จากหางตาของมู่จื่อหลิง นางสังเกตเห็นคนบนต้นไม้เก่าแก่ที่ขึ้นอยู่ไม่ไกลนัก นางสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนเงยหน้ามองอย่างไม่รู้ตัว
คนผู้นั้นสวมชุดกระโปรงสีเหลืองอ่อน นั่งงอเข่าข้างหนึ่งอยู่บนกิ่งไม้ กระโปรงพลิ้วไหว แผ่นหลังเอนพิงลำต้นของต้นไม้หนา ในมือถือแส้ยาวสีดำ ลูบอย่างสบายอารมณ์
นางแย้มยิ้มเยาะเย้ย ดวงตาเต็มไปด้วยความชั่วร้ายและความเกลียดชัง ดวงตาดุร้ายราวกับจะพ่นพิษออกมากำลังจ้องมองมู่จื่อหลิงอย่างแหลมคม
ชุดสีเหลือง...
จู่ๆ หัวใจของมู่จื่อหลิงก็เต้นรัว
สิ่งอัปมงคลเข้าหานางไม่หยุด ระลอกหนึ่งหมดไป ระลอกใหม่ก็เข้ามาทันที
ใน่เวลาต่อมา มู่จื่อหลิงรู้สึกเพียงว่าหนังศีรษะของนางชา ไม่สบายไปทั้งตัว
คนผู้นี้มาถึงั้แ่เมื่อไหร่ เหตุใดนางไม่รู้ตัวเลย?
สาวใช้สองคนก่อนหน้านี้ นางยังสามารถััได้ถึงอันตรายที่ใกล้เข้ามา แต่ครั้งนี้ไม่เพียงแต่นางไม่รู้สึกถึงร่องรอยของอันตรายเท่านั้น แม้แต่การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของคนผู้นี้นางก็ไม่รับรู้แม้แต่น้อย
คนผู้นี้สามารถปรากฏตัวโดยไม่มีเสียง แม้จิติญญาบนร่างของนางจะแข็งแกร่ง ก็ไม่อาจรู้สึกได้
จากสิ่งนี้จะเห็นได้ว่า คนผู้นี้แข็งแกร่งเพียงใด
ใช่แล้ว ตามที่เฉิงอวี้ได้อธิบายไว้ก่อนหน้านี้ หวงอีผู้นี้ถนัดวิชาแส้และยาพิษ สมองจึงมีความยืดหยุ่นมากที่สุดในบรรดาพวกนาง วรยุทธ์ของนางก็ไม่ต่างกัน
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ใจมู่จื่อหลิงรู้สึกเศร้าจนนางอยากจะกรีดร้องออกมาดังๆ
น่าหงุดหงิดจริงๆ!
ทุกอย่างเป็ไปอย่างราบรื่นและสมบูรณ์แบบ แต่ยามนี้?
สถานการณ์ยามนี้ไม่ต่างจาก...ตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลังเลยไม่ใช่หรือ?
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้มู่จื่อหลิงรู้สึกเกลียดที่สุดคือการที่นางเป็ตั๊กแตนที่เศร้าสร้อย อีกทั้งนางยังถูกพบก่อนที่นางจะกินเสร็จและเช็ดปาก
นี่เป็ดั่งเรือมาสาย ทั้งยังต้องแล่นต้านลมอีก [1] ไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้แล้ว
มู่จื่อหลิงคิดว่า นางควรยึดอาชีพซื้อสลากกินแบ่งเป็อาชีพหลักจริงๆ
ไม่ใช่หรือ...
ยามนี้บนหัวของนาง ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็มีคำว่า ‘ซวย’ ตามติดไปด้วยทุกที่ กลิ่นอายอัปมงคลติดตัวนางไม่มีหลุด เช่นนี้โอกาสถูกสลากกินแบ่งย่อมสูงมาก ถูกเป็ร้อยครั้งได้เลย!
