หลิวฉินกับหลี่อี้มองหน้ากันทันที แน่นอนว่าพวกเขาพอจะเดาความคิดของอีกฝ่ายออก ทั้งสองจึงรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
ท่ามกลางความเงียบสงัด หลิวฉินก็เอ่ยปากพูดกับเด็กสาวเป็คนแรก “ฟู่อิน ร้านทั้งแปดของเจียงฮูหยิน เ้าตกลงซื้อเถิด หากไม่พอข้าจะช่วยหาทางให้อีกแรง!”
หลี่อี้เห็นดีเห็นงาม “ข้าเองก็จะช่วยเ้าด้วยเช่นกัน”
แต่สำหรับหลินฟู่อิน เงินเพียงหมื่นตำลึงเงินก็ถือเป็น้ำใจที่มากเกินนางจะรับไหว ทว่าถึงอย่างนั้นนางก็รู้สึกอบอุ่นใจ แม้แต่พี่น้องแท้ๆ คงไม่คิดให้นางมากขนาดนี้
หลินฟู่อินส่งสายตาขอบคุณก่อนส่ายหน้าปฏิเสธ “หากข้าคิดจะซื้อ ข้าก็อยากซื้อมันด้วยกำลังของตัวเอง”
เห็นเด็กสาวปฏิเสธอย่างแรงกล้า หลิวฉินได้แต่ส่งเสียงแ่ “ฟู่อิน เ้า…”
หลินฟู่อินยกมือโบกไปมา “ข้ารู้พี่หลิว แต่ท่านเก็บเงินของท่านไว้ใช้เถิด ท่านควรเก็บออมไว้ให้พ่อของท่านหยิบยืมยามจำเป็ นี่เป็น้ำใจที่มากเกินไป ข้าไม่อาจรับไว้ได้” จากนั้นนางก็หันไปพูดกับหลี่อี้ “พี่หลี่อี้ เงินไม่ได้เก็บไว้ที่ท่าน เหตุใดจึงต้องรบกวนครอบครัวของท่านด้วยเล่า? ยิ่งเป็เงินจำนวนมากขนาดนี้ด้วยแล้ว…”
เห็นหนุ่มสาวทั้งสามเป็ห่วงเป็ใยทั้งมีน้ำใจต่อกันเช่นนี้ ชายชราที่เห็นเหตุการณ์ตรงหน้าจึงอดรู้สึกปลื้มใจแทนไม่ได้
ทันใดนั้นเขาจึงตัดสินใจในทันที สายตาที่เต็มไปด้วยเมตตาถูกส่งไปให้หลินฟู่อิน “แม่นาง วันนี้ข้าเห็นท่านกับตาตัวเองแล้ว ข้าเชื่อเหลือเกินว่าท่านกับนายหญิงของข้ามีโชคชะตาเกี่ยวดองกัน เพราะฉะนั้นร้านค้าทั้งหมดแปดร้านในชิงเหลียน ข้าจะเก็บไว้ให้ท่านจนถึงสิ้นปีนี้ หากท่านเก็บเงินถึงสี่หมื่นห้าพันตำลึงเงินก่อนกำหนด ข้าจะขายให้ท่าน หากท่านเก็บไม่ทัน ข้าจะประกาศแยกขายให้นายหญิงทันที ตกลงตามนี้หรือไม่?”
