เด็กหนุ่มชุดดำในมือถือกริชสีเขียวเล่มหนึ่ง เท้าย่ำไปมาด้วยจังหวะที่แปลกประหลาด เคลื่อนย้ายร่างกายหลบหลีกซ้ายขวาหมุนวนไปมาอยู่ท่ามกลางนักรบเผ่าคนเถื่อนนับสิบกว่าคน ดูลักษณะเหมือนกับปลาไหลที่ฉาบมาด้วยน้ำมันไม่มีผิด มือถือกริชกวัดแกว่งไปมาพร้อมกับจังหวะย่ำเท้าแปลกประหลาดลึกลับ ดวงตาปรากฏแสงสว่างชนิดหนึ่งวาบผ่านขึ้นมาอยู่บ่อยๆ นักรบเผ่าคนเถื่อนที่เข้ามาใกล้หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นกริชในมือกวัดแกว่งกรีดผ่านลำคอของนักรบคนเถื่อนที่ยืนนิ่งเหม่อลอยอยู่อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ตามมาด้วยละอองฝนเืสาดกระเซ็นพวยพุ่งออกมาจากลำคอของนักรบเผ่าคนเถื่อนร่างั์ จากนั้นดวงตาวัวของมันเบิกกว้างล้มลงไปนอนกองกับพื้น...
“สุดยอดดด...! สือชี นายน้อยตระกูลเ้าดุดันเหี้ยมหาญถึงเพียงนี้ั้แ่เมื่อไหร่? แสงสว่างในดวงตาของเขาคือวิชาภาพลวงตาของตระกูลเยว่รึ? กริชสีเขียวในมือของเขาระดับต่ำสุดก็น่าจะเป็ระดับวิเศษแน่ๆ ท่าเท้าวัววิ่งตะบึงของผู้าุโเย่ชิงหนิวทำไมเ้าเด็กหนุ่มคนนี้ถึงใช้ได้อย่างพลิ้วไหวและงดงามถึงเพียงนี้?”
เฟิงเิเกาหัวตนเองไปมาพร้อมกับจ้องมองดูกริชสีเขียวในมือของเย่ชิงหานอย่างละโมบ หากในมือของเขามีสมบัติล้ำค่าระดับวิเศษเหมือนเย่ชิงหานละก็ ผู้นำกองกำลังนักรบเผ่าคนเถื่อนเมื่อสักครู่เขาก็สามารถสังหารได้ในพริบตาเช่นเดียวกัน...แต่คิดก็คือคิดเพราะเขารู้ดีว่าสมบัติล้ำค่าเช่นนี้ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะปรารถนาแต่ใช่ว่าจะมีบุญวาสนาได้จริงๆ ต้องเข้าใจว่าสมบัติล้ำค่าระดับวิเศษขึ้นไปนั้นนักหลอมอาวุธทั่วทั้งทวีปล้วนไม่มีผู้ใดหลอมได้ สมบัติล้ำค่าระดับวิเศษในทวีปนั้นมีน้อยและหาได้ยากมาก รวมถึงสมบัติล้ำค่าระดับศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่ไม่กี่ชิ้นจนแทบจะนับนิ้วมือได้เลย
สมบัติล้ำค่าระดับศักดิ์สิทธิ์นั้นสามารถหาได้จากบางสถานที่เพียงเท่านั้น ซึ่งที่แห่งนั้นก็คือสถานที่อันตรายอันดับหนึ่งของทวีป - ูเาสุสานทวยเทพ อาศัยพลังฝีมือของเขาในตอนนี้เข้าไปเสาะหาสมบัติล้ำค่ายังูเาสุสานทวยเทพละก็ มีโอกาสเก้าในสิบส่วนที่จะจบชีวิตอยู่ที่นั่น...
