สองผู้าุโจากตระกูลอินต่างก็มองภาพนี้ด้วยความตื่นตะลึงที่มากกว่าเดิม พวกเขาจับจ้องร่างของเด็กสาวตัวน้อยผู้นั้น โดยที่ภายในใจต่างก็มีความรู้สึกหวาดกลัวจนสั่นสะท้าน
มู่เฟิงมองกระบี่เล่มนั้นอย่างตกตะลึง เป็ชั่วขณะหนึ่งที่เขาไม่อาจทำใจให้สงบได้ สิ่งนี้ทำให้เขาหวนนึกไปถึงหญิงสาวในชุดคลุมสีขาวราวกับหิมะผู้นั้น ครั้งแรกที่ได้พบกับหลิ่วอีเสวี่ยก็มีเหตุการณ์ให้เขาต้องใเช่นนี้เหมือนกัน
เป็กระบี่ที่รวดเร็วยิ่งนัก? การเคลื่อนไหวของซีเยว่ในร่างของซู่เหลียนนั้นรวดเร็วมาก เร็วจนไม่อาจตอบสนองได้ทันเลยสักนิด
“ผู้าุโอินก้วน!”
ผู้าุโที่เหลืออีกสองคนแผดเสียงร้องออกมาอย่างหดหู่ จากนั้นพวกเขาก็หันไปมองทางซู่เหลียนอย่างโกรธแค้นแต่ก็แฝงเอาไว้ด้วยความหวาดหวั่น
ดวงตาของซู่เหลียนที่เหลือบมองไปทางผู้าุโทั้งสองนั้นดูเ็าและไร้ความรู้สึกเป็อย่างยิ่ง
“เ้า แท้จริงแล้วเ้าเป็คนหรือหุ่นเชิดกันแน่?”
ผู้าุโตระกูลอินเอ่ยถามเสียงสั่นอย่างหวาดกลัว
มุมปากของซู่เหลียนบิดโค้งขึ้น จากนั้นนางก็กล่าวว่า “ข้าจะเป็คนหรือหุ่นเชิดนั้นไม่สำคัญ แต่หากพวกเ้ายังขวางข้า พวกเ้าจะได้สังเวยชีวิตให้กับกระบี่เล่มนี้ของข้าตามสองคนนั้นไปแน่”
“เ้าสามารถพูดได้ จะ เ้าไม่ใช่หุ่นเชิด!”
เมื่อเห็นว่าซู่เหลียนสามารถพูดได้ แต่ละคนต่างก็ก้าวถอยหลังออกไปสองก้าวด้วยความใ
หูเถี่ยหนิ่ว ซานเหล่าเอ้อ ข่งย่วนและคนอื่นๆ ต่างก็มองไปทางซู่เหลียนด้วยความเหลือเชื่อเช่นกัน ไม่มีใครคาดคิดว่าเด็กสาวที่มู่เฟิงพาออกมาจากวังโบราณจิ่วซานจะมีพละกำลังที่น่าสะพรึงกลัวถึงเพียงนี้!
ร่างเล็กของซู่เหลียนเดินเข้าหาอีกฝ่ายอย่างเชื่องช้า กระบี่เซวียนหยินที่มีความยาวสี่ฟุตในมือของนางดูไม่เข้ากับนางเลยสักนิด แต่มันกลับยิ่งขับให้นางดูมีพลัง!
ผู้าุโทั้งสองของตระกูลอินยังคงถอยหนีอย่างรวดเร็ว รวมถึงศิษย์ตระกูลอินที่เหลือด้วยเช่นกัน แต่ในความเป็จริงนั้นเป้าหมายของซู่เหลียนก็คือซือถูคง
เมื่อซือถูคงเห็นว่าซู่เหลียนกำลังเดินมาทางเขา ใบหน้าของเขาก็ซีดเผือดลง พร้อมทั้งยังถอยห่างออกไปไม่หยุด
เขาหันไปมองทางมู่เฟิงและตวาดอย่างเ็าว่า “มู่เฟิง เ้าคิดจะทำอะไร?”
มู่เฟิงยิ้มหยัน ก่อนจะกล่าวว่า “อะไร ข้าจะทำอะไรได้ มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับข้ากัน?”
