ซุนซื่อกอดฉินฮุ่ยหนิงอยู่นั้น เมื่อเห็นลูกสาวที่ตนเลี้ยงดูมาสิบสี่ปีกำลังร้องไห้ นางเองก็รู้สึกเ็ปราวกับมีมีดมาแทงหัวใจอย่างไรอย่างนั้น ฉินฮุ่ยหนิงพูดถูก เื่นี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับนางเลย คนที่ผิดก็คือคนที่สลับสับเปลี่ยนลูกของนางต่างหากล่ะ!
ยามนั้นซุนซื่อไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้อีกต่อไป นางกอดฉินฮุ่ยหนิงและร้องไห้สะอึกสะอื้นไปพร้อมๆ กับเด็กสาว
สองมือของฉินหยีหนิงได้แต่ยกค้างนิ่ง ก่อนจำต้องปล่อยลงข้างตัวอย่างเชื่องช้า หยดน้ำตาของนางไหลอาบแก้มหลั่งรินเป็สายลงบนคอเสื้อ มุมปากโค้งงอสั่นคลอเบาๆ
ที่แท้นี่เป็ท่าทีของมารดาที่มีต่อนาง
ฉินฮุ่ยหนิง เมื่อเห็นซุนซื่อร่ำไห้จนหมดเสียง จึงอดกลั้นมิให้น้ำตาไหล จากนั้นก็เอาผ้าเช็ดหน้าออกมาให้ซุนซื่อเช็ดหน้าเช็ดตา ขณะเดียวกันก็เสแสร้งทำเป็เข้มแข็ง “ท่านแม่ อย่าเสียใจเลย วันนี้เสี่ยวซีกลับมาหาท่านแล้ว นี่เป็สิ่งที่ดี บุญคุณที่ท่านแม่เลี้ยงดูข้า ล่าวไท่จุนรักและเอ็นดูข้า ชั่วชีวิตนี้ลูกจะไม่ลืมบุญคุณ ถึงแม้ว่าในอนาคตข้างหน้าลูกออกจากจวนนี้ไป ถึงอย่างไรลูกก็ยังเป็ลูกสาวของท่าน ท่านอย่าร้องไห้เลย ไม่อย่างนั้นมีแต่จะทำให้ท่านพ่อกับล่าวไท่จุนจะต้องทุกข์ใจเสียเปล่าๆ นะเ้าคะ”
เด็กสาวผู้อ่อนโยนร้องไห้จนตาบวม อีกทั้งยังไม่ลืมปลอบประโลมมารดา แบบนี้จะไม่ให้ล่าวไท่จุนรู้สึกว่านางเป็เด็กดีได้อย่างไร ภาพที่เห็นทำให้ล่าวไท่จุนรู้สึกไม่สามารถตัดใจจากนางเสียแล้ว ในทางกลับกัน ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจและความสงสารที่มีต่อเด็กป่าผู้นั้นเริ่มจางลงอย่างช่วยไม่ได้
ซุนซื่อก็รู้สึกเฉกเช่นเดียวกัน เพราะเหตุนั้นความเศร้าโศกที่เพิ่งบรรเทาคลายจึงตีตื้นขึ้นมาอีก นางร่ำรำพันอย่างเกรี้ยวกราดพลางเปล่งเสียงร้องไห้โฮออกมา “ข้าทำอะไรผิดหรือ เื่นี้ทำไมต้องเกิดขึ้นกับครอบครัวของเราด้วย!”
