ดวงตาดอกท้อของซูเจินที่เคยเปล่งประกายค่อยๆ ดำมืดลง
ถ้าดูจากมิตรภาพอันยาวนาน เขาคิดว่ารู้จักเย่เช่อดีแล้ว
อย่างไรก็ตาม ความเป็จริงมักไม่เป็อย่างที่คิดเสมอไป
ความเป็พี่น้องย่อมไม่ใช่ทุกอย่าง
แสงจันทร์สาดส่องไปทั่วพื้นดินราวกับมีเสื้อคลุมสีขาวปกคลุมความมืดเอาไว้ ทั้งหมดที่ซูเจินเห็นคือสีขาวบริสุทธิ์
เย่เช่อพูดเบาๆ “ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าปรมาจารย์ผู้นั้นเป็ใคร ตอนที่เขาสอนข้า เขาบอกเพียงว่าท่านตาจัดการให้ทั้งหมด แต่ทุกครั้งที่ข้าฝึกกระบี่กับปรมาจารย์ผู้นั้น ข้าจะได้ยินเสียงนกกระเรียนร้อง”
ซูเจินเข้าใจแล้วว่านี่น่าจะเป็ข้อตกลงอย่างหนึ่ง เขารู้สึกโล่งใจเล็กน้อยและกล่าวว่า “เป็เช่นนั้นเอง ถ้าฟังจากสิ่งที่เ้าพูดมาน่าจะเป็ปรมาจารย์อวี้เหอ”
ซูเจินพอรู้มาบ้างว่าปรมาจารย์อวี้เหอผู้มีสมญานามว่าเทพธิดาได้มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับประมุขตระกูลมู่ ความสัมพันธ์ดังกล่าวดูเหมือนจะซับซ้อนจนน่าปวดหัว
ซูเจินเลิกกล่าวถึงเื่นี้ เขาเปลี่ยนเื่ด้วยการกล่าวว่า “ไปเถอะ ไปดูน้องสาวข้าคัดอักษรดีกว่า”
ด้านอวิ๋นจื่อกำลังคัดอักษรอย่างว้าวุ่นใจ
ทันใดนั้นนางก็ตระหนักว่า “ข้ามอบสมองให้เ้าไม่ได้” ที่ซูเจินพูดถึงคืออะไร
เย่เช่อเป็คนแบบใด? เขาถูกเลี้ยงดูมาโดยแม่ทัพเจิ้นหนาน ทั้งยังมีความสัมพันธ์อันดีกับเสด็จอา คนเช่นนี้จะเป็ศัตรูที่ไม่มีพิษมีภัยและไม่เป็อันตรายต่อนางจริงๆ น่ะหรือ?
หนทางยังอีกยาวไกล
ถ้าฟังจากการสนทนาระหว่างซูเจินและเย่เช่อ นางทำความเข้าใจได้อย่างคร่าวๆ ว่าแม่ทัพเจิ้นหนานคือผู้อยู่เื้ัความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเย่เช่อ หากไม่มีเขา อำนาจของตระกูลฮั่วก็จะค่อยๆ หายไป
เท่าที่นางรู้มาท่าทีของตระกูลเย่นั้นไม่ชัดเจนจริงๆ ถ้าเย่เซียงสนใจบุตรชายคนนี้ เขาคงไม่ปล่อยให้เย่เช่อไปตกระกำลำบากอยู่ที่ชายแดนเป็เวลาหลายปี อีกทั้งนางยังเคยได้ยินมาว่าเย่เซียงรักอนุผู้เป็มารดาของเย่เหยียนมาก แต่ถ้าเย่เซียงไม่สนใจเย่เช่อ เหตุใดเขาถึงแต่งตั้งเย่เช่อเป็อ๋องอวิ๋นเมิ่ง?
ย้อนกลับไปสมัยราชวงศ์ก่อนหน้านี้ ทุกคนล้วนรู้ดีว่าเสด็จอาอยู่ห่างจากตำแหน่งรัชทายาทเพียงก้าวเดียวเท่านั้น
ถ้าไม่ใช่เพราะเสด็จอาปฏิเสธที่จะกลับมายังเมืองหลวงและขอพำนักอยู่ที่ชายแดน เสด็จพ่อคงไม่ได้ขึ้นเป็ฮ่องเต้ ครั้งหนึ่งนางได้ยินจินเหนียงกล่าวอย่างคลุมเครือว่าตระกูลซูในเมืองฉินโจวชื่นชอบเสด็จอามากกว่าเสด็จพ่อ
เป็ไปได้หรือไม่ว่าในอดีตราชสำนักมีเื่ลึกลับที่ไม่อาจป่าวประกาศได้?
บางทีนางควรเดินทางไปหาท่านตาที่เมืองฉินโจว
หากเย่เช่อถามว่านางคิดเช่นเดียวกับซูเจินหรือไม่ นางควรตอบอย่างไร?