เยว่เซียนกูเป็ผู้นำกองกำลังของตระกูลเยว่ในครั้งนี้ พลังฝีมือระดับขอบเขตจ้าวนักรบ ลักษณะท่าทางของนางไม่ได้บ่งบอกว่าเป็สุดยอดฝีมือเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าที่งดงามของหญิงสาวมีอายุดวงตาที่หยาดเยิ้มเต็มไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนชวนให้เคลิบเคลิ้มหลงใหล ในตอนนี้นางกำลังจ้องมองดูแสงแปลกประหลาดจากดวงตาของเย่ชิงหานที่เปล่งประกายวาบผ่านอยู่เนืองๆ คิ้วเรียวบางของนางขมวดขึ้นพร้อมกับพูดออกมาอย่างงุนงงสงสัย “ไม่ถูกต้อง วิชาที่เ้าเด็กคนนี้ใช้ไม่ใช่วิชาสร้างภาพลวงตาของตระกูลเยว่ ระดับความเร็วที่ใช้ออกมายังเร็วกว่าของตระกูลเยว่ อีกทั้งระยะเวลาการทำให้มึนงงสับสนก็ยาวนานกว่า แม้เขาจะเป็ลูกชายของเยว่สุ่ยเอ๋อร์ แต่ข้าก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าผู้ชายสามารถปลุกพลังทางสายเืของตระกูลเยว่เพื่อเรียนวิชาภาพลวงตาของตระกูลเยว่ได้ เ้าเด็กคนนี้มีความลับเยอะจริงๆ...”
“แหะๆ! ย่อมต้องเป็เช่นนั้นอยู่แล้ว ข้าจะบอกอะไรพวกเ้าให้ เย่ชิงหานเป็ถึงหัวหน้าตระกูลรุ่นต่อไปที่ถูกกำหนดไว้แล้วอย่างลับๆ!”
แน่นอนว่าเย่สือชีรู้เกี่ยวกับแสงที่อยู่ภายในดวงตาของเย่ชิงหานว่าคือวิชาต่อสู้ร่างอสูร เย่ชิงหานมีอสูรศักดิ์สิทธิ์มีวิชาต่อสู้ร่างอสูรที่นอกเหนือกฎเกณฑ์์เช่นนี้ เขาไม่โง่พอที่จะบอกให้ทุกคนทราบ ทำเพียงเฝ้ามองดูเขาเติบโตขึ้นอย่างช้าๆ มองดูรอยยิ้มที่อ่อนโยนไม่มีการวางท่าหยิ่งยโสของเขา คิดถึงความสนิทสนมที่เขามีต่อพวกตนเอง ในวันข้างหน้าหากเย่ชิงหานได้ขึ้นเป็หัวหน้าตระกูลจริงๆ ชีวิตความเป็อยู่ของพวกเขาและเย่สือซานน่าจะสุขสบายขึ้นอยู่ไม่น้อย...
เยว่ชิงเฉิงและเย่ชิงอู่สีหน้าอาการซับซ้อน เยว่ชิงเฉิงมองดูเย่ชิงหานที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มนักรบเผ่าคนเถื่อน ใช้ท่าเท้าที่งดงามราวกับศิลปะการแสดงก้าวย่างได้คล่องแคล่วฉับไว หนึ่งก้าวสังหารหนึ่งชีวิต หนึ่งก้าวที่ย่ำออกไปหนึ่งชีวิตต้องจบลง ดวงตาที่สดในแวววาวของเยว่ชิงเฉิงยิ่งมองยิ่งเริ่มเลือนรางขึ้น นี่ก็คือผู้ชายในอนาคตของนาง ชายผู้ที่นางต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมด้วยไปตลอดชีวิต
นึกถึงเหตุการณ์ที่อยู่บนเรือเมื่อตอนที่เย่ชิงหานกำลังจะไปยังเกาะแห่งทะเลสาบแห่งความเงียบสงบ เขาพูดอธิบายถึงบทกลอนที่ตนเองขับร้องออกมาได้อย่างถูกต้องด้วยความมั่นอกมั่นใจ รวมไปถึงสามารถมองออกถึงฐานะที่แท้จริงของตนเองที่ปลอมตัวมา และนึกถึงตอนที่เย่ชิงหานขับร้องบทกลอน “พั่วเจิ้นจือ” ด้วยลักษณะงดงามราวกับวีรชนผู้องอาจผึ่งผาย ภายในใจคิดว่าการเลือกของตนเองในครั้งนั้นไม่ผิดจริงๆ ในเมื่อไม่ผิดก็ต้องเดินหน้าต่อไปให้ถึงที่สุด...
