เฉียวรุ่ยเดินออกมาด้วยสีหน้าเ็ป เขามองไปทางหลิ่วเทียนฉีที่เดินอยู่ด้านข้าง
“เทียนฉี โอสถนั่นจะใช้ได้หรือ?” หากโอสถใช้ได้จริง คนของวิทยาลัยโอสถก็น่าจะรักษาอีกฝ่ายหายไปแล้วสิ ไม่ผลัดมาถึงพวกเขาหรอก? แต่หากใช้ไม่ได้ เช่นนั้นศิลาทิพย์สองพันกว่าก้อนนี่ ไม่ใช่การตำน้ำพริกละลายแม่น้ำหรือ?
“วางใจเถอะ ข้ารักษานางหายดีได้แน่!” เขาค่อนข้างมั่นใจกับภารกิจนี้เชียวล่ะ!
“อ้อ!” ได้ยินคนรักรับประกันเช่นนี้ เฉียวรุ่ยไม่พูดอะไรอีก ในเมื่อเทียนฉีมั่นใจ คงไม่มีปัญหาใดเกิดขึ้นหรอกกระมัง?
ทันใดนั้น ป้ายหมายเลขในอกเสื้อของหลิ่วเทียนฉีพลันส่องแสงขึ้น เมื่อเขาเอาออกมาดู ปรากฏว่าเป็ข้อความจากอีกฝ่าย
“ทำไมหรือ?”
“ไม่มีอะไร ศิษย์พี่หญิงคนนั้นถามข้าว่าเมื่อไรจะว่างไปรักษานางน่ะ!”
ได้ยินคำนี้ เฉียวรุ่ยพลันหัวเราะ “ศิษย์พี่หญิง รีบร้อนพอดูเลยนะ!”
“ข้าให้นางไปที่บ้านพวกเราตอนกลางคืนดีไหม?” หลิ่วเทียนฉีมองเฉียวรุ่ยพลางเอ่ยถามอย่างจริงจัง
“ทำไมถามข้าเล่า? ไม่ใช่ข้าที่รับภารกิจเสียหน่อย?”
“แต่เ้าเป็ภรรยาข้านี่ ข้าจะไม่ถามเ้าแล้วพาหญิงอื่นกลับบ้านได้อย่างไรเล่า?” หลิ่วเทียนฉีพูดเหมือนเป็เื่สมควร
“พูดเหลวไหลอะไรของเ้าเล่า? ข้า ข้าไม่อะไรสักหน่อย?”
หลิ่วเทียนฉีมองใบหน้าน้อยแดงอย่างน่ารัก ก่อนส่งป้ายหมายเลขให้ “เ้าตอบข้าหน่อยสิ!”
เห็นบนป้ายหมายเลข ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็ส่งข้อความมาสามหน ล้วนถามว่าเมื่อไรจะเริ่มรักษา เฉียวรุ่ยถึงรู้ว่าศิษย์พี่หญิงคงรีบร้อนเป็อย่างมาก เขาคิดครู่หนึ่งจึงตอบกลับ นัดอีกฝ่ายไปพบที่เรือนน้อยตรงเขาด้านหลังวิทยาลัยยุทธ์ยามเซิน1
ได้คำตอบจากเฉียวรุ่ย อีกฝ่ายดูดีใจเป็อย่างยิ่ง บอกกลับมาว่าคืนนี้จะไปตรงเวลาอย่างแน่นอน
“ศิษย์พี่หญิงคนนี้ ช่างรีบร้อนจริงนะ!” เห็นป้ายหมายเลขตอบกลับรวดเร็วปานนี้ เฉียวรุ่ยก็ส่ายศีรษะ หลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อย
“นัดนางแล้วหรือ?”
“อืม ข้าให้นางมาหาที่บ้านพวกเรายามเซิน!”