นางจะติดตามเคียงข้างเขาไปตลอดชีวิตหรือไม่?
จากนี้ไปนางยินดีที่จะใช้ชีวิตที่เหลือกับเขาหรือไม่?
นางครุ่นคิดเื่นี้หลายครั้ง แต่ก็ไม่มีคำตอบใดที่น่าพอใจ
จู่ๆ ประโยคหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจของนาง
‘ข้ายินดีอยู่เคียงข้างนางไม่ว่าจะเป็ในยามที่เจริญรุ่งเรืองหรือในยามที่ต้องข้ามสายน้ำอันยาวไกล ข้าจะอยู่กับนางเสมอ’
นี่เป็เพียงประโยคสั้นๆ
แต่ดูเหมือนใครบางคนเคยพูดไว้
เมื่ออวิ๋นจื่อนึกถึงประโยคนี้ ระลอกคลื่นก็ปรากฏขึ้นในใจนาง นางเงยหน้าขึ้นแย้มยิ้มบางเบา ทันใดนางก็มองเห็นดวงตาที่สดใสของเย่เช่อ
ในชั่วพริบตาที่ทั้งคู่ประสานสายตา ราวกับมีแรงดึงดูดที่มองไม่เห็นระหว่างคนสองคน
ใบหน้าของซูเจินปรากฏรอยยิ้มบิดเบี้ยว เขามองไปที่ตัวอักษรอันยุ่งเหยิงบนกระดาษข้าวสีขาวก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยว่า “น้องสาวของข้าคงไม่มีสมาธิจริงๆ ดูตัวอักษรบนกระดาษนี่สิ สิ่งที่ข้าพูดกับเย่เช่อเมื่อครู่นี้ทำให้เ้าใหรือ?”
“ไม่เลยเ้าค่ะ” อวิ๋นจื่อกล่าวอย่างรวดเร็ว “ข้าเพียงไม่ชอบใจนักที่พวกท่านฝึกกระบี่แต่ปล่อยให้ข้ามาคัดอักษรตามลำพัง ช่างไม่ยุติธรรมจริงๆ”
นางกุเื่ขึ้นมาเอง
มันอาจฟังดูไร้สาระแต่ก็สมเหตุสมผลที่สุดในตอนนี้
ซูเจินรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย ในที่สุดหญิงสาวผู้นี้ก็รู้จักใช้สมองเสียที เขายิ้มและกล่าวว่า “เอาล่ะน้องสาว ข้าจะบอกให้เย่เช่อตามใจเ้าทุกอย่าง ตอนนี้เ้าไม่โกรธแล้วใช่หรือไม่? ถึงอย่างไรเ้าก็ต้องไปที่สำนักชิงซาน ดังนั้นไม่ต้องกังวลว่าจะไม่ได้ฝึกกระบี่ สำนักชิงซานถือเป็สำนักกระบี่อันดับหนึ่งในแผ่นดิน เ้าย่อมไม่ผิดหวังแน่นอน”
หญิงสาวยังคงมีใบหน้าเ็าและกล่าวว่า “สำนักกระบี่อันดับหนึ่งหรือ? ยังมีสำนักฮั่วซานที่ได้ชื่อว่าสำนักแห่งปรมาจารย์กระบี่ แถมยังมีสำนักขงถงที่ได้ชื่อว่าสำนักกระบี่ในตำนานอีก คงมีแค่สำนักชิงซานกระมังที่ไม่ค่อยเป็ที่รู้จัก พี่ชายหากไม่มีอะไรแล้วก็กลับไปเถิด คุณชายเย่ก็ด้วย ไม่ต้องมาปลอบใจข้า ข้ารู้สึกเหนื่อยเล็กน้อยและ้าพักผ่อน”
อวิ๋นจื่อเอ่ยวาจาไล่แขกโดยไม่ไว้หน้า
ซูเจินยิ้ม “เย่เช่อดูนางพูดเข้าสิ นางคงไม่ชอบหน้าเราสองคนจริงๆ”
เย่เช่อยิ้มตอบและกล่าวว่า “นี่ก็มืดแล้ว มารบกวนสตรีในห้องหอยามวิกาลเช่นนี้ไม่ใช่เื่ดี กลับกันเถอะ ให้นางพักผ่อน”
ทั้งสองคนเดินออกจากเรือนของอวิ๋นจื่อ และก่อนที่จะรู้ตัวพวกเขาก็เดินมาถึงสวนด้านหลังแล้ว
เย่เช่อกล่าวว่า “ซูเจิน วันนี้ข้าอยากดื่มสุรา”
ซูเจินถามว่า “เ้าแน่ใจหรือ? ข้าคิดว่าสถานที่แห่งนี้อยู่ใกล้เรือนของน้องสาวข้ามากเกินไป ข้าเป็ห่วงว่าเ้าอาจทำเื่ผิดพลาด”
เย่เช่อตกตะลึงไปชั่วครู่ก่อนจะหัวเราะและกล่าวว่า “นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราสองคนดื่มด้วยกัน เ้าไม่ไว้ใจข้าหรือ?”
