ท่ามกลางการรอคอยด้วยความกระวนกระวายใจของผมในที่สุดวันที่จะต้อง “ฆ่า” ซ่งฉียวนก็มาถึงแล้ว เมื่อวันก่อนตอนกลางคืนผมได้ลองหาทางหนีทีไล่ให้กับตัวเองเอาไว้หลายทางยกตัวอย่างเช่น วันนี้หลังจากที่ตบหน้าซ่งฉียวนแล้ว ผมก็พาอาจิ่วออกไปเที่ยวเล่นสำรวจรอบโลกใบนี้ดูสักหนึ่งรอบลองเสี่ยงโชคเพื่อค้นหาเ้าัเขียว ถ้าหากพบก็จะได้รอดูความตื่นเต้นจากการที่พวกเขาทั้งสองต่อสู้กันแต่หากเวลาผ่านไปเนิ่นนานแล้วยังไม่พบก็ช่างเถอะ หลังจากนั้นก็แค่รอให้ถึงเวลาที่ซ่งฉียวนเก่งขั้นเทพแล้วผมค่อยรีบค้นหาสถานที่ลึกลับเพื่อใช้หลบซ่อนตัวจากเขา
แล้ววันนี้ก็มาถึง วันที่เป็จุดเปลี่ยนครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตของซ่งฉียวนเพราะวันนี้จะเป็วันที่ปรมาจารย์ของเขาจะช่วยชีวิตเขาหลังจากที่ตกลงไปในแม่น้ำแห่ง์จากนั้นก็พาเขากลับไปรักษาตัว ฟื้นฟูเส้นลมปราณกลายเป็ก้อนหินที่รองอยู่ใต้เท้าก้อนแรกซึ่งจะช่วยให้เขาได้ก้าวต่อไปข้างหน้า
หลังจากนั้นก็ส่งเขาไปยังสำนักกระบี่ฉิงชางฝากฝังซ่งฉียวนไว้กับเพื่อนสนิท ซึ่งตัวจริงของพ่อสิงจิ่ว หรือจะเรียกให้เหมาะสมก็คือ“เซียนเหล้า” ส่วนชื่อจริงของเขานั้นคือหร่วนสือจิ่ว เมื่อวันเวลาผ่านไปเขาก็ค่อยๆเติบโตและสั่งสมประสบการณ์อยู่ที่สำนัก จนกลายเป็เสาหลักในโลกแห่งผู้ฝึกตน และได้ขึ้นเป็เ้าสำนักกระบี่ฉิงชางในภายหลังได้ทำการบุกเข้าโจมตีวังปีศาจของอวี๋เคอได้สำเร็จและได้รับชัยชนะในาครั้งยิ่งใหญ่ระหว่างเซียนและปีศาจเขาจัดการกับจอมปีศาจอวี๋เคอโดยอาศัยเพียงแค่พลังของตัวเองเท่านั้น
และใน่เวลานี้ ตัวอวี๋เคอที่อยู่ในนิยายไม่ได้รับรู้เลยว่าเด็กหนุ่มที่เต็มไปด้วยพลังอำนาจน่าเกรงขามในโลกแห่งผู้ฝึกตนนี้จะเป็คนเดียวกับซ่งฉียวนที่ถูกตัวเองทรมานและฆ่าจน“ตาย” ในวันนั้น เขายังคงใช้ชีวิตยุ่งอยู่กับการกินดื่มเที่ยวเล่นอย่างสนุกสนาน ไล่เข่นฆ่าผู้คนอย่างโเี้และร่วมมือกับลูกน้องวางแผนหาทางข้ามแม่น้ำแห่ง์เพื่อเข้าทำลายสำนักผู้ฝึกตน
เวลานี้ผมนั่งอยู่บนหลังของอาจิ่วรับสายลมเย็นสบายที่พัดผ่าน จึงทำให้ผมค่อยๆ สงบใจลง แต่เมื่อหันกลับไปมองกู้จิ่นเฉิงที่ขี่สิงโตสองหัวปีกเพลิงซึ่งตามมาอยู่ที่ด้านหลังและซ่งฉียวนที่ถูกขังอยู่ภายในกรงครู่หนึ่งผมก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกวุ่นวายใจขึ้นมาอีกครั้ง