“ดี เก็บป้ายหมายเลขไว้ที่เ้าเถอะ!” หลิ่วเทียนฉีพยักหน้า ไม่ออกความเห็นเพิ่ม
“อื้อ!” เฉียวรุ่ยขานรับ เก็บป้ายหมายเลขไป ป้ายนี้สำคัญยิ่ง หากมีสิ่งนี้ อีกฝ่ายไม่มีทางหนีหนี้ ไม่ให้ศิลาทิพย์ได้เป็อันขาด
“กลางคืนต้องรักษาให้ศิษย์พี่หญิงคนนั้น ข้าควรกลับไปเตรียมตัวสักหน่อย วันนี้คงไม่พาไปที่อื่นแล้ว รอข้ารักษาศิษย์พี่หญิงหายดี พอได้ศิลาทิพย์มา ข้าพาเ้าไปแช่น้ำพุทิพย์ดีไหม?” หลิ่วเทียนฉีมองเฉียวรุ่ย ปรึกษากับอีกฝ่าย
“ดีเลย ถ้าอย่างนั้นพวกเรารีบกลับกันเถอะ เ้ารับภารกิจครั้งแรก อย่าทำแย่เสียเล่า!” เฉียวรุ่ยพยักหน้าหลายหน
หากล้มเหลว ต้องเสียตั้งหมื่นก้อนศิลาทิพย์เชียวนะ ต่อให้ไม่ได้เงินรางวัล ก็ไม่ควรเสียเงินจำนวนมากให้ผู้อื่นนี่?
“ฮ่าๆๆๆ...” เห็นท่าทางกังวลอย่างน่าเอ็นดูของเสี่ยวรุ่ย เขารู้สึกขบขันเล็กน้อย
ในใจคิด ‘เสี่ยวรุ่ยของเขานี่นะ กลัวความจนเสียจริง เจอเื่เกี่ยวกับศิลาทิพย์เข้า ก็อ่อนไหวเป็พิเศษเลย’
ดังนั้น เมื่อพวกเขาออกจากตำหนักทองมา ทั้งสองคนจึงเดินตรงไปยังวิทยาลัยยุทธ์
ระหว่างทางต้องเดินผ่านป่าแห่งหนึ่ง พวกเขาพบผู้ฝึกตนชายห้าคน
“ศิษย์พี่ทั้งห้ามีธุระอันใดหรือ?” หลิ่วเทียนฉีเห็นทั้งห้าคนสวมเครื่องแบบวิทยาลัยควบคุมสัตว์อสูร ยืนขวางทางไปของพวกเขาอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไรนัก
“ศิษย์น้องทั้งสองมาใหม่สินะ? ไปตำหนักทองได้ คงได้มาไม่น้อยเลยสิ?” เ้าเคราดกที่ดูเป็หัวหน้ามองทั้งสองคน หัวเราะเสร็จก็เอ่ยขึ้น
“ฮ่าๆๆ ศิษย์พี่ชมเกินไปแล้ว พวกเราเป็เพียงศิษย์ใหม่เพิ่งเข้าสำนักเท่านั้น!” หลิ่วเทียนฉียกมุมปากยิ้มเ็า กล่าวอย่างถ่อมตน
“ในเมื่อเป็ศิษย์ใหม่ ถ้าเช่นนั้นก็้าคนคุ้มครองสิ! ค่าคุ้มครองหนึ่งคนสามพันศิลาทิพย์ หลังจากนี้พวกเราศิษย์พี่จะปกป้องศิษย์น้องทั้งสองให้ดี ศิษย์น้องคิดว่าอย่างไรเล่า?” เ้าเคราดกชำเลืองมองทั้งสองคน หัวเราะเล็กน้อยก่อนถาม
“พวกเ้า นี่พวกเ้าคิดจะปล้นกันซึ่งๆ หน้าเลยหรือ?” เฉียวรุ่ยได้ยินคำพูดของเ้าเคราดก พลันรู้สึกโกรธเกรี้ยวเป็อย่างยิ่ง
พวกเขาคิดอะไรอยู่? กลางวันแสกๆ ถึงกับมาปล้นชิงเช่นนี้? คิดว่าพวกเขาเป็ลูกพลับนุ่มนิ่มจริงหรือ?