ได้ยินเช่นนี้หลินฟู่อินก็รีบกล่าวขอบคุณพ่อบ้านชราอย่างซาบซึ้งเต็มหัวใจ
ชายชรากล่าวต่ออย่างร่าเริง “ข้าจะช่วยนายหญิงขายทรัพย์สินอย่างอื่นก่อนระหว่างนี้ คงเป็การดีหากท่านสามารถไล่ซื้อไว้ได้ทั้งหมด”
หลินฟู่อินเคยได้ยินว่าเจียงฮูหยินมีบ้านในชิงเหลียน ภายในหัวของนางเริ่มโลดแล่นอีกครั้ง นิสัยของนางคือหากมีเป้าหมายแล้วต้องคว้าไว้ให้ได้ “ท่านพ่อบ้าน เมื่อมีบ้านพร้อมขายในตัวเมือง ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่แค่ไหน โปรดบอกราคาให้ข้าเถิด”
“เหตุใดท่านจึงอยากซื้อบ้านอีก?” พ่อบ้านถามยิ้มๆ เขาไม่คิดว่าหลินฟู่อินจะสนใจ เขาให้เวลาสาวน้อยคนนี้หาเงินเพื่อร้านค้าแล้ว แน่นอนว่าเขารอได้เสมอ
เมื่อหลินฟู่อินเห็นว่าชายชราไม่คิดโน้มนาวให้นางซื้อบ้านอย่างชัดเจน นางจึงหลุดหัวเราะออกมา “ข้าไม่มีเงินพอสำหรับร้านค้าในชิงเหลียน บางทีข้าอาจมีเงินพอสำหรับซื้อบ้านก็เป็ได้”
ไม่ว่าจะอยู่เมืองใด ราคาร้านค้ามักจะสูงกว่าราคาของบ้านเป็ปกติ ยิ่งเป็บ้านที่พื้นที่รอบๆ ค่อนข้างแคบด้วยแล้ว ราคาจะยิ่งถูกกดต่ำลง ไม่ต่างอะไรจากบ้านที่ทำเลไม่ดี แน่นอนว่าไม่เหมาะสำหรับใช้เปิดกิจการใดๆ ก็ตาม
“มีบ้านหลังเล็กบนถนนโยวหลันในชิงเหลียน เป็บ้านที่มีห้าประตูล้อมรอบ นั่นคือบ้านที่มีราคาถูกที่สุด” พ่อบ้านชราตอบก่อนยกมือขึ้นมา “แม่นาง บ้านหลังนี้ราคาห้าพันตำลึงเงิน ลดจากราคาที่ตั้งไว้ตอนแรกหกพันตำลึงเงิน”
ห้าพันตำลึงเงิน…
หลินฟู่อินคำนวณเงินที่มีอยู่ในกระเป๋า นางอาจมีเงินพอซื้อบ้านหลังนี้ ตลอดสองวันที่ผ่านมา รายได้จากแป้งหอมโม่กุ้ยเฝิ่นและถั่วทอดทรงเครื่องทำให้นางเก็บเงินได้เพิ่มกว่าสามพันตำลึงเงิน
กล่าวคือหลินเฟินและหลินฟางต้องขยันส่งของว่างไปขายที่หอพระจันทร์ และพวกนางยังต้องหาเงินอีกมาก หากไม่พอจ่าย คงถึงเวลาที่พวกนางจำเป็ต้องควักเงินเก็บออกมาใช้
หลินฟู่อินรู้สึกอับจนหนทาง แต่นี่ไม่ใช่โอกาสที่ทุกคนจะได้ และนางอยากคว้ามันไว้
หลังจากจมกับความคิดอยู่นาน หลินฟู่อินก็กัดฟันพูดขึ้นมาว่า “ข้าตกลงซื้อในราคาห้าพันตำลึงเงิน” หลินฟู่อินหันไปหานายหน้าเมิ่ง “ข้าอยากให้ท่านเป็นายหน้าซื้อขายบ้านหลังนี้ รบกวนท่านด้วยเ้าค่ะ”
ชายชราได้ยินดังนั้นก็เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าตนดูถูกเด็กสาวคนนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ท่านพ่อบ้านมีความเห็นอย่างไรเ้าคะ?” หลินฟู่อินเอ่ยถาม
แม้ว่าใบหน้าน่ารักนั้นจะแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม แต่เนื้อแท้ของเด็กสาวคนนี้นั้นมีไหวพริบไม่เบา
หลินฟู่อินเคยคิดว่าแป้งหอมโม่กุ้ยเฝิ่นและของว่างจะทำเงินให้นางได้มหาศาล แต่ถึงคราวจำเป็ต้องใช้เงินด่วนเช่นนี้กลับไม่พอ
เหลืออีกหนึ่งพันจิน… ดูท่าต้องทำงานหนักอีกแล้ว
