เมื่อขบวนเรถม้าของผู้นำตระกูลจากไป ความตึงเครียดที่ปกคลุมลานกว้างก็คลายลงอย่างรวดเร็ว ต้วนผิงอันรีบเข้ามาตบไหล่ อวิ่นหนิงเจี่ยเบา ๆ หนิวมู่อี้รีบเก็บถังน้ำที่หกกระจาย ก่อนที่ทั้งสามจะแยกย้ายกันไปทำภารกิจ่เย็นและมุ่งหน้ากลับไปยังที่พักของคนงาน
ที่พักของพวกเขาถูกจัดสรรให้เป็ เรือนพักรวม ที่ปลูกสร้างอย่างเรียบง่ายด้วยอิฐดินเผาและมุงหลังคาด้วยฟางแห้งอย่างประหยัดที่สุด มันตั้งอยู่ท้ายสุดของเขตปศุสัตว์ ใกล้กับป่าละเมาะและลำธารสายเล็ก ๆ ห้องพักของพวกเขาเป็ห้องเล็ก ๆ ที่ผนังกั้นด้วยไม้ไผ่สาน มีเพียง เตียงไม้ แข็ง ๆ สามตัว และ โต๊ะไม้ขนาดเล็ก ตัวหนึ่งตั้งอยู่กลางห้อง
ค่ำคืนนั้น ภายหลังอาหารเย็นที่เรียบง่าย เด็กหนุ่มทั้งสามก็มารวมตัวกันนั่งอยู่บนม้านั่งหน้าลานบ้านของเรือนพัก แสงจันทร์เสี้ยวถูกบดบังด้วยเมฆหนาทึบ ทำให้พวกเขาต้องจุด ตะเกียงน้ำมัน เพียงดวงเดียวบนโต๊ะไม้ แสงเทียนสีส้มสลัวสาดส่องลงบนใบหน้าของสามสหายที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและข้อสงสัย
อวิ่นหนิงเจี่ยค่อย ๆ คลี่ หนังสือเทียบ เก่า ๆ ที่ได้รับมาจากบิดาออกอย่างระมัดระวัง เมื่อคลี่ออกจนหมดเผยให้เห็นตัวอักษรที่สลักอย่างเป็ทางการ มันไม่ใช่เทียบเชิญ แต่เป็ โฉนดที่ดินเก่าแก่ฉบับหนึ่ง
ต้วนผิงอันและหนิวมู่อี้ต่างยื่นหน้าเข้ามามองด้วยความสนใจ
"โฉนด? ใครกันจะทิ้งที่ดินไว้ให้เ้า" หนิวมู่อี้พึมพำ
อวิ่นหนิงเจี่ยกวาดสายตาอ่านเนื้อความในโฉนดอย่างช้า ๆ ก่อนจะเอ่ยชื่อมารดาออกมาอย่างแ่เบา:
"โฉนดฉบับนี้ออกในนามของ ฉิงอวี้ มอบมรดกแก่ทายาท คือ อวิ่นหนิงเจี่ย โดยมีทรัพย์สินที่ระบุไว้คือ..."
เขาหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะอ่านคำต่อไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่อาจซ่อนความประหลาดใจได้
"... เขาหลงเซี่ยง และบริเวณโดยรอบทั้งหมด"
เมื่อได้ยินชื่อ เขาหลงเซี่ยง บรรยากาศในลานบ้านก็พลันเย็นะเืขึ้นมาทันที แม้กระทั่งเปลวเทียนก็ดูราวกับจะสั่นไหวด้วยความหวาดกลัว
ูเาหลงเซี่ยงนั้นมีชื่อเสียงในมณฑลเฟิงเป่าในทางที่ไม่ดีนัก มันเป็เขาที่สูงเสียดฟ้าอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของมณฑลเฟิงเป่าถูกกล่าวขานว่าเป็ดินแดนแห่งความ แล้งแค้นและอาถรรพ์
"บัดซบ! มารดาเ้า... มอบเขาปีศาจให้เ้า!" ต้วนผิงอันร้องอุทาน ดวงตาคมวาวของเขาเบิกกว้างด้วยความใ
"ใช่แล้ว" ต้วนผิงอันทำสีหน้าจริงจังขึ้นมา "พวกผู้ใหญ่ในปศุสัตว์เคยเล่าลือกันว่า ูเานั่นเต็มไปด้วยพลังปราณที่วุ่นวายและพิษร้าย ปลูกพืชหรือคิดจะสร้างสิ่งใดก็มิเคยได้ดอกผล ผู้คนคิดจะเข้าไปหาทรัพยากรก็ป่วยไข้ หรือไม่ก็เสียสติ"
เขาขยับเข้าไปใกล้ตะเกียง ลดเสียงลงจนเกือบเป็กระซิบ: "ข้าเคยได้ยินว่า มียอดยุทธ์ระดับ เทียนน่า (รับ์) เคยลองท้าทายขึ้นไปบนยอดเขาหวังจะทะลวงขั้นพลัง แต่ยังไม่ทันถึงข้ามคืน ก็หนีเตลิดหายไปมิกลับมาอีกเลย ไม่มีใครรู้ว่าเขาเจออะไร"
หนิวมู่อี้ ที่อวบอ้วนอยู่แล้วตอนนี้ตัวสั่นเทิ้มด้วยความกลัว "ใช่ ๆ! ข้าก็เคยได้ยิน! มีนักปราบปีศาจ จอมขมังเวทย์มากมายที่หวังขึ้นไปแสวงหาโชคลาภหรือปราบภูตผีปีศาจ ยังต้องโดนเล่นงานเกือบตาย พวกเขาลงมาพร้อมกับอาการเสียสติก็มี ทั้งสองอกสั่นขวัญหาย" หนิวมู่อี้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกปนเศร้าสร้อย "ไม่รู้ว่าจะยินดีหรือเสียใจดีที่เ้าได้เขาปีศาจนี่"
อวิ่นหนิงเจี่ยก้มลงมองโฉนดในมือ ใบหน้าน่ารักหมดจดของเขายังคงนิ่งสงบ แต่ดวงตาที่เป็ประกายอยู่เป็นิจนั้นดูเหมือนจะสะท้อนความมืดมิดของูเาหลงเซียงที่ผู้คนกล่าวขาน
บรรยากาศในเรือนพักยิ่งทวีความตึงเครียดขึ้น เมื่อเื่ราวของูเาหลงเซี่ยงถูกถ่ายทอดผ่านคำบอกเล่าของต้วนผิงอันและ หนิวมู่อี้ อวิ่นหนิงเจี่ยก้มลงมองโฉนดที่ดินในมือ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาภายใต้แสงตะเกียง ใบหน้าน่ารักหมดจดของเขายังคงนิ่งสงบผิดกับวัยหนุ่ม แต่ดวงตาที่เป็ประกายนั้นกลับแฝงความเด็ดเดี่ยวไว้
"ข้าจะไป" อวิ่นหนิงเจี่ยกล่าวเสียงเรียบ แต่ทุกถ้อยคำหนักแน่นดุจหินผา
"ข้าจะตัดสินใจเดินทางไปรับมรดกของท่านแม่"
ต้วนผิงอันและหนิวมู่อี้ถึงกับผงะ "เ้าบ้าไปแล้วหรือหนิงเจี่ย!" ต้วนผิงอันตวาดเสียงดังอย่างห้ามไม่ไหว
"เ้าก็รู้ว่านั่นมันขุนเขาปีศาจ! คนระดับ เทียนน่า ยังต้องหนีเตลิด แล้วพวกเราล่ะ?" หนิวมู่อี้รีบพูดเสริม สีหน้าเต็มไปด้วยความวิตกกังวล "พวกเราทั้งสามคน... ยังไม่แม้แต่จะทะลวงผ่านระดับ เสินจวี้ (จิตรวม) เลยด้วยซ้ำ! เราเปรียบเสมือนแค่คนธรรมดาที่แข็งแรงกว่าคนทั่วไปนิดหน่อยเท่านั้น! การออกไปตอนนี้มีแต่ตายเปล่า!"