การที่หวงอีสามารถหาที่นี่พบได้อย่างราบรื่น เป็เพราะก่อนหน้านี้ นางพบกับเ้าหน้าที่และทหารกลุ่มหนึ่งระหว่างทาง จึงรับรู้ตำแหน่งของมู่จื่อหลิงจากการสนทนาของพวกเขา
จากนั้นนางก็ใช้เวลาเนิ่นนาน พลิกหาไปตามเส้นทางที่หลากหลาย ก่อนที่นางจะพบสถานที่ที่ซ่อนอยู่ซึ่งมู่จื่อหลิงอยู่ภายใน
น่าเสียดาย ยามที่หวงอีมาถึงถ้ำศพ ภายในก็ว่างเปล่าเสียแล้ว ไม่มีใครตรงปากถ้ำ ยกเว้นเหล่าซากศพหน้าตาเน่าเฟะน่ากลัวแล้ว ก็ไม่มีใครอื่นอีก
สมองของหวงอีแจ่มใส ดังนั้นนางจึงรู้ว่ามีเพียงสองทางเลือกในการหาตัวมู่จื่อหลิง
ทางออกจากเขาโฮ่วซานมีเพียงทางเดียวเท่านั้น แต่ที่นั่นมีสหายของนางสองคนเฝ้ารออยู่ ดังนั้นนางจึงเลือกค้นหาภายในป่าทึบในูเาลึก
แต่คาดไม่ถึง นางเริ่มค้นหาได้ไม่นาน พบว่าการเคลื่อนไหวมาจากที่นี่ ดังนั้นนางจึงตามหาที่มาของเสียง โดยไม่พูดมาก
อย่างที่เห็น เมื่อนางมาถึง นางมาช้าไปหนึ่งก้าว ลวี่จู๋ทำภารกิจล้มเหลว
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่หวงอีคาดไม่ถึงก็คือ ขยะอย่างมู่จื่อหลิงผู้ไม่ได้ถืออาวุธใดๆ กลับสามารถสังหารสหายทั้งสองของนางได้ด้วยมือเปล่า อีกทั้งวิธีการนั้นค่อนข้างโหดร้าย
เดาได้ไม่ยากว่าศพที่ใบหน้าถูกทำลายทั้งขาถูกเฉือนตรงทางเข้าถ้ำ ก็คือเฉิงอวี้
สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า ดูเหมือนเ้าขยะมู่จื่อหลิงผู้นี้จะเก็บซ่อนความลับเอาไว้ สิ่งนี้ทำให้หวงอีคันไม้คันมือมาสักพักแล้ว จิติญญาแห่งการต่อสู้ของนางลุกโชนขึ้นอีกครั้ง
รูม่านตาสีเหลืองคล้ายเหยี่ยวหรี่ลงอย่างชั่วร้าย เปลวเพลิงภายในแผดเผาล้ำลึก มองลงมาที่มู่จื่อหลิงที่อยู่ใต้ต้นไม้ราวกับนางเป็นกข่งเชวี่ย [2] ที่โอหังอวดดี
น้ำเสียงเ็าแปลกประหลาดของนาง กล่าวแ่เบาๆ “มู่จื่อหลิง ข้าไม่คิดเลยว่ามีโรคระบาดที่เกิดขึ้นในเมืองหลงอัน แต่เ้ากลับสามารถรักษาสุขภาพให้แข็งแรงมาจนถึงยามนี้ได้”
จากนั้นหวงอีก็ชำเลืองมองลวี่จู๋ที่ตายในสภาพน่าอนาถ แววตานางแฝงความเยือกเย็น “...สามารถฆ่าเฉิงอวี้และลวี่จู๋ได้ มีความสามารถมากทีเดียว”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ มู่จื่อหลิงอดไม่ได้ที่จะนึกเย้ยหยัน อีกทั้งแววเย้ยหยันยังฉายชัดในดวงตาของนาง นางได้ข้อสรุปทันที
สาวใช้ของเยวี่ยหลิงหลง แม้จนถึงยามนี้นางจะเคยพบเพียงแค่สามคน แต่ละคนที่เข้ามาล้วนเก่งกล้ากว่าเดิม แต่พวกนางล้วนมีปัญหาเดียวกัน
พวกนางล้วนหยิ่งผยอง รูจมูกเชิดชี้ฟ้า ใจแคบ มีตาสุนัขมองเหยียดคนต่ำกว่า [3]
สองคนแรกล้วนเสียชีวิตอย่างอนาถด้วยเหตุผลนี้ แต่ยามนี้เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้เฝ้าระวังนาง