นายหน้าเมิ่งเห็นหลินฟู่อินมอบหมายงานให้เขาก็ซาบซึ้งน้ำตาคลอ เกือบหลุดเอ่ยคำยกย่องออกมาไม่ขาดสาย
พ่อบ้านตอบตกลงแต่โดยดี แน่นอนว่าเป้าหมายของเขาคือการขายทรัพย์สินของเจียงฮูหยินให้หมด เขาไม่จำเป็ต้องใส่ใจอะไรมากอยู่แล้ว
ยิ่งแก่ตัวลงอารมณ์ก็ยิ่งอ่อนไหว และเมื่อใดที่อารมณ์อ่อนไหวเมื่อนั้นก็อาจทำเื่เล็กให้เป็เื่ใหญ่ได้ทุกเมื่อ
เมื่อการตกลงเสร็จสิ้น หลินฟู่อินบอกให้พ่อบ้านชราดูแลร่างกายตัวเองให้ดี ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่าโฉนดที่ดินและทรัพย์สินทั้งหลายจะได้ก็ต่อเมื่อมีเงินพร้อมแลกเปลี่ยนตามที่คุยกันไว้
พ่อบ้านชราจิตใจเบิกบานขึ้นมาทันที
เมื่อหลินฟู่อินเห็นอีกฝ่ายสบายใจ นางจึงพูดกับนายหน้าเมิ่งว่า “อีกสองวันข้าจะส่งเงินมาให้พร้อมกับลูกประคบให้ท่านพ่อบ้านเอาไว้ประคบร้อนแก้ปวดตรงหัวเข่าเ้าค่ะ”
ได้ยินคำพูดของหลินฟู่อิน หลี่อี้ก็ลอบมองสังเกตสีหน้าของพ่อบ้านชรา ใบหน้าที่ซูบเซียวนั้นปรากฏร่องรอยของอาการเืลมติดขัด หลี่อี้ยิ่งรู้สึกประทับใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่หลินฟู่อินใส่ใจคนรอบข้าง
ชายหนุ่มพูดเสริมขึ้นมาทันที “แม่นางหลินเป็หมอขอรับ”
“์โปรด! มิน่านายหญิงของข้าจึงชื่นชมท่านยิ่งนัก” หัวใจของชายชราพองโตขึ้นทันที
ระหว่างทางกลับหลิวฉินถามหลินฟู่อินบนรถม้าว่า “เหตุใดเ้าถึงชอบยุ่งเื่ของคนอื่นนัก? เ้าสังเกตเห็นว่าพ่อบ้านชราคนนั้นหนาว เ้ามาที่นี่เพื่อดูแลคนแก่เฒ่าเช่นนั้นหรือ?”
หลิวฉินไม่เข้าใจ เขาไม่เคยพบเจอคนที่เห็นอกเห็นใจผู้อื่นและละเอียดอ่อนเท่าหลินฟู่อินมาก่อน และเขาไม่มีทางชินกับคนประเภทนี้ได้เลย
ตลอดชีวิตของเขา เขาเคยเจอแต่คนกวาดหิมะกองไว้หน้าประตู รอให้คนอื่นมาเก็บกวาดให้เรียบร้อย
หลินฟู่อินมองอีกฝ่ายด้วยสายตาต่างจากที่เคย ก่อนตอบเสียงเรียบว่า “ข้าไม่สนว่าคนอื่นจะมองข้าเช่นไร การเป็คนใจอ่อนคือการบ่งบอกว่าข้าเป็คนจิตใจดี หากช่วยได้ข้าก็ยินดีช่วย หากมีคนตอบแทนข้าก็ดีใจ แต่หากไม่ อย่างน้อยข้าก็รู้สึกสบายใจกับตัวเอง”
หลี่อี้เบิกตาทันทีที่ได้ยิน
นายหน้าเมิ่งพยักหน้าซ้ำๆ “แม่นางหลินพูดมีเหตุผล ไม่ว่าคนอื่นจะคิดเช่นไร ความสบายใจของตัวเองนั้นสำคัญที่สุด”
หลิวฉินก้มหน้าใช้เวลาอยู่กับตัวเองพักใหญ่
เมื่อรถม้าผ่านถนนใหญ่ หลินฟู่อินนึกขึ้นได้ว่านางไม่ได้กลับหมู่บ้านหูลู่มาหลายวันแล้ว หากได้กลับไปเยี่ยมเหล่าเด็กน้อยสักหน่อยคงจะดี “พี่หลี่อี้ ส่งข้าที่ถนนใหญ่ข้างหน้าได้หรือไม่ ข้าจะกลับไปหาครอบครัวของข้า นานแล้วที่ไม่ได้เห็นหน้าน้องๆ”
“เข้าใจแล้ว” หลี่อี้ตอบตกลงทันที เขาะโสั่งให้คนขับหยุดรถ
กว่าหลินฟู่อินจะเดินทางถึงบ้านที่หูลู่เวลาก็ปาเข้าไปมืดค่ำ
ทันทีที่นางปรากฏตัวหน้าประตูหมู่บ้าน ชาวบ้านที่พบเห็นก็รีบวิ่งออกมาต้อนรับทันที “ฟู่อิน เ้ากลับมาแล้ว! หากเ้าไม่กลับมาหลินเสี่ยวเถาไม่รอดแน่!”