ซู่เหลียนจ้องซือถูคงขณะค่อยๆ ก้าวเท้าเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างใจเย็น นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมยว่า “ตลอดชีวิตนี้ของข้า สิ่งที่ข้ารังเกียจมากที่สุดก็คือการทรยศหักหลังอย่างที่เ้าทำ”
พรึ่บ!
หลังจากกล่าวจบ ซู่เหลียนก็ทะยานร่างออกไปด้วยความเร็วสูง นางเคลื่อนกายรวดเร็วมากจนกลายเป็เพียงลำแสงสีขาวนวลที่พุ่งตรงไปทางซือถูคง
สีหน้าของซือถูคงพลันเปลี่ยนไปเป็อย่างมาก เขารีบนำพลังกังหยวนทั้งหมดในร่างออกมาเป็เกราะป้องกัน แต่ในตอนที่เขากำลังจะตวัดกระบี่ออกมาเพื่อตั้งรีบนั้น...
ฉัวะ!
“อ๊าก…!”
ซือถูคงหวีดเสียงร้องโหยหวนออกมา แขนข้างหนึ่งที่ถือกระบี่หลุดกระเด็นออกจากไหล่ทันที ส่วนเกราะพลังกังหยวนก็ถูกทำลายลงในพริบตา
ร่างของซือถูคงกลิ้งลงไปบนพื้น ก่อนที่เืไหลจะทะลักออกมาจากหัวไหล่และกลายเป็แผลฉกรรจ์ขนาดใหญ่ เสียงกรีดร้องของเขาเหมือนกับหมูที่ถูกเชือด
จากนั้นซู่เหลียนก็พาดกระบี่ลงบนลำคอของซือถูคง ความเย็นจากคมกระบี่ทำให้ซือถูคงไม่กล้ากรีดร้องออกมาอีกแม้จะเ็ปมากก็ตาม ร่างกายของเขากำลังสั่นเทา เขารีบหันไปทางมู่เฟิง พร้อมกับแสดงท่าทางวิงวอน
“มู่เฟิง ข้าผิดไปแล้ว ปล่อยข้าไปเถอะ”
เหตุใดเขาจะไม่เข้าใจ เด็กสาวผู้นี้้าจะสังหารเขาเพราะมู่เฟิง
แต่มู่เฟิงกลับมองอย่างเฉยชาและยังคงไม่สนใจ
แววตาของซือถูคงปรากฏร่องรอยของความสิ้นหวัง ความรู้สึกสำนึกเสียใจปะทุขึ้นภายในใจของเขา
“มู่เฟิง อย่าสังหารข้าเลย ข้ายินดีจะรับใช้เ้า เป็ทาสของเ้า อย่าสังหารข้าเลย!”
ซือถูคงะโออกมาด้วยความกลัวจับขั้วหัวใจ แต่ในเวลาเดียวกันนั้น ซีเยว่ก็ขยับกระบี่เล่มยาวในมือ ทำให้ศีรษะของซือถูคงขาดกระเด็นออกจากร่างทันที ส่วนร่างไร้ศีรษะของซือถูคงก็ล้มฟุบลงบนพื้น
“ซือถูคง!”