เย่ชิงอู่แน่นอนว่าเคยเห็นเย่ชิงหานฆ่าคนมาก่อนเมื่อตอนที่อยู่สวนเมามายภายในตระกูลเย่ เย่ชิงหานโกรธแค้นอย่างขีดสุด เขาลงมือสังหารเย่หรงที่มีพลังฝีมืออยู่ในระดับขอบเขตาาจักรพรรดิได้ในพริบตา ตอนนั้นที่ดวงตาของเขาก็มีแสงแปลกประหลาดเช่นนี้เปล่งประกายออกมาด้วยเช่นเดียวกัน นึกถึงเหตุการณ์ภายในสวนเมามาย เงาร่างของเด็กหนุ่มที่ยืนอย่างองอาจทระนงในตอนนั้น ตอนนี้ค่อยๆ เติบโตขึ้นทีละน้อย มองเห็นสายตาของเยว่ชิงเฉิงที่จ้องมองไปยังเขาอย่างรักใคร่ลุ่มหลง คิดถึงเย่ชิงอวี่เด็กสาวเสื้อขาวที่เซ่นสังเวยิญญาอย่างไม่มีการลังเลใดๆ ภายในจิตใจของเย่ชิงอู่ในตอนนี้บังเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดขึ้นมา มีทั้งปวดร้าว ทั้งระทมทุกข์ ทั้งอิจฉา และเลื่อนลอยสับสน...
ฉากการสังหารหมู่ปรากฏอยู่ไม่นาน มองเห็นนักรบเผ่าคนเถื่อนคนสุดท้ายล้มลงไปนอนกองกับพื้น เย่ชิงหานยกมือขึ้นเช็ดคราบเืบนใบหน้าแต่กลับรู้สึกว่ายิ่งเช็ดยิ่งเปรอะเปื้อน ไม่มีเวลามาคิดว่าทำไมทุกคนถึงได้มารวมตัวกันมองดูตนเอง เขารีบเช็ดมือกับเสื้อผ้าแล้วเริ่มทำงานในทันที
ทุกคนก็เริ่มทำงานเช่นเดียวกัน นำร่างไร้ิญญาของศัตรูมารวมกองกันไว้เพื่อรอให้เย่ชิงหานมาเก็บเอาคะแนน หลังจากเก็บคะแนนเสร็จแหวนที่อยู่บนมือของเย่ชิงหานจากเดิมที่มีคะแนนอยู่เจ็ดร้อยกว่าในตอนนี้เพิ่มขึ้นมาเกือบจะถึงหนึ่งพันคะแนน เขายิ้มออกมาที่มุมปากด้วยความยินดี แต่ด้วยคราบเืที่ติดอยู่เต็มใบหน้าเมื่อยิ้มขึ้นมาจึงดูดุร้ายน่ากลัวทำเอาผู้ที่อยู่ข้างๆ สะดุ้งใไปตามๆ กัน เขาไม่ได้สนใจต่อสีหน้าของคนอื่นๆ หลังจากที่เก็บคะแนนเสร็จหันไปทางเย่สือซานแล้วทำท่ามือส่งสัญญาณบอกว่าทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย
“ทั้งหมดถอยกลับไปยังถ้ำเดิมที่พักแรมเมื่อคืนวาน!”