ยิ่งหวงอีที่สมองปราดเปรื่องยิ่งไม่ต้องพูดถึง อีกทั้งวรยุทธ์ของนางยังสูงส่ง เห็นสหายของนางตายด้วยน้ำมือตน ไม่จำเป็ต้องบอกก็รู้ว่าความระแวดระวังต่อนางจึงเพิ่มขึ้นมาก
เป็ผลให้กลเม็ดความสามารถเล็กน้อยของนางไร้ผล ถึงนำออกมาก็ไม่มีผลใดมากไปกว่าการหลอกเล่น ไม่เพียงทำให้อีกฝ่ายหัวเราะเยาะ ยังเป็การแสวงหาความตายที่เลวร้ายยิ่งกว่าเก่า
ทันทีที่นางเงยหน้าขึ้น าแบนคอของนางที่นางเพิ่งทำแผลไปเมื่อครู่ก็สร้างความเ็ปอย่างรุนแรงต่อนาง ดังนั้นมู่จื่อหลิงจึงเพียงแค่เหลือบมองหวงอีที่อยู่บนต้นไม้ จากนั้นจึงก้มหน้าลง ไม่คิดจะหันมองอีกเป็ครั้งที่สอง
เื่มาถึงจุดนี้แล้ว ถึงมองอีกครั้ง ก็ไม่อาจทำให้คนเห็นความตายได้โดยตรง แล้วเหตุใดนางจะต้องทนทุกข์ไปมากกว่านี้ด้วย?
แต่ไม่คิดเลยว่า เนื่องจากการกระทำของมู่จื่อหลิงที่ก้มหน้าลง หวงอีจึงคิดว่านางหวาดกลัว ไม่กล้ามองนางโดยตรง
“ใช่ เ้ามีความสามารถ ชีวิตที่ต่ำต้อยนี้ค่อนข้างแข็งแกร่ง ไม่เสียเปล่าที่ข้าเฝ้ารอเ้ามาหลายวัน ทั้งยังตามหาเ้ามาเนิ่นนาน เป็เื่ที่ดีจริงๆ” หวงอียิ้มเ็า นางจ้องมองตรวจสอบมู่จื่อหลิงด้วยตาเปล่า จากนั้นจึงเอ่ยปาก ‘ชื่นชม’ ครั้งแล้วครั้งเล่า
ทันทีที่พูดจบ หวงอีก็ยันกาย ยืนตรงบนกิ่งไม้สูง สะบัดแส้ยาวในมืออย่างไร้ปรานี
เพียงพริบตา นางก็ะโลงจากต้นไม้ราวต้าเผิงสยายปีก [4] ร่อนลงสู่พื้นไม่ไกลจากมู่จื่อหลิงมากนัก
เสียงหัวเราะเ็าของหวงอีค่อนข้างแปลก ราวกับเสียงของพญามัจจุราช มู่จื่อหลิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเย็นลงไปถึงสันหลัง
ใบหน้ามู่จื่อหลิงสงบราวสายน้ำ ปราศจากคลื่นลม นางมองหวงอีที่อยู่ห่างจากนางเพียงไม่กี่ก้าวอย่างเฉยเมย ไม่คิดจะพูดคุยกับนางแม้แต่น้อย
ยามมองสาวใช้ที่มีอำนาจเหนือกว่าต่อหน้าตน มู่จื่อหลิงรู้สึกได้ทันทีว่าสาวใช้สองคนก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะเป็เพียงการโหมโรง ยามนี้นี่คือศัตรูที่แท้จริง
แม้ว่าสองคนก่อนหน้านี้จะเป็เพียงการโหมโรงที่ไร้ความเ็ป แต่นั่นทำให้นางสูญเสียกำลังพลไป ทั้งยังทิ้งรอยแผลไว้มากมาย
คนผู้นี้เห็นสหายตายด้วยตาของตนเอง แต่นางกลับไม่วิตกกังวล ไม่ใจร้อน ไม่โกรธเป็ไฟ นิ่งสงบดั่งสายลม กล่าวได้ว่า สภาพทางจิตของนางสูงเกินไป
ยามเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจผู้นี้ นางจะชนะได้อย่างไร? มู่จื่อหลิงรู้สึกอยากแหงนมองท้องฟ้าอย่างไร้เรี่ยวแรง
ตอนนี้ วิธีจัดการคนตรงหน้าวิธีเดียวที่นางคิดได้ก็คือรอดูไปก่อน
ค่อยๆ ดูไปทีละนิด
ส่วนนางจะไปได้ถึงสุดทางหรือไม่นั้น...