ดวงตาดอกท้อของซูเจินเต็มไปด้วยความสดใส เขากล่าวว่า “วันนี้ย่อมแตกต่างจากในอดีต มีคำกล่าวโบราณว่า ‘หลังจากห่างกันสามวันควรมองหน้ากันด้วยความรักใคร่’ เ้ากับนางห่างกันหลายวัน ยิ่งไปกว่านั้นข้ารู้ว่าเ้าคิดอย่างไรกับนาง อาเช่อข้าไม่อยากให้เ้าทำผิดพลาด”
เย่เช่อพยักหน้า “ข้าย่อมเชื่อฟังเ้า”
ซูเจินมองท้องฟ้าและกล่าวว่า “อากาศดีแบบนี้เหมาะแก่การดื่มจริงๆ ไปที่เรือนของบิดาข้าดีกว่า อย่างไรเสียเขาก็ไม่ค่อยได้กลับจวน อีกทั้งเรือนของเขายังอยู่ไกลจากที่นี่ เ้าคิดอย่างไร?”
เย่เช่อพยักหน้าเห็นด้วย
สองคนนี้เหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิด พวกเขาดื่มสุราราวกับน้ำเปล่า เย่เช่อไม่รู้ว่าดื่มไปนานแค่ไหน แต่เมื่อตื่นขึ้นมาเขาก็พบว่าท้องฟ้ากำลังจะเปลี่ยนสีแล้ว
ซูเจินยังคงหลับสนิท
เขาผลักซูเจินให้ตื่น
ซูเจินมองท้องฟ้าด้วยความงุนงง เมื่อเห็นว่าใกล้สว่างแล้วจึงรีบกุลีกุจอลุกขึ้น “กลับไปที่เรือนกันเถอะ บิดาของข้าจะกลับมาในไม่ช้านี้แล้ว”
เย่เช่อรีบดึงมือเขากลับไปที่เรือน แต่กลับชะงักไปเพราะรู้สึกว่ามือของซูเจินอ่อนนุ่มเป็พิเศษ แตกต่างจากมือของชายหนุ่มเช่นเขาซึ่งเติบโตขึ้นที่ชายแดน มือของซูเจินนุ่มนิ่มเหมือนมือสตรี
เย่เช่อพึมพำอะไรบางอย่าง
ซูเจินหัวเราะเสียงดังและกล่าวว่า “นั่นเป็เื่ธรรมดา ข้ายังมีสตรีอีกมากมายให้โอบกอด ข้าจะปล่อยให้มือหยาบกร้านแบบเ้าได้อย่างไร? มีก็แต่ปี้เหยียนเท่านั้นที่เฝ้ารอเพียงเ้า”
เย่เช่อกล่าวว่า “แน่นอนว่านางย่อมดีที่สุด ดีกว่าสาวๆ ของเ้าทุกคนเสียอีก!”
ซูเจินกล่าวว่า “ความงามขึ้นอยู่กับคนมอง”
ทั้งสองสนทนากันจนกระทั่งมาถึงเรือนของซูเจิน สาวใช้หลายคนรอปรนนิบัติอยู่ก่อนแล้ว
ซูเจินกล่าวว่า “เอาล่ะ เ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ ประเดี๋ยวข้าจะให้ปี้เหยียนไปทานอาหารกลางวันเป็เพื่อนเ้า”
เย่เช่อพยักหน้าด้วยความพึงพอใจและจากไป
หลังจากที่เย่เช่อจากไป ดวงตาของซูเจินที่เดิมทีดูง่วงงุนก็เปลี่ยนเป็ประกายสดใสทันที หลังจากล้างเนื้อล้างตัวเรียบร้อยแล้ว เขาก็ตรงไปยังหอจุ้ยฮวน
ในที่สุดก็ถึงเวลาต้องไปพบนายหญิงแห่งศาลาฉีอวิ๋นแล้ว
ก่อนที่รถม้าของเขาจะไปถึงหอจุ้ยฮวน เขาก็เห็นบิดาของตนเองเดินออกมาจากหอจุ้ยฮวน
ใบหน้าดอกท้อของเขามืดลงทันที บิดาเช่นนี้เป็รอยด่างรอยใหญ่ของตำแหน่งบุตรชายของขุนนางผู้สูงศักดิ์ที่สุดในหยงโจว
เขาลงจากรถม้า เดินตรงไปหาบิดาและกล่าวทักทายด้วยความเคารพว่า “คารวะท่านพ่อ”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้