ฮูหยินสองกับฮูหยินสามต่างก็มาปลอบใจนาง
เพียงแต่ซุนซื่อคร่ำครวญเสียใจคล้ายเด็กๆ ที่โดนรังแกอย่างไรอย่างนั้น
ฉินฮุ่ยหนิงไม่รอช้ารีบปลอบมารดา “ท่านแม่อย่าร้องไห้เลย หากท่านแม่คิดถึงข้า ข้าสามารถกลับมาหาท่านได้ เสี่ยวซีเป็ลูกสาวแท้ๆ ของท่าน ต้องทำหน้าที่แทนข้าได้ดีแน่นอน ท่านแม่ดูเสี่ยวซีสิเ้าคะ นางหน้าคล้ายท่านพ่ออย่างกับลอกมา นางต้องเป็เืเนื้อเชื้อไขแท้ๆ ของท่านพ่ออย่างไม่ผิดเพี้ยน และยามนี้ถือเป็การรวมตัวของครอบครัวแล้ว นี่คือรางวัลจาก์ ท่านแม่...วันที่ดีของท่านอยู่ข้างหน้าอย่าเศร้าเสียใจเลยนะเ้าคะ”
ในคำพูดเพียงไม่กี่คำของนางประกอบด้วยความกตัญญูอย่างที่สุด และกลับเป็การยั่วยุอย่างมากที่สุดเช่นกัน
เพราะไม่มีใครบอกว่าจะไล่นางออกไป นางตั้งใจพูดหลายๆ ครั้งเพื่อแสดงความกังวลและความรู้สึกผิดของนาง
คุณหนูสามฉินเจียหนิงกับคุณหนูหกฉินซวงหนิงสบตาเข้าหากัน จากนั้นต่างคนต่างก็ก้มมองต่ำโดยไม่ได้เอ่ยคำพูดใดๆ แม้แต่น้อย
คุณหนูเจ็ดฉินอันหนิงเบะปาก พร้อมเปล่งเสียงออกมา
ซุนซื่อคิดไตร่ตรองคำพูดของฉินฮุ่ยหนิงอย่างละเอียด นางดูเหมือนจะฉุกคิดอะไรได้บางอย่าง
มือของฉินหยีหนิงที่อยู่ด้านข้างของร่างกายค่อยๆ งอนิ้วเข้าหากันเป็กำปั้น นางมีสีหน้าสับสน สายตาจ้องมองแม่ลูกคู่นั้น ก่อนเลื่อนั์ตาทอดมองฉินฮุ่ยหนิงที่กำลังแสดงละครซึ่งทำออกมาได้ดีทีเดียว
ซุนซื่อเหมือนจะััได้ถึงความรู้สึกบางอย่าง นางจึงเงยหน้ามอง และเป็่จังหวะที่ฉินหยีหนิงหันมามองนางพอดี ทำให้สายตาของคนทั้งสองประสานกัน
ที่ฮุ่ยเจี่ยร์พูดก็ถูก เด็กคนนี้หน้าตาละม้ายบิดาของนาง ทั้งดวงตาและคิ้วเรียว ใบหน้างดงามของนางทำให้ซุนซื่อนึกถึงฉินหวยหยวนตอนสมัยยังหนุ่มๆ
แต่เมื่อมองดูอย่างละเอียดแล้ว กลับรู้สึกว่าทั้งตัวของฉินหยีหนิงนั้นไม่มีอะไรที่คล้ายกับตนเลย
ตอนที่นางยังเป็สาวๆ มีความสวยสง่างาม ทว่าเมื่อดูเด็กคนนี้แล้ว กลับมีเสน่ห์ดึงดูดผู้คน เมื่อผู้หญิงเห็นเป็ต้องตกหลุมรัก นั่นมันคล้ายนางเสียที่ไหนกัน? มีอะไรบ้างที่จะรับรองได้ว่าเด็กสาวผู้นี้เป็ลูกแท้ๆ ของนาง? แต่เมื่อมองไปที่ฉินฮุ่ยหนิง…กลับรู้สึกว่าฮุ่ยเจี่ยร์ของนางยังจะมีความสวยสง่าคล้ายกับนางเสียมากกว่า
ได้ยินมาว่า คนสนิทของฉินหวยหยวนเจอเด็กสาวผู้นี้ที่เมืองเหลียง เมื่อเห็นว่านางมีความคล้ายคลึงกับฉินหวยหยวนตอนที่ยังหนุ่มจึงเกิดความสงสัย หลังจากนั้นก็ตรวจสอบ หลายครั้งที่เจออุปสรรค ถึงกระนั้นสุดท้ายก็พานางกลับมาได้
แต่นี่เป็คำพูดของฉินหวยหยวนเท่านั้น
ซุนซื่อหันไปมองฉินหวยหยวนผู้เป็สามี ซึ่งยังคงอยู่ในอาการเงียบนิ่ง
เป็ไปได้หรือไม่ว่าฉินหวยหยวนจะมีหญิงอื่น และได้ให้กำเนิดเป็เด็กผู้หญิงคนนี้?
