถิด ร่างกายของพวกท่าน...”
มู่หลานกล่าวขึ้นขณะบีบจมูกตัวเอง
มู่เฟิงชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะลองดมกลิ่นกายบนตัว และพบว่าเวลานี้ร่างกายของเขากำลังคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นเหงื่อและกลิ่นคาวเื ซึ่งเป็กลิ่นที่ไม่น่าอภิรมย์เลยสักนิด
มู่เฟิงและมู่ขวงยิ้มออกมาอย่างเก้อเขิน ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “งั้นข้าขอตัวไปอาบน้ำก่อน ท่านอาจง ่นี้ในตระกูลมีเื่ใดเกิดขึ้นหรือไม่?”
ขณะที่พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปยังโรงอาบน้ำหลักของจวน มู่เฟิงก็ได้เอ่ยคำถามขึ้น
“ขอรับ มีเื่บางอย่างเกิดขึ้นขอรับ”
เมื่อได้ฟังคำถามนี้ คิ้วหนาของมู่จงก็ขมวดเป็ปมในทันที ใบหน้าของเขาดูเคร่งขรึมลงเล็กน้อย
“มีเื่อะไรงั้นหรือ?”
หลังมู่เฟิงได้เห็นสีหน้าที่เคร่งขรึมลงของมู่จง เด็กหนุ่มก็ััได้ถึงเค้าลางบางอย่างในทันที
“เมื่อไม่กี่วันก่อน เครื่องมือปราณและยาอายุวัฒนะบางส่วนที่ทางตระกูลรองส่งออกไปขายยังต่างเมืองถูกปล้นชิงไป ทำให้เวลานี้ทางตระกูลรองกำลังประสบปัญหาเื่การค้าขอรับ”
มู่จงกล่าวตอบ
“เครื่องมือปราณและยาอายุวัฒนะถูกปล้นชิง!”
มู่เฟิงขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะถามขึ้นอีกครั้งว่า “ท่านรู้หรือไม่ว่าเป็ฝีมือของผู้ใด?”
“เื่นี้ยังไม่แน่ชัดขอรับ ยังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบ แต่เวลานี้ร้านค้าหลักหลายแห่งของตระกูลมู่ไม่มีสินค้าเหลือให้ขายแล้วขอรับ”
มู่จงถอนหายใจ
มู่เฟิงหรี่ตาลงโดยไม่ได้พูดอะไร พวกเขาเข้าไปในโรงอาบน้ำด้วยกันเพื่อชำระล้างร่างกาย ก่อนจะผลัดเปลี่ยนชุดเป็เสื้อผ้าที่สะอาดสะอ้าน
หลังออกมาจากโรงอาบน้ำ พวกเขาก็ได้พบกับคนคุ้นเคยอีกสองสามคน
“พี่ใหญ่ ท่านเพิ่งกลับมา ท่านคงยังไม่รู้ ข้าจะเล่าให้ท่านฟังเอง คราวก่อน... เฮ้ มู่เฟิง!”
กลุ่มคนจากฝั่งตรงข้ามเดินมาทางนี้อย่างรวดเร็ว พวกเขาเดินเข้ามาขวางหน้ามู่เฟิงและคนของมู่เฟิงเอาไว้
“พี่มู่ลี่ มีเื่อะไรงั้นรึ?”
มู่เฟิงเอ่ยถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
มูลี่และคนอื่นๆ ได้เดินเข้ามาขวางหน้ามู่เฟิงเอาไว้ นอกจากนี้ในหมู่พวกเขายังมีชายหนุ่มในชุดคลุมสีน้ำเงินคนหนึ่งซึ่งอายุน่าจะราวๆ ยี่สิบกว่าปี ใบหน้าของชายผู้นี้ดูธรรมดาไม่มีอะไรโดดเด่น เมื่อเขาเห็นกลุ่มของมู่เฟิงเดินออกมาจากโรงอาบน้ำ พวกเขาก็เดินเข้าไปขวางอีกฝ่ายเอาไว้ในทันที
“เื่น่ะมีแน่ เื่ระหว่างเราในคราวก่อนนั้นยังไม่จบ”
มู่ลี่กล่าวตอบด้วยใบหน้าบูดบึ้ง
“มู่ลี่ คนผู้นี้คือคุณชายมู่เฟิงที่เ้าพูดถึงงั้นรึ?”