มู่จื่อหลิงยิ้มอย่างขมขื่นในใจ ครั้งนี้นางสูญเสียความมั่นใจทั้งหมดไปแล้ว
“มา มา ให้ข้าดู คราวนี้เ้ายังมีทักษะอะไรอีก? แสดงออกมาให้หมด” หวงอีงอนิ้ว โบกแส้ในมือครั้งแล้วครั้งเล่า ใช้รอยยิ้มเย้ยหยันโห่ร้องยั่วโมโหนาง
ั้แ่ต้นจนจบหวงอีใช้น้ำเสียงราวผู้บังคับบัญชา ออกคำสั่งกับนางด้วยท่วงท่าของนางพญาผู้สูงส่ง ราวกับว่ายามนี้ในสายตาของนาง มู่จื่อหลิงตัวเล็กเพียงเศษฝุ่น
ดูเหมือนว่าหากในยามนี้มู่จื่อหลิงไม่มีทักษะใดเลย ก็จะไม่อาจดึงดูดสายตาของนางได้
คนผู้นี้เป็บ้า! มู่จื่อหลิงแอบกลอกตา
สีหน้ามู่จื่อหลิงไม่เปลี่ยน นางมองหวงอีอย่างเฉยเมย ผายมือออก “เป็อะไรไป ก่อนพวกเ้าจะตามสังหารข้า พวกเ้าไม่ได้ทำความเข้าใจให้ละเอียดมาก่อนหรือ? ยังจะมีอะไรให้แสดงได้อีกเล่า?”
ทักษะเล็กน้อยของนางถูกมองทะลุแล้ว ต่อหน้าความแข็งแกร่งที่แท้จริงนี้ นางเป็เพียงเสือกระดาษ นางจะแสดงอะไรได้อีก?
นางไม่ได้โง่! จนพุ่งเข้าหาความตายด้วยความร้อนรน
เพราะยามนี้เพียงแค่ฟังเสียงแส้ของหวงอี มู่จื่อหลิงก็รู้สึกเ็ปในเนื้อ
“ไม่มีอะไรให้แสดงแล้วจริงๆ” จู่ๆ หวงอีก็หัวเราะเยาะเย้ยเหยียดหยาม “เพราะเ้าไม่มีทักษะเลย เป็เพียงขยะชิ้นหนึ่งเท่านั้น เช่นนั้นการที่เ้าสามารถสังหารคนทั้งสองได้ คงเป็เพียงความบังเอิญใช่หรือไม่?”
พูดได้ไม่ผิดเลยสักนิด...มู่จื่อหลิงแอบเห็นด้วยในใจ
ไม่ใช่หรือ มันเป็เื่บังเอิญจริงๆ!
บังเอิญว่าคนหนึ่งไร้สมอง ส่วนอีกคนก็ตาบอด ทำให้นางมีโอกาสสังหารได้โดยตรง
ดังนั้นเมื่อมู่จื่อหลิงได้ยินคำพูดของหวงอี นางจึงไม่สนใจเลย
แต่เสี่ยวไตกูซึ่งยังคงพยายามตัดหัวลวี่จู๋ มันได้ยินใครบางคนเรียกนายน้อยว่าขยะ จะยอมได้หรือ?