อีกอย่าง ดูจากอายุแล้ววัยของนางก็พอๆ กับฮุ่ยเจี่ยร์ มิหนำซ้ำฉินหวยหยวนเป็คนที่รักษาชื่อเสียงของตัวเองมาั้แ่ไหนแต่ไร ไม่ใช่ว่าตอนที่นางตั้งท้องอยู่นั้น เขาไปมีลูกกับผู้หญิงอื่นข้างนอก ตอนนี้อยากพาลูกตัวเองมาอยู่ด้วย จึงแต่งเื่ขึ้นมาเพื่อให้คนอื่นเห็นอกเห็นใจ?
ใช่แน่ๆ ฉินหยีหนิงถึงแม้ว่ารูปร่างจะดูผอมบาง ลักษณะเหมือนขาดสารอาหาร แต่เมื่อพิจารณาโดยรวมเห็นได้ชัดว่านางเป็คนสุขุม สงบเสงี่ยม แม้ได้พบเจอคนแปลกหน้า นางก็แสดงออกถึงความประหม่าเก้อเขินเพียงเล็กน้อย แต่กลับไม่มีความกลัวเสียเลย แบบนี้เหมือนกับ “เด็กป่า” ที่โตมาในป่าลึกได้อย่างไรกัน?
ไม่แน่ ฉินหวยหยวนตั้งใจพูดเช่นนี้ เพื่อให้คนอื่นเห็นใจก็ได้!
ฉินหวยหยวนมีอำนาจและตำแหน่งสูงส่ง แต่เข่าของเขานั้นบางเฉียบ เขามีลูกสาวเพียงคนเดียวเท่านั้น คนนอกอยากมีทายาทให้ฉินหวยหยวนไม่รู้ตั้งเท่าไร ตำแหน่งฮูหยินอัครเสนาบดีของซุนซื่อก็ไม่ได้มั่นคงปลอดภัยมาั้แ่ไหนแต่ไรแล้ว ข้อสำคัญอีกประการในใจลึกๆ นางรู้สึกรับความจริงไม่ได้ เื่ลูกที่กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูมาสิบสี่ปีกลับไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของนาง สิ่งที่คิดได้ทำให้นางรู้สึกว่าเจอต้นตอของปัญหาเสียแล้ว ดังนั้น เมื่อมองไปที่ฉินหยีหนิงอีกครั้ง ในสายตานางเริ่มปรากฏความสงสัยขึ้นมาบางส่วน
ฉินฮุ่ยหนิงสังเกตซุนซื่ออย่างกังวล เมื่อซุนซื่อเริ่มสงสัยฉินหยีหนิงแล้ว จึงเป็ผลให้นางรู้สึกโล่งอก
แต่ในใจของฉินหยีหนิงตอนนี้กลับรู้สึกวิตกขึ้นมาเสียแทน
ตอนเด็กๆ ายังไม่ลามเข้ามายังเมืองเหลียง มีครั้งหนึ่งที่แม่บุญธรรมพานางไปหาหมอดู ท่านหมอดูทำนายว่า ดวงชะตาของนาง ‘ไร้ญาติขาดมิตร พี่น้องต่างก็พึ่งพาไม่ได้’
สายตาสงสัยของแม่แท้ๆ ที่มีต่อนางนั้น ทำให้เด็กสาวรู้สึกเ็ปหัวใจมากยิ่งกว่าตอนที่ถูกหมาป่าตัวหนึ่งจ้องมองมาเสียอีก ความเย็นเยียบค่อยๆ คืบคลานมาจากปลายเท้า ส่งผลให้ตัวของนางตอนนี้แข็งค้างชาดิกไปทั้งตัว
ที่แท้เป็เพราะนางโลภเอง นางไม่สมควรขออะไรมากไปกว่านี้
ฉินหยีหนิงปิดตาแล้วปิดตาอีก ทว่าครั้นลืมตาขึ้นดวงตาทั้งสองของนางกลับมีแสงสว่างแห่งความไม่ยอมแพ้แฝงอยู่
การไม่ยอมแพ้ของนางเกิดจากการใช้ชีวิตท่ามกลางความยากลำบากมายาวนาน นางถูกขัดเกลาด้วยประสบการณ์ที่ขัดสนลำเค็ญในการมีชีวิตรอดเป็เวลาหลายปี ยิ่งนางมีความทุกข์ยากลำบากมากเท่าไร นางก็ยิ่งต้องเข้มแข็งและอดทนมากยิ่งขึ้น เพราะต้องเผชิญกับอันตรายหลายครั้ง เด็กสาวจึงได้เรียนรู้ ถ้านางเกิดเผลอหย่อนไปนิดหน่อย เกรงว่านางคงไม่มีชีวิตรอดจนถึงทุกวันนี้ ความยากลำบากที่นางได้เจอทำให้นางเป็คนไม่ย่อท้อ และนางไม่เคยโค้งงอยอมแพ้เมื่อต้องพบกับอุปสรรค