เมื่อเห็นภาพนี้ หยางฉาน โจวเหวินเฉวียนและคนอื่นๆ ต่างก็ร้องอุทานออกมาด้วยความใ ส่วนข่งเซวียนเอ๋อร์นั้นไม่อาจทนมองภาพนี้ได้ ในอดีตนางเคยชื่นชมเขามาก แต่เวลานี้เขากลับต้องมาตายในสภาพที่น่าสยดสยอง
ข่งย่วนถอนหายใจ นางส่ายหน้าโดยไม่พูดอะไร
หลังจากซือถูคงทอดทิ้งนางและข่งเซวียนเอ๋อร์ไว้กับฝูงค้างคาวภายในวังโบราณจิ่วซาน ภายในใจของนางก็มีเส้นแบ่งระหว่างซือถูคงกับตัวนางแล้ว
เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ภายในใจของมู่เฟิงมีเพียงความเฉยชาเท่านั้น แต่ในส่วนลึกของเขากลับมีความรู้สึกไม่เต็มใจและจิติญญาแห่งการต่อสู้แฝงอยู่ภายใน เขารู้สึกไม่เต็มใจที่ตนแข็งแกร่งไม่มากพอจนต้องให้ซีเยว่ลงมือแทน
หากวันนี้ซีเยว่ไม่เคลื่อนไหว เกรงว่าเขาคงจะต้องเผยร่างชูร่าออกมาเท่านั้น ถึงจะสามารถหลุดรอดจากหายนะครั้งนี้ไปได้
เขารู้ว่าซีเยว่กำลังปกป้องเขา ไม่้าให้เขาเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา แต่สำหรับมู่เฟิงแล้ว เขาเป็บุรุษสูงเก้าฟุต ทว่ากลับต้องมารับการปกป้องจากสตรีผู้หนึ่ง เื่นี้ทำให้เขารู้สึกไม่เต็มใจนัก แม้ว่าก่อนที่ซีเยว่จะเสียชีวิตนางจะเคยเป็คนที่แข็งแกร่งมากมาก่อนก็ตาม
ถึงอย่างไรก็ควรจะเป็บุรุษที่ต้องปกป้องสตรีมิใช่หรือ?
“เยว่เอ๋อร์ ตอนนี้กำลังของข้ายังอ่อนแอนัก แต่สักวันหนึ่งข้าจะแบกท้องฟ้าทั้งผืนให้เ้าเอง*...”
(*แบ่งเบาภาระ มีกำลังมากจนสามารถจัดการปัญหาใหญ่ได้)
มู่เฟิงมองไปทางซู่เหลียนที่ถูกควบคุมโดยซีเยว่พลางกล่าวพึมพำกับตัวเอง
เมื่อคนของตระกูลอินเห็นว่าเด็กสาวผู้น่าสะพรึงกลัวผู้นั้นสามารถสังหารยอดฝีมือระดับหนิงกังขั้นเก้าได้อย่างง่ายดาย พวกเขาก็ไม่สงสัยในความแข็งแกร่งของนางอีกต่อไป
ซู่เหลียนกวาดตามองผู้คนทั้งหมดอย่างเ็า จากนั้นนางก็เดินถือกระบี่กลับไปหามู่เฟิงและโผตัวเข้าไปสวมกอดเด็กหนุ่มทันที
มู่เฟิงตกตะลึง แต่ซีเยว่กลับกระซิบข้างหูของเขาว่า “รีบไปเถอะ พลังที่เ้ามอบให้ข้ากำลังจะหมดแล้ว”
มู่เฟิงพยักหน้า ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้กับเสี่ยวเทียนที่อยู่ด้านข้าง
“โฮก…”
เสี่ยวเทียนคำราม ก่อนที่ร่างกายของมันจะถูกห่อหุ้มเอาไว้ด้วยพลังปราณและค่อยๆ ลอยขึ้นกลางอากาศ
มู่เฟิงประคองร่างซีเยว่ะโขึ้นไปบนหลังของงูเจียว จากนั้นเขาก็หันไปขยิบตาให้ข่งย่วน ข่งเซวียนเอ๋อร์ หูเถี่ยหนิ่วและซานเหล่าเอ้อ
อีกฝ่ายจึงะโขึ้นมาบนหลังของเสี่ยวเทียนตามเด็กหนุ่มไปทันที
“โฮก…!”