เย่สือซานออกคำสั่งอย่างเฉียบขาดให้ทุกคนถอยกลับไปยังถ้ำที่พักแรมเมื่อคืนวาน การสู้รบในครั้งนี้กินเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ถ้าหากไม่รีบถอยกลับไปอาจจะดึงดูดกองกำลังของนักรบต่างเผ่าอื่นๆ ที่อยู่ละแวกใกล้เคียงให้เข้ามาก็เป็ได้ เก็บกวาดทุกอย่างเรียบร้อยแล้วทุกคนก็ออกเดินทางกลับ นักฆ่าของตระกูลฮวาแยกย้ายกันออกไปสำรวจเส้นทางและเฝ้าระวังภัยตามเดิม ส่วนซากศพของนักรบเผ่าคนเถื่อนที่นอนกองอยู่บนพื้นทุกคนไม่มีเวลาหรือกำลังพอที่จะไปสนใจ ถึงอย่างไรพอตกกลางคืนมารอสูรจะออกมากัดกินซากร่างของนักรบที่ล้มตายไปเอง
วันนี้เป็ชัยชนะของการรบครั้งแรกทุกคน้าเวลาในการขบคิดและปรับปรุงหลายๆ อย่าง เพื่อการสู้รบครั้งต่อไปจะได้ต่อสู้รับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพมากว่าที่เป็อยู่ ผลงานการสู้รบในวันนี้ถือว่าไม่เลว ไม่มีการสูญเสียกำลังคนแม้เพียงคนเดียว จะมีก็แค่เพียงไม่กี่คนที่มีอาการาเ็เล็กน้อยเพียงเท่านั้น สามารถตีจนกองกำลังนักรบคนเผ่าคนเถื่อนแตกพ่ายไปได้ สามารถสังหารนักรบเผ่าคนเถื่อนไปเกินกว่าครึ่ง เสียดายก็เพียงแค่พวกนักรบที่มีพลังฝีมือระดับขอบเขตจอมพลคนเถื่อนล้วนหลบหนีไปได้เป็ส่วนมาก ที่สังหารได้มีเพียงแค่สามคนเท่านั้น ส่วนผู้นำกองกำลังที่มีพลังฝีมือระดับขอบเขตราชันย์คนเถื่อนที่หลบหนีไปได้ยิ่งน่าเสียดายเป็อย่างมาก ดูท่าคงต้องวางแผนการสู้รบใหม่ให้ดี ถ้าหากต่อไปพบเจอกับสถานการณ์เช่นนี้จะต้องไม่ให้คะแนนที่เห็นอยู่ตรงหน้าวิ่งหนีไปได้อย่างวันนี้อีก
.................................
กองกำลังกลับมาพักยังถ้ำที่เดิมอีกหนึ่งคืนจากนั้นในตอนเช้าของวันที่สองจึงได้ออกเดินทางอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ได้เข้าไปลึกมากนักเพียงแค่ลัดเลาะวนเวียนอยู่ละแวกใกล้ๆ เพียงเท่านั้น จนในตอนบ่ายของวันที่สามได้พบกับกองกำลังของนักรบเผ่าปีศาจ เมื่อตรวจสอบแน่ชัดแล้วว่าเป็เพียงกองกำลังระดับธรรมดาทั่วไปจึงเปิดฉากโจมตีในทันที นักรบทั้งสี่ตระกูลหลังจากมีประสบการณ์การสู้รบมาแล้วครั้งหนึ่งการสอดประสานร่วมมือจึงเป็ไปอย่างรู้ใจกันมากยิ่งขึ้น หลังจากเปิดฉากการโจมตีไปเพียงสองระลอก กองกำลังนักรบเผ่าปีศาจก็ถูกโจมตีแตกพ่ายยับเยิน สุดท้ายเย่สือซานตัดสินใจอย่างเด็ดขาดให้นักรบพลังฝีมือระดับขอบเขตจ้าวนักรบจำนวนห้าคนลงมือในทันที ทั้งห้าะเิพลังฝีมือลงมือโจมตีออกไปพร้อมกันสามารถสังหารนักรบระดับขอบเขตราชันย์ปีศาจไปได้สองคนในพริบตา ส่วนสมาชิกกองกำลังคนอื่นๆ บุกทะลวงเข้าไปสังหารนักรบเผ่าปีศาจอย่างบ้าระห่ำ สุดท้ายกองกำลังนักรบเผ่าปีศาจหลบหนีรอดไปได้เพียงไม่กี่สิบคน ส่วนที่เหลือล้วนกลายเป็คะแนนมาอยู่บนแหวนของเย่ชิงหาน