เด็กน้อยยังคงนั่งพิงลูกกรงและหลับตาลงอยู่อย่างนั้นอาจเป็เพราะว่าสภาพอากาศที่ใกล้จะถึงปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ลมที่พัดอยู่เหนืออากาศนั้นยังค่อนข้างหนาวเย็นทำให้เขาตัวสั่นยามเมื่อถูกสายลมพัดผ่าน ตัวสั่นระรัวเหมือนกับต้นหญ้าที่แห้งเหี่ยวซึ่งใกล้จะแตกหักเต็มที
ผมคิดว่าเขาน่าจะเดาได้ว่าวันนี้เขาจะต้องเผชิญหน้ากับอะไรบ้างหรือไม่ก็คงจะกำลังคิดถึงคำพูดที่ผมได้พูดไปในวันนั้นว่ามันหมายความว่าอย่างไรกันแน่
อันที่จริงเื่นี้หากลองคิดกลับกันดูแล้วถ้าผมเป็ซ่งฉียวน แล้วอวี๋เคอที่กระทำต่อตัวเองอย่างโหดร้ายทารุณ จู่ๆก็ป้อนซุปไก่จิติญญา [1] ชามใหญ่ให้กับตัวเอง หลังจากนั้นก็หายหน้าไปนานหลายวัน แต่มาเวลานี้ก็เหมือนกับตั้งใจจะฆ่าตัวเองเสียแล้วทั้งคำพูดและการกระทำช่างขัดแย้งกันเหลือเกิน หากเป็ผมก็คงจะต้องรู้สึกงุนงงอย่างแน่นอน
เมื่อหันกลับมาแล้วมองไปข้างหน้า ผมยังคงรักษาสีหน้าแห่งความชั่วร้ายไว้บนใบหน้าอยู่สามส่วนจากทั้งหมดสิบส่วนอีกสองส่วนเป็ความเ็าและอีกห้าส่วนนั้นเป็ความเคร่งขรึมน่าเกรงขาม เพื่อเตรียมพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับเหล่าเ้าสำนักซึ่งมาจากสำนักต่างๆที่กำลังจะปรากฏตัวขึ้น
แม้ว่าความเร็วของสิงโตสองหัวปีกเพลิงจะไม่เร็วเท่าอาจิ่วแต่ก็ไม่ถือว่าช้ามากนัก อีกทั้งผมก็ไม่ได้พาคนมาเยอะ แต่น้ำหนักกลับหนักอยู่พอสมควรส่วนใหญ่ที่มาในวันนี้ล้วนเป็ยอดฝีมือของทางวังปีศาจประมาณหนึ่งร้อยคน การบำเพ็ญเพียรขั้นต่ำที่สุดอยู่ในขั้นก่อกำเนิดและยังมีอีกจำนวนหนึ่งที่เดินทางล่วงหน้าไปรออยู่ที่บริเวณรอบๆจุดนัดหมาย ทั้งยังมีอีกห้าคนที่ขี่อยู่บนหัวของสิงโตสองหัวตามมาด้วย เมื่อลองนับดูแล้วมีหัวของสิงโตอยู่ทั้งหมดยี่สิบกว่าหัวได้นอกเหนือจากนี้ยังมีอาจิ่วที่ตัวใหญ่โตอย่างยิ่ง ซึ่งผมกำลังขี่อยู่ ช่างเป็ฉากอันยิ่งใหญ่ที่ค่อนข้างอลังการมากจริงๆ
คาดไม่ถึงเลยว่าผมจะได้เป็ผู้นำของคนเหล่านี้จู่ๆ ก็มีความคิดหนึ่งที่ไม่ค่อยเหมาะสมผุดขึ้นมาภายในสมอง ผมรู้สึกเหมือนว่าตัวเองเก่งกาจขึ้นมาในชั่วพริบตาความทะนงตนเล็กน้อยปรากฏขึ้นอย่างทันที...