ในยามนี้ เสี่ยวไตกูแทบไม่อาจสงบสติอารมณ์ได้
เสี่ยวไตกูดึงลิ้นยาวเล็กที่พันรอบคอลวี่จู๋ออกมาทันที
แต่ใครจะคิด การกระตุกลิ้นอย่างรุนแรงครั้งสุดท้ายของเสี่ยวไตกู กลับเหมือนเป็การตัดด้ายเส้นบางออก ทำให้คอที่ใกล้ขาดของลวี่จู๋แยกออกจากตัวในทันที
จุดที่ลวี่จู๋นอนอยู่เป็ทางลาดชันน้อยๆ ทันทีที่หัวปูดของนางขาดออก มันจึงกลิ้งลงมาตามทางลาดชัน ทั้งยังบังเอิญกลิ้งตรงเท้าของหวงอีพอดี
หวงอีผงะเล็กน้อย ร่องรอยของความสยดสยองปรากฏขึ้นในดวงตานาง
ในที่สุด หลังจากที่มองศีรษะของลวี่จู๋ หวงอีก็สังเกตเห็นเสี่ยวไตกูที่สามารถทำให้คนตาพร่าได้ซึ่งมันซุกตัวอยู่บนพื้นหญ้า
ทันใดนั้น ดูเหมือนหวงอีจะเข้าใจทุกอย่าง นางเย้ยหยันอย่างบ้าคลั่ง “ยายสาวตัวเหม็น นี่คือความสามารถในการซ่อนอยู่ของนางหรือ? มันมีพิษ! แต่ข้าชอบ...”
ยาพิษคือสิ่งที่นางถนัดและชอบมากที่สุด แต่หัวที่ขาดของลวี่จู๋กลับมีพิษที่นางไม่รู้จัก
ไม่จำเป็ต้องคิด หวงอีก็เข้าใจทันที
ปรากฏว่าความลับของมู่จื่อหลิงคือสิ่งนี้
ไม่ต้องพูดถึงว่าเ้าตัวน้อยที่มีแสงสีม่วงมีพิษที่นางไม่รู้จัก ทั้งยังเป็พิษร้ายแรง เพราะเพียงแค่แสงสีม่วงเหนือธรรมชาตินั้น มันดูราวสิ่งที่อยู่ในแดนเซียน แค่ได้มองก็ทำให้นางเกิดความหลงใหล
หวงอีมองเสี่ยวไตกู เพียงแวบเดียว นางทำราวพบเห็นเด็กทารก ั์ตาเป็ประกายวิบวับ แววตาเต็มไปด้วยความโลภ
มู่จื่อหลิงเห็นความโลภของหวงอีได้อย่างชัดเจน
นางขมวดคิ้ว นี่ไม่ใช่เื่ดีสำหรับนาง อีกทั้งยังแย่ยิ่งกว่าสำหรับเสี่ยวไตกู
แต่ใครจะรู้ ความกังวลในใจของมู่จื่อหลิงยังไม่ทันสงบลง...
ทันใดนั้น แสงสีม่วงก็สว่างวาบขึ้นในอากาศ
ในพริบตาเสี่ยวไตกูก็พุ่งเข้ามาเกาะไหล่มู่จื่อหลิง นอกจากนี้ยัง้าใช้วิธีที่ใช้จัดการกับลวี่จู๋เข้าจัดการกับหญิงน่าเกลียดที่ด่านายน้อยของมันผู้นี้
ทันใดนั้น เสี่ยวไตกูที่มีจิตใจเรียบง่ายก็แลบลิ้นใส่หวงอี
ในเวลาเดียวกันหวงอีไม่สามารถระงับความใจร้อนและความโลภในใจของนางได้ แส้ในมือของนาง จึงกระแทกเข้าที่ไหล่ของมู่จื่อหลิงในทันที......
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] เรือมาสาย ทั้งยังต้องแล่นต้านลมอีก (船漏又遇打头风) เป็วลี มีความหมายว่า ดวงไม่ดี สิ่งอัปมงคลเข้ามาไม่หยุด
[2] นกข่งเชวี่ย (孔雀) มีความหมายว่า นกยูง
[3] ตาสุนัขมองเหยียดคนต่ำกว่า (狗眼看人低) เป็วลี มีความหมายว่า คิดว่าตัวเองเก่งกล้าจึงดูถูกคนอื่น
[4] ต้าเผิงสยายปีก (大鹏展翅) เป็คำอุปมา มีความหมายว่า การกระทำที่โอ่อ่าสง่างาม โดยต้าเผิงคือคำเรียกนกั์ในตำนาน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้