"นิด! ตื่นสิลูก อย่าทำแบบนี้กับแม่ นิดจ๋า นิด!!"
"พี่ว่ารีบหารถพานิดไปโรงพยาบาลดีกว่า"
เสียงอึกทึกวุ่นวายและเสียงร้องไห้ค่อย ๆ แว่วเข้ามาในหูและเริ่มทวีความดังเข้ามาเรื่อย ๆ เงียบหน่อยได้ไหม เธอคิดอย่างหงุดหงิด คนพวกนี้ยังไงนะ ไม่เกรงใจกันบ้าง อนงค์กานต์กำลังเดินล่องลอยในความฝัน ไปตามทางสีรุ้งสดใส มีกลิ่นหอมสดชื่นปะทะที่จมูกเป็ระยะ ชวนให้สนใจใคร่รู้ว่ามีอะไรอยู่เบื้องหน้า "ใกล้แล้ว อีกนิด" เธอเอ่ยขึ้นอย่างยินดีเมื่อเห็นประตูสีขาวเปล่งประกายระยิบระยับอยู่เบื้องหน้า
ฉับพลันเมื่อกำลังเอื้อมมือไปที่ประตู เสียงร้องเรียกและเสียงร้องไห้วุ่นวายก็ปะทะเข้ามาในหู และจู่ ๆ ประตูบานนั้นก็หายวับไปกับตา
"เสียดาย อีกนิดเดียวเอง" เสียงพึมพำออกมาจากปากของร่างเด็กหญิงที่อายุไม่น่าจะเกินสิบสามปีคนหนึ่ง ซึ่งกำลังนอนหลับสบายอยู่บนเตียง
"พี่! นงได้ยินเสียงลูก!" อนงค์พูดด้วยน้ำเสียงสะอื้น "นิด ตื่นแล้วใช่ไหมลูก"
"ได้ยินจริงใช่ไหม" กานต์เดินกลับไปที่เตียงและละล่ำละลักถามด้วยความดีใจ พลางลูบใบหน้าเด็กหญิงบนเตียงอย่างอ่อนโยน "นิด ตื่นแล้วใช่ไหม พูดกับพ่อหน่อยลูก"
"นงได้ยินจริง ๆ แม้เสียงจะเบามาก แต่เป็เสียงพูดของลูกแน่ ๆ" อนงค์ตอบอย่างมั่นใจ
"เงียบๆ สิ ประตูหายไปแล้วเห็นไหม" อนงค์กานต์พึมพำเสียงขุ่น
สองสามีภรรยาหันมายิ้มให้กันด้วยความดีใจ ก่อนที่อนงค์จะก้มลงลูบศีรษะและเรียกเด็กหญิงด้วยเสียงนุ่มนวล "นิด ตื่นแล้วลืมตาหน่อยลูก หนูนอนไปนานสองวันแล้วนะ ตื่นมาให้แม่ดูหน่อยว่าหนูไม่ได้เป็อะไร"
คนบ้าอะไรจะนอนตั้งสองวัน เธอคิดอย่างโมโห ก่อนจะค่อย ๆ ฝืนลืมตา แสงจ้ากระทบเข้ามาจนต้องกะพริบถี่ ๆ หลายครั้ง เพื่อปรับดวงตาให้คุ้นชิน
ภาพที่กระทบตรงหน้าจากที่พร่ามัวก็ค่อย ๆ ชัดขึ้น เป็ภาพของชายหญิงอายุกว่าสามสิบปีคู่หนึ่ง กำลังมองและยิ้มให้เธออย่างดีใจ ดวงตาของผู้หญิงคนนั้นยังแดงก่ำเหมือนผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก เป็ชายหญิงที่เธอเคยรู้จักเป็อย่างดี เป็คนที่เธอรักมากที่สุด พ่อกานต์และแม่อนงค์ที่จากเธอไปแล้วเมื่อสามสิบกว่าปีก่อน
อนงค์กานต์จ้องสองใบหน้านั้นอย่างตะลึงงัน ความรู้สึกคิดถึง หวนหา ตีตื้นขึ้นมาในใจ ประกายน้ำค่อย ๆ เอ่อล้นขึ้นมาในดวงตา
"พ่อ แม่ รอนิดอยู่จริง ๆ ใช่ไหม" เธอพูดเสียงสะอื้นและลุกขึ้นนั่งพร้อมโผเข้าซุกที่กลางอกของผู้เป็แม่
"นิด! เป็อะไรไปลูก?" อนงค์เอ่ยถามเสียงตระหนก พร้อมกับกอดลูกสาวเข้าแนบอกและลูบหลังปลอบขวัญอย่างอ่อนโยน
"เจ็บหรือไม่สบายตรงไหนรึเปล่าลูก" อนงค์กานต์หันมาด้านข้างเมื่อได้ยินเสียงที่เอ่ยถามขึ้นมาอย่างวิตกของพ่อ เธอจึงยิ้มทั้งน้ำตาก่อนคลายอ้อมกอดจากแม่และโผเข้ากอดผู้เป็พ่อ "นิดก็คิดถึงพ่อที่สุดเหมือนกัน นิดรักพ่อกับแม่ที่สุดนะ" เธอเอ่ยเสียเครือ
"พ่อกับแม่ก็รักนิดที่สุด" กานต์พูดเสียงอ่อนโยนพร้อมยกมือขึ้นลูบศีรษะลูกสาวอย่างเบามือพลางลอบสบตากับภรรยาอย่างไม่สบายใจ
"ขอโทษนะที่ให้พ่อแม่รอตั้งสามสิบกว่าปี"
"ต่อไปนี้พ่อแม่ไปไหน นิดก็จะตามไปด้วยตลอดนะ" อนงค์กานต์ยังพูดต่อไปโดยไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าของพ่อและแม่ที่เริ่มย่ำแย่ลงเรื่อย ๆ
"นิด พูดอะไรกันลูก อย่าทำให้แม่กลัวสิ สามสิบปีอะไรกัน ลูกเพิ่งอายุ 12 ปีเองนะ" อนงค์พูดเสียงสั่น ความรู้สึกไม่สบายใจตีขึ้นมาไม่หยุด
อนงค์กานต์ผละออกจากอ้อมอกของบิดาและยืดตัวนั่งตรงก่อนหันไปยิ้มกับนางอนงค์
"ก็…"
ยังไม่ทันได้พูด เธอก็หยุดชะงักเมื่อสายตาไปตกกระทบกับกระจกที่แขวนอยู่ข้างผนังห้อง เธอนั่งจ้องเงาสะท้อนในกระจกอย่างตกตะลึง เงาในกระจกได้สะท้อนภาพของคนสามคน ฝั่งซ้ายและขวาเป็ภาพเงาสะท้อนของพ่อและแม่ ส่วนตรงกลาง เป็ภาพสะท้อนของเด็กหญิงรูปร่างผอมคนหนึ่ง อายุไม่ถึงสิบสามปี ผิวเหลืองนวล ผมสั้นระดับหู รูปหน้าเรียบพอดูได้ แต่จะเด่นที่ดวงตากลมโตและลักยิ้มสองข้างแก้ม ใบหน้าแบบนี้เป็ใบหน้าที่เธอคุ้นตามาทั้งชีวิต เป็ใบหน้าของเธอเอง