เมื่อรับรู้ได้ว่าอยู่ไม่ห่างจากเขตชายแดนแม่น้ำแห่ง์เท่าไรแล้วผมก็เริ่มยุ่งอยู่กับการเก็บซ่อนความไม่เหมาะสมที่ปรากฏออกมา ทั้งยังต้องรักษาสีหน้าท่าทางให้เป็แบบเดิมต่อไปจ้องมองไปยังสถานที่แห่งนั้นที่มีผู้คนมาถึงอยู่ก่อนแล้ว
ว่ากันว่าผู้ที่แข็งแกร่งมากที่สุดมักจะมาถึงช้าที่สุดดังนั้นผมจึงกลายเป็ผู้ยิ่งใหญ่คนสุดท้ายที่มาถึงได้อย่างทรงเกียรติในทางกลับกันผู้คนในอาณาจักรทั้งเก้าต่างก็รออยู่บนท้องฟ้าของแม่น้ำแห่ง์โดยนั่งอยู่บนสัตว์พาหนะของตนมาตั้งนานแล้วไม่รู้ว่าเป็เพราะความบังเอิญหรือว่าอะไร บรรดาเซียนและปีศาจต่างแบ่งฝั่งกัน โดยแยกออกเป็สองฝ่ายและเผชิญหน้ากัน
ทั้งสองฝ่ายเมื่อเห็นว่าผมมาถึงแล้ว ต่างก็เหลือบมองซ่งฉียวนที่อยู่ด้านหลังเดิมทีสถานการณ์ยังถือว่าเงียบสงบ แต่กลับคล้ายถูกคนโยนหินก้อนหนึ่งใส่โดยไร้เหตุผลจากนั้นเริ่มปรากฏคลื่นลูกใหญ่ซึ่งทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นโดยสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ผู้คนที่อยู่ทางฝั่งแดน์นั้นต่างรู้สึกโกรธแค้นอย่างถึงที่สุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งหร่วนสือจิ่วที่เป็ผู้นำ อีกทั้งเพื่อนสนิทของตระกูลซ่งอย่างตระกูลเฉิงและตระกูลโม่ที่ถูกพรากคุณชายน้อยไปสีหน้าท่าทางของพวกเขาส่วนใหญ่ล้วนแสดงออกถึงความโเี้อย่างยิ่งเหมือนกับว่าหากพวกเขาจ้องผมเช่นนี้แล้วก็จะสามารถฆ่าผมให้ตายได้
ให้ตายเถอะ ความบังเอิญนี่มันอะไรกัน ผู้ที่เป็ตัวแทนจากตระกูลโม่ก็ยังคงเป็โม่ซางสตรีวัยกลางคนนั่น ช่างเป็ศัตรูที่เมื่อเผชิญหน้ากันก็ยิ่งเพิ่มความโกรธแค้นต่อกันมากยิ่งขึ้นจริงๆทั้งสตรีผู้นี้ยังปลุกความทรงจำที่ไม่ดีของผมขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
แต่ว่าครั้งนี้นางไม่กล้าเหวี่ยงแส้ใส่ผมแม้ว่าจะโมโหมากเท่าใดก็ทำได้เพียงแค่ข่มกลั้นเอาไว้เท่านั้น เพราะอย่างไรเสียสถานที่ที่อยู่ณ เวลานี้ก็คืออาณาเขตของผม และการบำเพ็ญเพียรของผมในตอนนี้ก็ยังเหนือกว่าพวกเขาอยู่มากนอกเสียจากพวกที่สามารถเรียกได้ว่าเป็สัตว์ประหลาดแห่งแดน์เพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นแต่โดยทั่วไปแล้วไม่มีใครที่สามารถทำอะไรผมได้