หลินฟู่อินขมวดคิ้วก่อนถามสตรีผู้หวังดี “พี่สาว เสี่ยวเถาเป็อะไร?”
“ฟู่อิน เ้าเป็หมอ เ้ารีบไปช่วยเสี่ยวเถาเถิด” ขณะนั้นสตรีอีกคนก็ทนต่อไปไม่ไหวแล้วถอนหายใจยาว “ชู่! เ้าไม่รู้อะไรเสียแล้ว ข้าจะบอกอะไรให้…”
เื่มีอยู่ว่าหลินต้าชานเตะหลินเสี่ยวเถาและหลินเสี่ยวเหอจนกระดูกร้าวตอนนั้น เด็กสาวทั้งสองถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงหมอสกุลหลี่แล้วเรียบร้อย ก่อนกลับมาฟื้นฟูร่างกายเป็เวลาร่วมเดือน ถึงอย่างนั้นระหว่างฟื้นฟูร่างกายเด็กสาวทั้งสองต้องนอนอยู่นิ่งๆ บนเตียง กระดูกที่รวดร้าวก็เ็ปมานานกว่าร้อยวันเข้าแล้ว ทั้งหลินเสี่ยวเถาและหลินเสี่ยวเหอยังเด็ก แท้จริงแล้วนางไม่จำเป็ต้องนอนเป็ผักนานขนาดนั้น
จ้าวซื่อและอู๋ซื่อเป็คนความอดทนต่ำ หลินเสี่ยวเหอและหลินเสี่ยวเถาทำได้เพียงนอนอ้าปากกางแขนกางขาอยู่เฉยๆ แต่พวกนางทนเช็ดอุจจาระเช็ดปัสสาวะให้ไม่ไหว ภายในเพียงไม่กี่วันจ้าวซื่อและอู๋ซื่อก็ปล่อยให้พวกนางลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำกันเอง
หลินเสี่ยวเถาลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำหนึ่งครั้ง แต่ซี่โครงของนางาเ็จนยืนแทบไม่ไหว แล้วตกลงไปในส้วม เคราะห์ดีที่ปู่หลินผ่านมาได้ยินเสียงะโเข้าพอดี นางจึงลุกออกมาจากส้วมได้
ถึงอย่างนั้นอู๋ซื่อและจ้าวซื่อก็ถูกหมายหัวว่าพวกนางรวมหัวให้หลินเสี่ยวเถาตกส้วมตายไปเสีย แต่อู๋ซื่อแสร้งทำเป็ไม่รู้ไม่ชี้ ส่วนจ้าวซื่ออ้างว่านางไม่ได้กลิ่น ไม่ได้ยินเสียงอะไร
ปู่หลินไม่รู้จะช่วยอะไรนอกจากขอให้เฟิงซื่ออาบน้ำให้หลินเสี่ยวเถา แต่หลินเสี่ยวเถาาเ็หนักกว่าที่คิด ตอนที่ตกลงไปในส้วม นางถูกทิ้งให้แช่อยู่ในนั้นนานสองนาน แม้อาบน้ำเช็ดตัวให้แห้งแล้ว นางก็ยังมีไข้และป่วยหนักอยู่ดี
ทั้งไอ ทั้งเป็ไข้ พูดไม่ได้ความ หมดสตินับครั้งไม่ถ้วน แต่ยังฟื้นตัวตื่นขึ้นมาได้ เหตุการณ์ครั้งนี้นับเป็เื่ที่ทำให้ความสัมพันธ์ของบ้านใหญ่สั่นคลอนอย่างแท้จริง
ทุกคนในบ้านใหญ่หลินเบื่อหน่ายเต็มทน
มีคำกล่าวว่าไม่มีบุตรกตัญญูคนไหนนอนป่วยอยู่ที่เตียง ไม่จำเป็ต้องเอ่ยถึงบุตรสาวที่ไม่อาจทำประโยชน์ให้กับครอบครัวได้เลย โชคชะตาของพวกนางราวกับแขวนอยู่บนเส้นด้าย