อวิ่นหนิงเจี่ยส่ายหน้าอย่างอ่อนโยน แต่แววตาของเขาแน่วแน่ "ข้าเข้าใจดีถึงความเสี่ยง" เขาตอบ "แต่พวกเ้าก็เห็นแล้วว่าตระกูลฉุนอวิ๋นปฏิบัติต่อข้าอย่างไร ที่นี่ไม่มีที่ให้ข้าอยู่ต่อไปแล้ว ทุกคนมีแต่ความรังเกียจ และวันข้างหน้าข้าก็คงถูกส่งไปตายในที่ที่แย่กว่านี้"
เขาเงยหน้ามองเพดานห้องที่เต็มไปด้วยรอยรั่ว "ถ้าต้องตาย... ข้าขอไปตายที่ดินแดนที่แม่ของข้ามอบให้ดีกว่า ไปตายเอาดาบหน้าอย่างมีเกียรติ อย่างน้อยก็ยังมีความหวังเล็ก ๆ ซ่อนอยู่"
เมื่อเห็นการตัดสินใจที่แน่วแน่และแววตาที่เต็มไปด้วยความเ็ปจากการถูกทอดทิ้งของสหายรัก ทั้งต้วนผิงอันและหนิวมู่อี้ก็เงียบเสียงลง
อวิ่นหนิงเจี่ยไม่พูดอะไรอีก เขาหยิบ ห่อผ้ายาวรี ที่ได้รับมาวางลงบนเตียง ก่อนจะเริ่มเก็บข้าวของส่วนตัวที่มีไม่มากนักลงในย่ามที่ทำจากผ้าเนื้อหยาบ
ต้วนผิงอันมองหน้าหนิวมู่อี้ หนิวมู่อี้พยักหน้าเล็กน้อย แม้ร่างกายจะยังสั่นด้วยความกลัว แต่ความผูกพันที่ร่วมเป็ร่วมตาย ทำงานหนัก เคียงบ่าเคียงไหล่กันมาหลายปีนั้น สหายมิอาจทอดทิ้งสหายได้
"เฮ้อ... เอาเถอะ!" ต้วนผิงอันถอนหายใจยาว ก่อนจะเดินไปตบไหล่อวิ่นหนิงเจี่ยอย่างหนักแน่น "ถ้าเ้าไปตาย... ข้าก็ไปตายด้วย!"
"ใช่ ๆ! ข้า..ข้าก็ไปด้วย!" หนิวมู่อี้เสียงสั่นเล็กน้อย แต่ก็แสดงความกล้าหาญออกมา "ให้ข้าอยู่คนเดียวในปศุสัตว์นี่แล้วโดนพวกเหยื่อเฟิง (เซียวเฟิง) กลั่นแกล้งน่ะ น่ากลัวกว่าปีศาจบนเขาหลงเซี่ยงเสียอีก! อย่างน้อยถ้าไปกับเ้า ก็ยังพอมีคนช่วยแบกสัมภาระ!"
อวิ่นหนิงเจี่ยหันกลับมามองสหายรักทั้งสอง ใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มที่แทบจะไม่เคยมีใครเห็น รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความซาบซึ้งและตื้นตันในน้ำใจของสหาย
"ข้าซาบซึ้งในน้ำใจของพวกเ้า" เขาพึมพำ "ขอให้ขุนเขาหลงเซี่ยง... เป็โอกาสสุดท้ายของเราก็แล้วกัน"
ไม่พูดอะไรอีก ทั้งสามสหายแห่งโรงม้าเมฆาก็แยกย้ายกันไป เก็บข้าวของและเตรียมพร้อม สำหรับการเดินทางที่มิรู้อนาคต ในเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น พวกเขาจะทิ้งชีวิตคนงานที่ถูกดูแคลนไว้เื้ั และมุ่งหน้าสู่ เขาหลงเซียง