ผมหันไปมองหร่วนสือจิ่ว รู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อยเพราะว่ารูปร่างหน้าตาของเขานั้นช่างแตกต่างจากที่ผมเขียนบรรยายเอาไว้ในนิยายมากเช่นนั้นสิงจิ่วตัวจริง สิงจิ่วตัวเป็ๆ ชื่อและฉายานี้ปรมาจารย์ของหร่วนสือจิ่วซึ่งเรียกได้ว่าเป็สัตว์ประหลาดแห่งสำนักฉิงชางเป็คนตั้งให้เขาโดยตั้งชื่อนี้ขึ้นมาเพื่อหวังให้เขาเลิกเมาและไม่ดื่มอีกต่อไป
หร่วนสือจิ่วติดเหล้าเหมือนเป็ชีวิตจิตใจ การกินอาหารในทุกมื้อล้วนจะต้องดื่มเหล้าไปด้วยเปรียบได้กับหากขาดเหล้าก็เหมือนชีวิตไม่มีความสุข ถึงขั้นที่ว่าไม่มีเหล้าแล้วกินข้าวไม่ลงเมื่อบำเพ็ญเพียรถึงในระดับหนึ่งแล้ว คนส่วนใหญ่ไม่ต้องรับประทานอาหารก็สามารถอยู่ได้ทว่าคนผู้นี้กลับเลิกดื่มเหล้าไม่ได้ ดังนั้นจึงได้รับการขนานนามว่า “เซียนเหล้า” อันที่จริงผมเรียกเขาเช่นนี้ก็เพื่อความไพเราะเท่านั้นแต่ในสายตาของผมแล้วเขาก็เป็แค่ไอ้ขี้เมาคนหนึ่งเท่านั้น
รูปร่างหน้าตาของขี้เมาส่วนใหญ่แล้วมักจะพื้นๆ ออกจะดูชั่วช้าและมีรูปร่างสูงใหญ่ ไม่ได้ให้ความสนใจกับเื่การแต่งเนื้อแต่งตัว ทำให้ภายนอกจึงดูสกปรกอย่างยิ่งแต่ว่าหร่วนสือจิ่วที่อยู่ตรงหน้านี้เหตุใดจึงดูคล้ายกับปัญญาชนผู้ที่สุภาพและบอบบางเช่นนี้???
เขาสะพายขวดน้ำเต้าใบใหญ่ รูปร่างเล็ก ไม่ถือว่าสูงจนเกินไปโหนกแก้มทั้งสองข้างออกแดงดูมีเืฝาด หน้าตาดูเหมือนเป็หนุ่มหน้าขาว [2] ได้ยินแต่เสียงของเขาผู้เดียวที่ะโใส่ผมด้วยความโกรธแค้น“อวี๋เคอ เ้าคนต่ำทราม หากเ้ายังมีความเป็มนุษย์อยู่บ้าง ก็เอาลูกของข้าคืนมา! ”
แต่ก็มีเพียงเขาเท่านั้นที่ออกอาการโมโหจริงๆ ส่วนตระกูลเฉิงผู้ที่เป็ตัวแทนมาก็คือผู้นำของตระกูลอย่างเฉิงหย่วนซึ่งทำตัวคล้ายกับเสาต้นหนึ่งที่ตั้งอยู่ตรงนั้น แม้ว่าใบหน้าของเขาจะแสดงออกว่าโกรธจัดทว่ากลับดูไม่ค่อยชัดเจนสักเท่าไรนักเหมือนกับว่าจงใจแสร้งทำเป็โกรธเพื่อให้ผู้อื่นเห็นเท่านั้น แต่กลับเป็โม่ซางที่กัดริมฝีปากล่างนางกัดเสียจนขาวซีด ทั้งยังจับแส้สีแดงสดที่อยู่ในมือไว้แน่น ความโกรธแค้นสุมอยู่ภายในใจแต่ไม่กล้าเอ่ยออกมา
แท้จริงแล้วไม่ว่าจะอยู่ที่ใด เมื่อต้องเผชิญกับพลังอำนาจที่อยู่ตรงหน้าแล้วหากเป็เื่ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของตัวเองผู้คนส่วนใหญ่ก็คงเลือกที่จะเงียบต่อไป