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีน้ำเงินขมวดคิ้วก่อนจะเอ่ยถามขึ้น
“ถูกต้องแล้วขอรับพี่ใหญ่ เขาคือคุณชายจากตระกูลหลัก คราวก่อนเป็เขาที่ทุบตีข้า จนข้าลุกจากเตียงไม่ได้ถึงครึ่งเดือน”
มู่ลี่กำหมัดแน่นขณะกล่าว
ชายหนุ่มจ้องมองไปยังมู่เฟิง โดยที่เด็กหนุ่มยังคงมีท่าทีเฉยเมย ส่วนมู่ขวงกลับแสยะยิ้มออกมา “ครั้งนั้นเป็ตัวเ้าที่รนหาที่เอง พี่เฟิงเพียงสั่งสอนวิธีการปฏิบัติตัวให้เ้าก็เท่านั้น”
“เ้า…”
มู่ลี่เดือดดาลขึ้นมาทันใด แต่ชายหนุ่มผู้นั้นกลับยกมือขึ้นห้ามปรามอีกฝ่ายเอาไว้ก่อน
ชายหนุ่มมองมายังมู่เฟิงก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “คุณชายเฟิงใช่หรือไม่ ข้ามีนามว่ามู่อวี่ เป็พี่ชายของมู่ลี่ คุณชายเฟิงเป็ทายาทสายหลักของตระกูล นับว่ามีฐานะสูงศักดิ์ แต่ถึงอย่างไรเวลานี้เ้าก็อยู่ในจวนตระกูลรองของพวกเรา ฉะนั้นเ้าจะทำตามอำเภอใจไม่ได้ จะแลกเปลี่ยนฝีมือกันก็ช่างเถิด แต่เหตุใดต้องลงมือหนักถึงเพียงนี้ ทุบตีคนในตระกูลจนลุกจากเตียงไม่ได้ถึงครึ่งเดือน แบบนี้ไม่มากเกินไปหน่อยหรือ”
หลังจากกล่าวจบสีหน้าของมู่อวี่ก็พลันเปลี่ยนเป็เ็า
ขณะที่มู่เฟิงกำลังขมวดคิ้วมองไปยังมู่อวี่
เขาเคยได้ยินเื่ราวของชายหนุ่มผู้นี้มาก่อน อีกฝ่ายคืออัจฉริยะของตระกูลรอง ในตอนที่มีอายุได้สิบเจ็ดปีอีกฝ่ายก็ได้เข้าศึกษาในสำนักฝึกยุทธ์ชื่อดังแห่งหนึ่งของอาณาจักรหนานหลิง
มู่เฟิงกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “พี่มู่อวี่กล่าวหนักเกินไปแล้ว หากผู้อื่นไม่คิดทำร้ายข้า ข้ามู่เฟิงย่อมไม่คิดทำร้ายผู้อื่น ส่วนเื่ของพี่มู่ลี่เป็อย่างไรนั้น ภายในใจของเขาย่อมทราบดีที่สุด นอกจากนี้ แม้ข้าจะมาจากตระกูลหลัก แต่ข้าไม่ได้สนใจเื่เกียรติยศหรือสถานะ ทั้งท่านและข้า เราต่างก็เป็ลูกหลานตระกูลมู่ด้วยกันทั้งนั้น”
“เหลวไหล เห็นได้ชัดว่าเ้าจงใจโอ้อวดสถานะอันสูงศักดิ์ต่อหน้าตระกูลรองของพวกเรา เ้าถึงได้จงใจลงมือหนักเช่นนี้”
มู่ลี่คำรามออกมาอย่างเกรี้ยวกราดราวกับว่าสิ่งที่ตนพูดนั้นคือเื่จริง
“สมองของเ้ามีปัญหาหรืออย่างไร? ครั้งนั้นเป็เ้าที่คิดจะทำให้ผู้อื่นอับอาย แต่กลายเป็เ้าที่ต้องอับอายเสียเอง”
มู่เฟิงเริ่มมีโทสะขึ้นมาบ้างแล้ว เขาก้าวไปข้างหน้าพร้อมจ้องหน้ามู่ลี่อย่างเ็า ฉับพลันนั้นคลื่นพลังปราณภายในร่างของเขาพลันเอ่อล้นออกมา เมื่อััได้ถึงคลื่นพลังสะกดข่มนี้ มู่ลี่ถึงกับพูดไม่ออกและต้องก้าวถอยออกไปสองก้าว พร้อมมองไปทางมู่เฟิงด้วยสีหน้าหวาดกลัว
“วรยุทธ์ระดับจื่อฝู่! เส้นลมปราณระดับจื่อฝู่ของเ้าไม่ได้ถูกทำลายไปแล้วหรอกหรือ?”
มู่ลี่ใเป็อย่างมาก คราวก่อนที่เขาสู้กับมู่เฟิง เขาััได้ว่าวรยุทธ์ของอีกฝ่ายนั้นเป็เพียงระดับทงม่ายเท่านั้น
“ฮึ่ม ถึงอย่างไรข้าก็ยังเรียกเ้าว่าพี่ หากเ้ายังไม่รู้จักวางตัวให้ดี อาจจะได้นอนบนเตียงต่อไปอีกครึ่งเดือน พวกเราไปกันเถอะ”
มู่เฟิงตอกกลับอย่างเ็า จากนั้นเขาได้พาคนของตนเดินออกไปโดยไม่สนใจมองอีกฝ่าย
“ช้าก่อน”
ขณะที่เด็กหนุ่มกำลังจะเดินผ่านไป มู่อวี่ได้ยื่นมือออกมาขวางมู่เฟิงเอาไว้ สีหน้าของเขาแสดงออกถึงความโกรธ “ดูเหมือนว่าคุณชายเฟิงจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับคนตระกูลรองอย่างพวกข้าเลยแม้แต่น้อย ในเมื่อวรยุทธ์ของเ้าเองก็อยู่ในระดับจื่อฝู่ เช่นนั้นเ้าจะยอมรับคำท้าของข้าหรือไม่?”