ทุกวันๆ สุดยอดกองกำลังระดับหัวกะทิของทั้งสี่ตระกูลจะออกท่องเที่ยวไปเช่นนี้ หลังจากที่นักฆ่าตระกูลฮวาตรวจสอบพลังฝีมือของฝ่ายตรงข้ามจนแน่ใจแล้วก็จะเปิดฉากโจมตีในทันที สังหารศัตรูจนหมดก็จะรีบถอยทัพกลับอย่างรวดเร็วทันที ผ่านไปครึ่งเดือนพวกเขาล่าสังหารกองกำลังนักรบต่างเผ่าไปถึงแปดกอง ได้รับคะแนนสะสมมาหนึ่งพันกว่าๆ บวกกับของเดิมที่มีอยู่ตอนนี้คะแนนในแหวนบนมือของเย่ชิงหานมีเกือบจะถึงสามพันคะแนนแล้ว
จากการที่สุดยอดกองกำลังระดับหัวกะทิของทั้งสี่ตระกูลออกล่าสังหารหมู่อย่างบ้าระห่ำ จนในที่สุดก็ดึงดูดความสนใจของเผ่าปีศาจและเผ่าคนเถื่อน พวกมันเริ่มรวมกลุ่มกองกำลังเพื่อสกัดกั้นสุดยอดกองกำลังของทั้งสี่ตระกูล เพียงแต่ภายใต้การสำรวจตรวจสอบเส้นทางและการเฝ้าระวังภัยของนักฆ่าของตระกูลฮวา พวกเขาจึงสามารถหลบหนีเอาตัวรอดไปได้ก่อนอย่างสบายทุกครั้ง และชื่อเสียงของสุดยอดกองกำลังระดับหัวกะทิของทั้งสี่ตระกูลก็โด่งดังขึ้นมา
สนามรบตะลุมบอนแห่งนี้เริ่มที่จะมีคำเล่าลือเกี่ยวกับสุดยอดกองกำลังระดับหัวกะทิของพวกเย่ชิงหานออกมา เนื้อหาของคำเล่าลือเ่าั้คือ สี่ตระกูลใหญ่แห่งเขตปกครองเทพาได้รวมตัวจัดตั้งสุดยอดกองกำลังระดับหัวกะทิขึ้น ทั้งหมดแต่งกายด้วยชุดดำปิดหน้า พลังสู้รบของกองกำลังแข็งแกร่งไร้เทียมทาน รบทุกครั้งชนะทุกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็การรบชนะอย่างสมบูรณ์แบบ จนถึงขณะนี้พวกเขาได้ล่าสังหารกองกำลังนักรบระดับหัวกะทิของเผ่าปีศาจและเผ่าคนเถื่อนไปถึงสิบกว่ากองแล้ว ที่สำคัญคืออัตราการสูญเสียกำลังพลของพวกเขาอยู่ในระดับที่ต่ำมาก สู้รบมาสิบกว่าสนามสมาชิกของกองกำลังตายไปเพียงไม่กี่คนและาเ็สิบกว่าคนเพียงเท่านั้น
สำหรับคำเล่าลือนี้เย่ชิงหานรู้สึกว่าจะเกินความจริงไปหน่อย แต่อัตราการาเ็ล้มตายของสมาชิกในกองกำลังของพวกเขาก็อยู่ในระดับที่ต่ำจริงๆ การร่วมมือสอดประสานกันยิ่งนับวันยิ่งชำนาญและเป็ธรรมชาติมากขึ้น สมาชิกของกองกำลังล้วนเติบโตและพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จากการสู้รบในแต่ละครั้ง นักฆ่าของตระกูลฮวาราวกับภูตผีพรายสามารถปรากฏตัวออกโจมตีสังหารได้ทุกครั้งอย่างเหมาะเจาะในยามคับขัน ภาพลวงตาของตระกูลเยว่และกระบี่บินของตระกูลเฟิงทำให้ศัตรูถูกโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัว ส่วนผู้มีพลังฝีมือระดับขอบเขตจ้าวนักรบที่แฝงตัวอยู่ภายในกองกำลังก็สามารถทำการสนับสนุนได้ทันท่วงที
สมาชิกในกองกำลังทั้งหมดมีแบ่งเป็ผู้ที่มีพลังฝีมือระดับขอบเขตนักรบจำนวนหนึ่งร้อยยี่สิบคน ระดับขอบเขตจ้าวนักรบอีกเจ็ดคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาชิกภายในกองกำลังส่วนมากจะเป็ลูกหลานของเทพาที่มีสายเืของเทพาไหลเวียนอยู่ สามารถใช้วิชาต่อสู้ที่ผู้ฝึกยุทธ์ธรรมดาทั่วไปไม่สามารถใช้ได้ ขบวนทัพที่แข็งแกร่งและเกรียงไกรเช่นนี้ หากพบเจอกับกองกำลังของนักรบต่างเผ่าที่มีพลังรบอ่อนด้อยกว่าแล้วยังไม่สามารถเอาชนะได้อย่างสมบูรณ์ละก็ เย่สือซานที่เป็ผู้บัญชาการรบก็ควรที่จะวิ่งเอาหัวพุ่งชนกับต้นไม้ตายเสียจะดีกว่า...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้