“เฮ้อ ศิษย์น้อง อย่าพูดจาไม่น่าฟังเช่นนั้นสิ? วิทยาลัยเซิ่งตูแห่งนี้ช่างกว้างใหญ่นัก หากมีคนรังแกศิษย์น้องทั้งสอง ไม่มีใครปกป้อง คิดว่าจะเป็อย่างไรเล่า?” เ้าเคราดกพูดเหมือนเป็เื่ถูกต้องยิ่งนัก
“ใช่แล้ว!” เ้าลิงผอมที่อยู่หลังเ้าเคราดกพูดขึ้นอย่างเห็นด้วย
“ฮะๆ แล้วใครว่าไม่ใช่เล่า?”
เ้าเคราดกพูดจบ สี่คนด้านหลังก็ร้องรับ ทั้งหมดล้อมหลิ่วเทียนฉีกับเฉียวรุ่ยไว้ตรงกลาง
“ศิษย์พี่พูดถูก พวกเราเพิ่งมาใหม่ ยัง้าให้ศิษย์พี่ทั้งหลายคุ้มครอง ศิษย์น้องพอมีศิลาทิพย์อยู่บ้าง เช่นนั้นขอมอบเป็ของขวัญให้ศิษย์พี่ทั้งหลายก็แล้วกัน!”
“เทียนฉี ให้พวกเขาไม่ได้นะ!” เฉียวรุ่ยยื่นมือไปคว้าแขนหลิ่วเทียนฉีไว้
“ไม่เป็ไร ถือเสียว่าผูกมิตร!” หลิ่วเทียนฉีพูดพลางทำหน้าประจบมองไปทางเ้าเคราดก มือกำแขนของเฉียวรุ่ยแน่น
“อืม ศิษย์น้องคนนี้ ช่างอ่านสถานการณ์ได้ดีจริงเชียว!” เ้าเคราดกมองหลิ่วเทียนฉี มันพยักหน้าหลายหนอย่างพึงพอใจ
“ขอบคุณศิษย์พี่ที่ชม!” หลิ่วเทียนฉีก้มศีรษะคำนับเ้าเคราดกทีหนึ่ง อาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายไม่ระวัง หยิบยันต์วิเศษกำหนึ่งออกมา แปะยันต์วายุแผ่นหนึ่งลงบนร่างตนแล้วโยนยันต์ะเิห้าแผ่นใส่ทั้งห้า
“ตูม...”
เสียงะเิดังขึ้นทีหนึ่ง ผู้ฝึกตนสามคนถูกะเิจนาเ็หนัก อีกสองคนาเ็เล็กน้อย มันหงายหลังล้มอยู่กับพื้นทั้งสิ้น
“สารเลว เ้าสารเลวสองคน...”
เมื่อทั้งห้าคนที่หมอบอยู่บนพื้นเริ่มส่งเสียงด่า หลิ่วเทียนฉีกับเฉียวรุ่ยก็บินหายไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว
“เทียนฉี จะไม่เป็ไรหรือ?” เมื่อกลับมาถึงเรือนน้อย เฉียวรุ่ยมองไปทางคนรักอย่างเป็กังวล
“วางใจเถอะ วิทยาลัยเพียงมีกฎว่าไม่อาจเข่นฆ่าศิษย์ร่วมสำนัก ไม่ได้มีกฎบอกไม่อาจทำร้ายศิษย์ร่วมสำนักได้นี่ คนเ่าั้ล้วนเป็ระดับสร้างรากฐานกับระดับฝึกปราณขั้นแปดขั้นเก้า ยันต์ะเิห้าแผ่นไม่พอเอาชีวิตพวกเขาหรอก!”