แม้ว่าครอบครัวนี้จะไม่ได้อบอุ่น แต่การใช้ชีวิตที่นี่สุขสบายมากกว่าการอยู่ในป่าในเขา อีกอย่างมันไม่ได้หมายความว่าจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงมุมมองของคนเหล่านี้อย่างช้าๆ ได้นี่ มิหนำซ้ำยังไม่มีเหตุผลที่พวกเขาจะต้องชอบนางในทันทีที่เจอเช่นกัน
มือที่กำแน่นของฉินหยีหนิงเริ่มคลายออกช้าๆ พร้อมความคิดที่สงบนิ่งดังเดิม
ฉินฮุ่ยหนิงคอยสังเกตฉินหยีหนิงตลอดเวลา กระนั้นนางกลับต้องงงงันกับแสงสว่างในดวงตาของฉินหยีหนิง ตอนแรกนางคิดว่าฉินหยีหนิงเป็เพียงเด็กผู้หญิงจากชนบท เมื่อเจอกับการกีดกันรังเกียจก็น่าจะถอยหนีสิ อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่านางจะประเมินฉินหยีหนิงต่ำเกินไปเสียแล้ว
ซุนซื่อเดินเข้าหาฉินหยีหนิงพร้อมเอ่ยถาม “เ้าอาศัยอยู่ที่เมืองเหลียงหรือ?”
ยังจะมาถามย้อนอีกหรือ?
“ใช่เ้าค่ะ เท่าที่ข้าจำความได้ ข้าก็อยู่ที่เมืองเหลียงแล้ว แม่บุญธรรมของข้าชื่อหลิวซื่อ นางเป็แม่หม้าย นางได้บอกสถานะของข้าั้แ่ข้าจำความได้ และนางเลี้ยงอุปการะข้ามาตลอด จนข้าอายุได้แปดขวบนางก็ได้เสียชีวิตจากไป”
“ฟังจากการสนทนาของเ้าแล้ว เ้าเหมือนอ่านออกเขียนได้หรือ?” ซุนซื่อสงสัย
“แม่บุญธรรมของข้าเคยเป็บ่าวรับใช้อยู่ในบ้านคนรวย สามีของนางเป็บัณฑิต นางเองก็รู้หนังสือ รู้จักวรรณกรรมและเขียนพู่กันได้ นางสอนพื้นฐานให้ข้าเมื่อตอนที่ข้ายังเป็เด็ก แต่ต่อมาชีวิตยากลำบากมาก มีหลายครั้งที่ถูกทหารเข้ามาปล้น และหนังสือที่ถูกเก็บไว้ที่บ้านสูญเสียไปเจ็ดแปดส่วน อีกทั้งตอนนั้นแม่บุญธรรมยุ่งมากกับการหาเงินเลี้ยงชีพ จึงไม่มีเวลามาสอนข้าอีก”
นางพูดแบบไม่มีช่องโหว่ให้เห็นเลย
ซุนซื่อม้วนผ้าเช็ดหน้าเดินไปรอบๆ ฉินหยีหนิง กวาดสายตามองสำรวจนางั้แ่ศีรษะจรดเท้าอยู่หลายหน
ตอนนั้นทุกคนก็สามารถรับรู้ได้ถึงความสงสัยของซุนซื่อที่มีต่อฉินหยีหนิง ข้อสงสัยที่ไม่สามารถแก้ไขได้ ประกายั์ตาหลากหลายความหมายต่างหยุดจ้องมองไปที่ฉินหยีหนิงและซุนซื่อ
ถ้าเป็เด็กสาวที่ไม่เคยเจอผู้คน ก็คงจะใั้แ่แรกแล้วล่ะ แต่ฉินหยีหนิงกลับสงบนิ่ง แม้โดนจับจ้องจากทุกทิศทุกทางก็ตาม
ผ่านไปสักพัก ซุนซื่อก็ได้เอ่ยถามนางอีกว่า “เ้าเกิดเมื่อไร?”