เสี่ยวเทียนส่งเสียงคำรามออกมาอีกครั้ง จากนั้นมันก็บินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมกับกลุ่มคนที่อยู่บนหลัง ศิษย์ตระกูลอินหลายคนต่างก็รีบง้างคันธนู แต่ไม่มีใครกล้ายิงออกไป
ทุกคนทำได้เพียงมองเสี่ยวเทียนบินจากไปโดยไม่มีใครกล้าหยุดมัน
เมื่อเห็นภาพนี้ ผู้าุโทั้งสองของตระกูลอินต่างก็ตัวสั่นด้วยความโกรธแค้น ครั้งนี้นอกจากจะไม่ได้รับสมบัติใดแล้ว พวกเขายังต้องสูญเสียผู้าุโระดับหนิงกังไปถึงสองคน กล่าวได้ว่าขโมยไก่ไม่สำเร็จยังเสียข้าวสารไปอีก เสียฮูหยินเสียซ้ำขุนศึก*
(*สูญเสียซ้ำสองในครั้งเดียว)
หากเื่นี้หลุดออกไป เกรงว่าตระกูลอินคงจะต้องกลายเป็ตัวตลกในเมืองจิ่วซานอย่างแน่นอน
มู่เฟิงประคองร่างของซู่เหลียนให้นั่งลงบนหลังของงูเจียว ส่วนคนอื่นๆ ต่างก็จ้องมองเขาอย่างประหลาดใจ และลอบคาดเดาถึงความสัมพันธ์ระหว่างมู่เฟิงกับเด็กสาวผู้นี้
“เยว่เอ๋อร์ ขอบคุณเ้ามาก”
มู่เฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงแ่เบา
“หนทางของผู้แข็งแกร่งย่อมต้องเดินด้วยตัวเอง ต่อจากนี้หากไม่ใช่ในสถานการณ์ที่อยู่ท่ามกลางความเป็ความตาย ข้าจะไม่ช่วยเหลือเ้าอีก”
ดวงิญญาของซีเยว่ยังคงอยู่ในร่างของซู่เหลียน นางยังไม่ได้กลับคืนสู่หยกเทพชูร่า ดังนั้นเมื่อถูกมู่เฟิงประคองกอดเอาไว้ในอ้อมแขน ใบหน้าของนางจึงแดงระเรื่อขึ้นมาด้วยความกระอักกระอ่วนใจ
“ข้าเข้าใจแล้ว ในอนาคตข้าจะแบกท้องฟ้าทั้งผืนให้เ้าเอง จากนี้ผู้ที่จะกำบังลมฝนไม่ควรเป็เ้า แต่ควรเป็ข้า”
มู่เฟิงมองไปยังดวงอาทิตย์สีแดงที่กำลังจะลาลับขอบฟ้า แม้น้ำเสียงของเขาจะแ่เบาแต่กลับฟังดูหนักแน่นยิ่งนัก
ซีเยว่ยิ้ม
“ข้าจะรอวันนั้น...”
เมื่อกล่าวจบ จิติญญาของนางก็ออกจากร่างซู่เหลียนและกลับคืนสู่หยกเทพชูร่า ดวงตาที่มีชีวิตชีวาของซู่เหลียนพลันหายไปและกลับคืนสู่ความมึนงงอีกครั้ง กลับกลายเป็หุ่นเชิดิญญาที่ปราศจากชีวิต
“มู่เฟิง เ้าคนสารเลว รู้หรือไม่ว่าข้าเป็ห่วงเ้ามาเพียงใด”
ทันใดนั้นข่งเซวียนเอ๋อร์ก็เดินมาหามู่เฟิง นางสวมกอดเขาพร้อมกับร้องไห้ออกมา
มู่เฟิงปล่อยให้ข่งเซวียนเอ๋อร์พิงร่างเข้ามาเช่นนั้น ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าขอโทษ เราเพิ่งเป็สหายกัน ข้าไม่้าให้เ้าเข้ามาพัวพันกับเื่นี้”
ข่งเซวียนเอ๋อร์มองไปทางซู่เหลียนที่อยู่ในอ้อมแขนของมู่เฟิงอีกครั้ง ก่อนจะถามด้วยความสงสัย “นางเป็ใครหรือ? พลังของนางช่างร้ายกาจยิ่งนัก”
“นางมีนามว่าซู่เหลียน เป็หุ่นเชิดิญญา”
มู่เฟิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมบอกความจริงออกมา
“หุ่นเชิดิญญา! เป็หุ่นเชิดิญญาที่มีพลังเหนือกว่าหุ่นเชิดเกราะทองอย่างนั้นหรือ!”
ข่งย่วนกล่าวด้วยความประหลาดใจ เห็นได้ชัดว่านางรู้จักระดับของหุ่นเชิดเป็อย่างดี
มู่เฟิงพยักหน้า ตอนที่เขาตกอยู่ในอันตราย คนเหล่านี้ล้วนเคยออกตัวปกป้องเขาทั้งสิ้น ดังนั้นเขาคงจะรู้สึกไม่ดีนักหากต้องปิดบังอีกฝ่ายต่อไป