“อ้อ!” ได้ยินอย่างนั้น เฉียวรุ่ยพยักหน้ารับ
หลิ่วเทียนฉีนั่งลงบนเก้าอี้ จากนั้นเอากระดาษยันต์ พู่กันเขียนยันต์และหมึกยันต์ของตนออกมา
“ข้าต้องวาดยันต์จำนวนหนึ่งให้ศิษย์พี่พวกนั้นสักหน่อย หากพวกเขากล้ามาอีก เ้าก็เอายันต์วิเศษขว้างใส่พวกเขาได้เลย แต่จำไว้ อย่าเอาชีวิตเป็อันขาด!”
“อืม ข้ารู้แล้ว! เ้าวาดยันต์เถอะ ข้าจะคุ้มกันให้เอง ไม่มีทางให้ใครเข้ามารบกวนเ้าหรอก!”
“ดี!” หลิ่วเทียนฉียิ้มเล็กน้อย มองเฉียวรุ่ยทีหนึ่งก่อนยกพู่กันขึ้น
เฉียวรุ่ยก้าวออกจากเรือนน้อยมานั่งอยู่ในลาน คอยคุ้มกันให้หลิ่วเทียนฉี
.........
ยามเซิน ผู้ฝึกตนหญิงรูปร่างสะโอดสะอง สวมผ้าปิดหน้าสีดำคนหนึ่งเดินทางมาถึงเรือนไม้ของเฉียวรุ่ย
“ท่านนี้คือหลิ่วเทียนฉี ศิษย์น้องหลิ่วสินะ?” ผู้ฝึกตนหญิงเดินเข้ามาในเรือน นางเห็นเฉียวรุ่ยก็เดินมาตรงหน้าอย่างตื่นเต้น
“อ่า ไม่ใช่หรอก ข้าคือเฉียวรุ่ย เป็คู่หมั้นของหลิ่วเทียนฉี ตอนนี้เทียนฉีกำลังเตรียมการรักษาให้ศิษย์พี่อยู่ในห้องน่ะ” เฉียวรุ่ยส่ายศีรษะ รีบอธิบาย
“อ้อ!” ผู้ฝึกตนหญิงพยักหน้า มองประเมินเฉียวรุ่ยอยู่พักหนึ่งถึงเอ่ยขึ้น “ศิษย์น้องเฉียวเป็ผู้ฝึกยุทธ์หรือ?”
“อ่า ใช่แล้ว! ข้าเป็ผู้ฝึกยุทธ์!”
“ถ้าอย่างนั้นศิษย์น้องหลิ่วเล่า? ศิษย์น้องหลิ่วเป็นักหลอมโอสถงั้นหรือ?” ผู้ฝึกตนหญิงมองเฉียวรุ่ยพลางถามอย่างสงสัย
“อ้อ ไม่ ไม่ใช่หรอก เทียนฉีเป็ผู้ใช้ยันต์ขั้นสามน่ะ!”
“ผู้ใช้ยันต์?” ได้ยินคำนี้ นางอดขมวดคิ้วไม่ได้ ในใจคิด ‘ผู้ใช้ยันต์จะมารับภารกิจรักษาใบหน้าของนางได้อย่างไรเล่า? ไม่แปลกเกินไปหรือไง?’
“ศิษย์พี่ ท่านมาแล้ว!” ไม่นาน หลิ่วเทียนฉีก็เดินออกมาจากในห้อง
“อา ศิษย์น้องหลิ่ว!” ผู้ฝึกตนหญิงเห็นคนที่มาจึงก้มต่ำ คำนับให้ทีหนึ่ง
“ไม่ทราบว่าศิษย์พี่เรียกขานว่าอย่างไรหรือ?” หลิ่วเทียนฉีมองอีกฝ่าย ถามอย่างมีมารยาท
“ข้าชื่อเมิ่งเฟย!”