“ข้ารู้แค่ว่า ข้าเกิดตอนเช้า แม่บุญธรรมเก็บข้าเมื่อเดือนหก ตอนเช้าตรู่ บอกว่าเจอข้าที่ลำธารเล็กๆ ทางด้านหลังของูเาชุ่ยชาน ทางตอนใต้ของเมืองหลวง”
“ที่เ้าพูดมาหมายความว่าตอนที่เ้ายังเป็เด็ก เ้าเคยใช้ชีวิตในเมืองหลวงสักพักหรือ?”
“น่าจะ...กระมังเ้าคะ แต่เท่าที่ข้าจำความได้ข้าก็อยู่ที่เมืองเหลียงแล้ว แม่ ท่าน…”
“อย่าเรียกข้าว่าแม่!”
ทันทีที่ซุนซื่อเปล่งเสียงสูงออกมา ผู้คนต่างใไปตามๆ กัน
นางทราบดีว่า ทัศนคติของนางนั้นอาจจะดูเกินไป ซุนซื่อบอกกับฉินหยีหนิงด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวว่า “ตระกูลใหญ่ของเราไม่เรียกแม่กันหรอก คนมียศเรียกว่าฮูหยิน ถ้าไม่มียศก็เรียกว่าภรรยา มีแต่บ้านเล็กๆ เท่านั้นแหละที่เรียกแม่”
ฉินหยีหนิงกะพริบขนตางอนยาว ทว่าก็ไม่ได้เอ่ยถึงเื่ที่เมื่อสักครู่นั้น ฉินฮุ่ยหนิงก็เรียกนางว่า “ท่านแม่” ไม่ได้เรียกว่า “ฮูหยิน”
ล่าวไท่จุนกระแอมไอขึ้นมาเล็กน้อย พลางเอ่ย “ในเมื่อรับรองได้ว่าเป็ลูกสาวของเิเกอร์ ถ้าอย่างนั้นก็อยู่ที่นี่เถอะ แต่ต้องพูดให้ดีก่อนนะ ฮุ่ยเจี่ยร์ของข้าจะไม่จากข้าไปไหนทั้งนั้น!” ชื่อตามตารางของฉินหวยหยวนเรียกว่า ‘เิ’ ชื่อเล่นว่าเิเกอร์
ล่าวไท่จุนคิดไปคิดมา ก่อนกล่าวต่อ “เด็กคนนี้โตมาในป่า กลับมาอยู่ที่จวนอัครมหาเสนาบดี ก็คงไม่รู้กฎมารยาท อีกสองเดือนพี่เจีย ก็ต้องเข้าพิธีปักปิ่นแล้ว ตอนนั้นแเื่คงจะมามากมาย หากทำผิดกฎมารยาทไป เกรงว่าจะไม่ดี สู้ส่งนางไปยังบ้านเถียนก่อน แล้วเชิญแม่นมที่รู้กฎมารยาทมาสอนนาง หลังจากนั้นค่อยพาตัวนางกลับมา”
เมื่อทุกคนได้ยินถ้อยคำดังกล่าว ต่างก็มองดูล่าวไท่จุนผู้น่ากลัว และไม่คิดว่านางจะลำเอียงไปที่ฉินฮุ่ยหนิงได้ถึงเพียงนี้
ถ้าให้ฉินหยีหนิงไปอยู่ที่บ้านเถียน ไม่รู้ว่าจะพานางกลับมาอีกทีเมื่อไร หรือแม้แต่จะพานางกลับมาวันไหนนั้น ยากนักที่จะพูดได้ หากล่าวไท่จุนเกิดอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาอาจจะหาข้ออ้างเลื่อนเวลาก็มีความเป็ไปได้เช่นกัน
และเป็ซุนซื่อที่บังเกิดความลังเล
ถึงแม้ว่าไม่ได้เสียดายเด็กคนนี้ และมีความสงสัยว่านางจะเป็เด็กที่เกิดจากหญิงอื่นหรือเปล่า แต่นางก็เป็เืเนื้อเชื้อไขของฉินหวยหยวน ซึ่งอาจจะเป็ลูกแท้ๆ ของนางก็เป็ได้...