จ้าวซื่อไม่คิดดูแลบุตรสาวทั้งสองของตนแล้วกลับบ้านผู้เป็แม่ นางหลงงมงายกับคำทำนายของนักทำนายจ้าวที่บอกว่าหลินเสี่ยวเถามีดวงอัปมงคลต่อชีวิต และเด็กคนนี้ไม่ใช่เืเนื้อเชื้อไขแท้ๆ ของนาง แต่เป็ผีร้ายกลับชาติมาเกิด นั่นเป็สาเหตุหลักที่ทำให้จ้าวซื่อคิดทอดทิ้งนาง
เมื่อจ้าวซื่อกลับบ้านใหญ่ตระกูลหลิน อู๋ซื่อก็ละเลยอาการเจ็บป่วยของหลานสาวทั้งสอง นางอ้างว่าที่บ้านไม่มีเงินให้เด็กสาวไปหาหมอได้อีก ถ้าพวกนางตายก็แค่มัดด้วยเสื่อฟางแล้วโยนเข้ากองเพลิง
ได้ยินคำพูดโหดร้ายเช่นนั้น สีหน้าของหลินฟู่อินก็เ็าลงทันที
ผู้าุโของบ้านใหญ่สกุลหลินยังมีหัวใจกันอยู่หรือไม่?
เป็เื่ปกติที่จะดุด่าว่ากล่าวลูกหลานในบ้าน แต่ไม่คิดถึงชีวิตกันเช่นนี้ไม่ได้! ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพูดออกมาได้อย่างไร!
ั์ตาที่เคยสดใสลุกโชนด้วยความโกรธเคือง นางไม่มีกระทั่งเวลาเอ่ยปากทักทายผู้ที่มาแจ้งข่าว วิ่งตรงไปบ้านใหญ่ทันที
ต่อให้เคยโดนหลินเสี่ยวเถากลั่นแกล้ง ต่อให้ไม่ชอบขี้หน้า ต่อให้ปากคอเราะร้ายขนาดไหน นางก็ยังมีชีวิต!
นางปล่อยให้คนตายต่อหน้าต่อตาเพราะความผิดพลาดไม่ได้! ยิ่งปล่อยให้ตายโดยไม่คิดยื่นมือช่วยยิ่งทำไม่ได้! และใช่ นี่คือพื้นฐานของการเป็มนุษย์!
หลินฟู่อินเร่งฝีเท้าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ นางเห็นจ้าวซื่อยืนอยู่ตรงประตูะโโหวกเหวกขณะชี้นิ้วไปทางสวนหลังบ้าน
คำหยาบคายที่พ่นออกมาจากปากของสตรีคนนี้ทำหลินฟู่อินขยะแขยงจนอยากสำรอกอาหารในกระเพาะออกมา
หลินฟู่อินได้ยินว่าจ้าวซื่อและอู๋ซื่อมีปากเสียงกันอีกครั้ง จ้าวซื่อมัวแต่พ่นคำด่าจนไม่ทันสังเกตว่ามีแขกมาเยือน เป็จังหวะเดียวกับที่หลินต้าหลางก้าวเท้าเข้ามาที่สวนแล้วเห็นหลินฟู่อินพอดี
ทันใดนั้นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยการดูถูกและถากถางก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่ซีดเซียวของเขาทันที “หลินฟู่อิน ไม่ใช่ว่าเ้าไปเที่ยวรื่นเริงในเมืองแล้วหรือ? ยังจำได้สินะว่ามีคนเฒ่าคนแก่ ญาติพี่น้องเจ็บป่วยอยู่ที่บ้าน”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้