“งั้นศิษย์พี่เมิ่ง เชิญด้านใน!” หลิ่วเทียนฉีวาดมือเชิญอย่างนอบน้อม ให้อีกฝ่ายเดินเข้าห้อง
“อืม!” เมิ่งเฟยพยักหน้า เดินเข้าเรือนน้อยตามทั้งสองคนไป
“ศิษย์พี่ เชิญนั่ง!” หลิ่วเทียนฉีเชิญเมิ่งเฟยนั่งบนเก้าอี้ รินชาถ้วยหนึ่งให้อีกฝ่าย
“ศิษย์น้องหลิ่ว ข้าไม่ได้มาดื่มชา ข้าเพียงมารักษาใบหน้า แรกเริ่มข้าคิดว่าเ้าเป็ศิษย์พี่ศิษย์น้องของวิทยาลัยโอสถถึงได้รับภารกิจของข้า แต่คิดไม่ถึงว่าเ้ากลับเป็ผู้ใช้ยันต์เช่นนี้!” พูดถึงตรงนี้ เมิ่งเฟยพลันกลัดกลุ้ม
หากรู้ล่วงหน้าว่าอีกฝ่ายเป็ผู้ใช้ยันต์ นางคงไม่มา
“จากที่ข้าทราบมา ศิษย์พี่เมิ่งเคยให้ศิษย์พี่จากวิทยาลัยโอสถรักษาใบหน้าให้ แต่ผลลัพธ์กลับไม่ดีนัก ในเมื่อศิษย์พี่วิทยาลัยโอสถทำไม่ได้ ถ้าเช่นนั้น ไยศิษย์พี่เมิ่งไม่ลองทางใหม่ เปลี่ยนให้ผู้ใช้ยันต์คนหนึ่งมารักษาท่านเล่า?”
“นี่ ที่ศิษย์น้องหลิ่วพูดก็มีเหตุผล แต่...”
“ศิษย์พี่เมิ่งโปรดวางใจ หากข้ารักษาใบหน้าของศิษย์พี่เมิ่งไม่หาย ข้าไม่ขอรับศิลาทิพย์สักก้อน!”
ได้ยินหลิ่วเทียนฉีเอ่ยเช่นนี้ เมิ่งเฟยก็ส่ายศีรษะ
“นั่นไม่จำเป็หรอก เอาเช่นนี้เถิดศิษย์น้องหลิ่ว ข้าให้เ้ารักษาก็ได้ หากเ้ารักษาใบหน้าข้าจนหายดี ศิลาทิพย์หนึ่งหมื่นก้อน ข้าจะให้เ้าไม่ขาด แต่หากเ้ารักษาข้าไม่หาย ข้าจะให้ค่าใช้จ่ายอุปกรณ์เ้าแค่ห้าร้อยก้อนศิลาทิพย์ หวังว่าจุดนี้ เ้าจะเข้าใจ!”
ได้ฟังจนจบ เฉียวรุ่ยย่นจมูก โอสถเม็ดหนึ่งก็แปดร้อยแล้วนะ? ครั้งนี้คงขาดทุนยับกระมัง!
“ตกลง ศิษย์พี่เมิ่งพูดจาได้กระชับเสียจริง ถ้าเช่นนั้นก็ทำตามที่ศิษย์พี่เมิ่งว่าเถอะ!” หลิ่วเทียนฉีพยักหน้า รับปากอีกฝ่าย
“ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้พวกเราเริ่มกันเลยดีไหม?” เมิ่งเฟยมองหลิ่วเทียนฉี ถามอย่างร้อนใจ
ไม่ว่าอย่างไร มีคนผู้หนึ่งยินดีรับประกาศรางวัลของตนเช่นนี้ ทำให้เมิ่งเฟยมองเห็นความหวังอันริบหรี่อยู่เล็กน้อย
“ได้ เชิญศิษย์พี่เมิ่งปลดผ้าคลุมหน้า!”