ซุนซื่อจมอยู่กับความคิดของตนอยู่ครู่หนึ่ง จึงเอ่ยออกมา “ท่านพี่เข่าบาง หลายปีมานี้มีเพียงแค่ลูกสาวคนเดียว ทว่าตอนนี้กลับมีลูกสาวถึงสองคนอยู่ที่นี่ เท่ากับบ้านใหญ่ของเราก็มีแค่ลูกสาวเพียงแค่สองคนเท่านั้น ล่าวไท่จุน ข้าบังอาจขอร้อง ถึงแม้ว่าเจอหยีเจี่ยร์ แต่ฮุ่ยเจี่ยร์มีวาสนากับตระกูลของเราหรือไม่นั้น อนาคตข้างหน้าก็ยังคงเป็ทายาทคนโต หยีเจี่ยร์ก็ให้เป็ทายาทคนเล็กของข้าก็ได้ นางเข้ามายังตระกูลเราแล้ว ก็ถือเสียว่าเป็ทายาทรองดีไหมเ้าคะ?”
ซุนซื่อคิดแบบนี้ ซึ่งเป็ไปตามที่ล่าวไท่จุน้า “เ้าคิดได้อย่างนี้ ดีจริงเลย”
ซุนซื่อกล่าวอีกว่า “ส่วนเื่กฎมารยาทที่ล่าวไท่จุนพูดเมื่อสักครู่นั้น เชิญแม่นมที่รู้กฎมารยาทจากวังหลวงมาสอนก็ได้ ไปที่บ้านนั้นก็ดี อย่างนี้จะได้ให้ข้ากับฮุ่ยเจี่ยร์ และคนอื่นๆ ในบ้าน จะได้มีเวลาปรับตัวอีกสักพัก”
ที่ซุนซื่อพูดออกมานั้น ล้วนแต่เป็ไปตามที่ล่าวไท่จุน้า ซึ่งคิดไว้ว่าจะส่งลูกสาวออกไป
ฉินฮุ่ยหนิงค่อยๆ หายใจอย่างโล่งอก ในใจนั้นค่อยๆ รู้สึกเบาลงทันที
ฉินหยีหนิงกัดปากตัวเอง พลางมองไปที่ฉินหวยหยวน นางไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมต้องส่งให้นางไปด้วย? หรือว่านางไม่ใช่ลูกสาวของตระกูลฉินหรือ!
“หยีเจี่ยร์ต้องอยู่ที่นี่ ครูกับแม่นมที่จะมาสอนกฎมารยาทนั้นสามารถเชิญมาสอนที่จวนนี้ก็ได้” ในที่สุดฉินหวยหยวนก็เอ่ยปากเสียที “ทายาทคนโตก็คือทายาทคนโต ส่วนที่เลี้ยงมาก็คือที่เลี้ยงมา หรือว่าหากไม่ได้เลี้ยงมา หยีเจี่ยร์ก็ไม่ใช่ทายาทคนโตแล้วสิ?”
ฉินฮุ่ยหนิงที่รู้สึกปลอดโปร่งไปเมื่อครู่นั้น กลับต้องมากังวลอีกครั้ง
ล่าวไท่จุนรีบเอ่ยถามในทันที “เิเกอร์ เ้าหมายความว่าอย่างไร?”