เพราะถึงอย่างไรตระกูลที่ถูกทำลายก็ไม่ใช่ตระกูลของพวกเขาอยู่ดีความสามัคคีนั้นหากเป็แค่เพียงคำพูดย่อมถือเป็เื่ง่าย ทว่าเมื่อเป็การกระทำนั้นกลับยากยิ่งกว่าเพราะแดน์ในเวลานี้ก็เป็เพียงแค่ทรายกองหนึ่งที่กระจัดกระจาย [3] เท่านั้นหากไม่มีซ่งฉียวนที่ในภายหลังสามารถ “รวมโลกแห่งผู้ฝึกตนให้เป็หนึ่งเดียวกัน” ได้แล้วนั้น ถ้าดูจากสภาพของพวกเขาในตอนนี้แล้วยังไงก็ไม่มีทางที่จะสามารถทำอะไรกับโลกปีศาจได้อย่างแท้จริง
“หุบปากเน่าเหม็นของเ้าเสีย หร่วนสือจิ่วอย่าลืมว่าเวลานี้ตัวเ้าอยู่ในดินแดนของโลกปีศาจ หากนายท่าน้าชีวิตของเ้า นั่นย่อมเป็ปัญหาที่สามารถจัดการได้ภายในชั่วพริบตาเท่านั้น” หวังตัวจวี๋เริ่มพูดได้ถูกเวลาพอดีเขาด่าอีกฝ่ายกลับไปแทนผม จากนั้นก็เอียงศีรษะมองผมอยู่ครู่หนึ่ง แล้วขยิบตาให้อย่างน่าสะอิดสะเอียนจึงถูกผมจ้องกลับไปอย่างดุร้าย
ผู้ที่มาที่นี่มีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่มีตำแหน่งอยู่ทางฝั่งโลกปีศาจของพวกเราซึ่งส่วนใหญ่แล้วผมล้วนมองไม่ออกว่าใครเป็ใครกันแน่ เดิมทีก็จำหน้าไม่ได้อยู่แล้วยิ่งในเวลานี้ที่มีคนเยอะขึ้นผมก็ยิ่งเดาไม่ถูก
กู้จิ่นเฉิงะโจากสิงโตสองหัวปีกเพลิงไปบนหลังของอาจิ่วเขาถ่ายทอดคำพูดมายังผม เอ่ยขึ้นหนึ่งประโยค “นายท่านกลิ่นอายความชั่วร้ายบนตัวของเจียงกุ่ยหนักขึ้นกว่าตอนที่ผู้น้อยเคยพบเขาก่อนหน้านี้อีกเล็กน้อยขอรับ”
เขาเอ่ยขึ้นมาเช่นนี้ผมก็จำเจียงกุ่ยแห่งดินแดนซากกระดูกได้อย่างทันที เขาซ่อนตัวอยู่ในสถานที่ที่ห่างจากผมมากที่สุดร่างกายซูบผอมเสียจนดูเหมือนกับไม้ไผ่ท่อนหนึ่ง มือทั้งสองข้างไพล่หลังและยืนอยู่บนหลังของเหยี่ยวูเาแก้มทั้งสองข้างบุ๋มลง ใบหน้าซีดขาว ดวงตาคู่นั้นดูเหม่อลอย ดูเหมือนกับมีชีวิตอยู่ก็ไม่ใช่จะว่าตายก็ไม่เชิง
...นี่เขาถูกวางยาใช่หรือไม่?
......
เชิงอรรถ
[1] ซุปไก่จิติญญา หมายถึง คำพูดหรือประโยคที่ใช้ปลอบโยนทำให้เกิดแรงบันดาลใจ
[2] หนุ่มหน้าขาว หมายถึง ผู้ชายที่หน้าตาเกลี้ยงเกลาดูสะอาดสะอ้าน
[3] ทรายกองหนึ่งที่กระจัดกระจายอุปมาถึงการขาดความสามัคคีหรือเป็การกระจายอำนาจ