“อืม!” เมิ่งเฟยพยักหน้า ปลดผ้าคลุมหน้าลง
เมื่อเห็นรอยตำหนิจุดใหญ่บนหน้าซีกซ้ายของเมิ่งเฟย เฉียวรุ่ยขมวดคิ้วแน่น รอยตำหนิของอีกฝ่ายดูใหญ่นัก ใบหน้าซีกซ้ายแทบมองไม่เห็นเนื้อดี ล้วนเป็สีเขียวดำไปหมด รอยตำหนิแถบใหญ่เช่นนี้จะรักษาอย่างไรเล่า?
หลิ่วเทียนฉีเอาเข็มเงินเล่มหนึ่งออกมาจากในแหวนมิติแล้วเดินมาข้างหน้า พินิจขนาดของรอยตำหนิบนใบหน้าอีกฝ่ายนิดหน่อย จากนั้นเอาเข็มจิ้มตำแหน่งที่หนาที่สุดบนรอยตำหนิทีหนึ่งทันที
“อ๊ะ...” เมิ่งเฟยขมวดคิ้วพลางกัดฟัน
หลิ่วเทียนฉีดึงเข็มเงินออกมา มองสิ่งที่เหลืออยู่จางๆ บนเข็มเงินเล็กน้อย เขาพยักหน้าเงียบๆ เอาโอสถออกมาส่งให้เมิ่งเฟย
“ศิษย์พี่เมิ่ง ท่านกินโอสถนี่ก่อน!”
เมิ่งเฟยรับไป พอเห็นว่าเป็โอสถไร้ตำหนิก็ขมวดคิ้ว “โอสถไร้ตำหนิชนิดนี้ข้าเคยกินแล้ว ไม่มีผลอะไรหรอก!”
“ไม่ ครั้งนี้จะได้ผล!”
เมิ่งเฟยเห็นหลิ่วเทียนฉีเหมือนมีแผนอยู่ จึงรับโอสถไปกลืนลงท้อง
พอเห็นเมิ่งเฟยกินโอสถเรียบร้อย เขาเอายันต์วิเศษสองแผ่นออกมา แปะลงบนใบหน้าซีกซ้ายที่มีรอยตำหนิของอีกฝ่าย
“ศิษย์น้องหลิ่ว นี่คือยันต์อะไรหรือ?” เมิ่งเฟยมองยันต์บนหน้าตน ถามศิษย์น้องอย่างสงสัย
“ยันต์โฉมงาม ศิษย์พี่อย่างเพิ่งรีบกระตุ้นยันต์เชียวล่ะ รอหลังโอสถในร่างท่านออกฤทธิ์ ค่อยเคลื่อนพลังทิพย์ของท่านมาบนใบหน้า ใช้พลังทิพย์ของท่านเองกระตุ้นยันต์วิเศษสองแผ่นนี้ซ้ำๆ การรักษาเช่นนี้ต้องใช้เวลาหนึ่งชั่วยาม ระหว่างนี้ท่านอาจรู้สึกเ็ปราวกับโดนแผดเผา แต่ท่านห้ามใช้มือเกาใบหน้าเชียวนะ หากกลัวควบคุมตนเองไม่อยู่ ให้ข้าหาเชือกเส้นหนึ่งมัดมือท่านไว้กับเก้าอี้ก็ได้!”
ได้ฟังคำพูดของหลิ่วเทียนฉี เมิ่งเฟยพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้นก็มัดเถอะ!” เพื่อรักษาใบหน้า นางย่อมเชื่อฟังอีกฝ่ายอยู่แล้ว
“ได้ เสี่ยวรุ่ย มัดศิษย์พี่ไว้!” หลิ่วเทียนฉีพูดพลางเอาใยไหมฟ้าเส้นหนึ่งออกมาส่งให้
“อืม!” เฉียวรุ่ยรับมาก่อนเดินไปข้างกายเมิ่งเฟย มัดสองมือของอีกฝ่ายไว้บนเก้าอี้
--------------------------------------------------------------
1 ยามเซิน (申时) หมายถึง เวลา 15.00 - 17.00 น.