พูดตามความจริง ของขวัญที่เฉียวเยว่มอบให้หรงจ้านมีปัญหาจริงๆ นี่เป็การกระทำอันใจบ้าบิ่นของนางเอง
คิกๆๆ
ความหมายแฝงที่นางส่งกรงนก [1] ให้หรงจ้านก็คือหวังว่าเขาจะสำรวมตนเอง ควบคุมอวัยวะบางส่วนที่มิอาจบรรยายได้ของตนเองให้ดี อย่ามาแสดงอาการติด...สัด และอย่ามาป้วนเปี้ยนข้างกายนาง
เพียงแต่หรงจ้านไม่เข้าใจ เฉียวเยว่จะพูดต่อก็ลำบาก หรือจะให้นางอธิบายให้เขาฟัง? หากเป็เช่นนี้ก็ยิ่งกระอักกระอ่วนกันใหญ่ เฉียวเยว่ย่อมไม่ทำอยู่แล้ว อีกอย่าง เื่นี้หากเ้าตัวคิดเองไม่ได้ ก็ยิ่งมิอาจอธิบาย
หากผู้อื่นรู้ว่านางหมายความเช่นนี้ นางยังจะอยู่เป็ผู้เป็คนได้อีกหรือ คงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว อันที่จริงตอนนี้นางก็รู้สึกเสียใจกับการกระทำของตนเองอยู่บ้างเหมือนกัน นางไม่ควรทำเช่นนี้เลย กระซิกๆๆ
เฉียวเยว่พยายามควบคุมตนเองให้สงบ ยกยิ้มน้อยๆ ให้ดูเป็รอยยิ้มที่สุขุม "พี่จ้านไม่ไปชมโคมไฟ แต่กลับย่องมาจวนซู่เฉิงโหวยามวิกาล เช่นนี้ไม่ค่อยดีกระมัง?"
การตัดสินใจเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเองดื้อๆ ของนาง หรงจ้านเคยชินเสียแล้ว เขาหรี่ตาเล็กน้อย เฉียวเยว่ร้องหืม... "พี่จ้าน?"
"ข้ามาดูเ้าว่ายังมีลมหายใจอยู่หรือไม่?" หรงจ้านยิ้ม
คุยไปคุยมา นางก็รู้สึกว่าการพูดทำร้ายจิตใจกันไปมาเช่นนี้ไม่ดีอย่างยิ่ง
นางทำปากยื่นน้อยๆ เอ่ยเสียงเบา "ท่านหมายความว่าอย่างไร หากไม่อยากพบข้าก็ไม่ต้องมาก็ได้ ฮึกๆ"
นางปิดหน้าแสร้งทำเป็ร้องไห้
จู่ๆ เฉียวเยว่ก็แกล้งร้องไห้อย่างปุบปับทำให้หรงจ้านทำตัวไม่ถูกไปชั่วขณะ ทว่าไม่ช้าก็กลับมาสงบนิ่งดังเดิม เขาลืมไปได้อย่างไรว่าแม่หนูน้อยคนนี้มีอุปนิสัยเช่นไร
"เ้าแสดงละครเช่นนี้จะดีหรือ?"
"ทำไมจะไม่ดี?" เฉียวเยว่ทำตาปริบๆ
หรงจ้านเห็นความเ้าเล่ห์แสนกลของนาง ชั่วขณะนั้นก็รู้สึกชอบใจ หากเป็ไปได้ เขาอยากเห็นเฉียวเยว่น่ารักสดใสเช่นนี้มากกว่าที่จะเห็นนางไม่สบอารมณ์แม้แต่ส่วนเสี้ยว ยิ่งไม่้าให้นางมีเื่ขุ่นเคืองใจ
อยู่ดีๆ หรงจ้านก็เงียบไป ทำให้เฉียวเยว่ไม่รู้ว่าตนเองทำสิ่งใดผิดพลาด แต่ก็ยังเอ่ยว่า "ทะ...ท่าน ท่านจะทำไม มองอะไรนักหนา ไม่เคยเห็นสาวงามหรืออย่างไร?"
หรงจ้านยิ้มมุมปาก "สาวงามรึ"
หลังจากนั้นก็พูดอีกว่า "ไม่เคยเห็นจริงๆ ดังนั้นข้าถึงต้องมาดูเ้าให้มากหน่อย"
ความเหิมเกริมของเฉียวเยว่ผุดขึ้นมา ตอบกลับไปตรงๆ "เช่นนั้นท่านก็ส่องคันฉ่องดูสิ มองตนเองไปก็สิ้นเื่แล้ว จะมองข้าไปไย ไม่ให้มอง"
หรงจ้านเงียบไป แต่ยังคงจดจ้องเฉียวเยว่อยู่ นางปิดหน้า "ท่านห้ามมองนะ ห้ามมองข้า"
หรงจ้านยิ้มมุมปาก เข้าไปนั่งริมตั่ง แต่กลับไม่ล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ด เฉียวเยว่เบิกตากว้างอย่างเหลือเชื่อ แม้แต่เสียงของนางก็ยังเปลี่ยนไปเล็กน้อย "ท่านไม่รังเกียจความสกปรก?"
หลังจากนั้นก็มองหรงจ้านั้แ่หัวจรดเท้าอย่างเคลือบแคลง แสร้งตั้งกำแพงระมัดระวัง "บอกมานะ เ้าเป็โจรถ่อยจากไหน ไยถึงกล้าปลอมตัวเป็พี่จ้าน"
หรงจ้านกลอกตาใส่นาง เอ่ยว่า "ดูท่าเ้าจะชอบถูกคนรังเกียจเอามาก" หลังจากนั้นก็กดเสียงต่ำ "เ้าต้องซกมกแค่ไหนกันฮึ แม้แต่ตนเองยังรังเกียจ"
เฉียวเยว่เชิดหน้า โต้กลับไป "เช่นนั้นท่านก็บอกมา เหตุใดถึงไม่ทำเหมือนเมื่อก่อน ท่านขยะแขยงความสกปรกเป็ที่สุด สำอางกรีดกรายเป็ที่สุดมิใช่หรือ..."
หรงจ้านแค่นเสียงหัวเราะ "ข้าว่าเ้าไม่มีความอาวรณ์ต่อชีวิตแล้วสินะ"
หรงจ้านคว้าข้อเท้าของเฉียวเยว่แล้วดึงนางมาอยู่ข้างๆ อย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ
"ว้าย..." นางกรีดร้อง
แต่เสียงเพิ่งจะเปล่งออกไปเพียงเล็กน้อยก็ถูกหรงจ้านอุดปากไว้
ทั้งสองแนบชิดกัน หรงจ้านมองเฉียวเยว่ในระยะใกล้ชิด เดิมทีเขาเพียงอยากจะหยอกล้อนางเท่านั้น แต่ชั่วขณะนี้กลับเก้อเขินทำอะไรไม่ถูก
เฉียวเยว่ถูกดึงเข้ามาชิดแผงอกของหรงจ้าน แม้ว่าเขาจะดูเหมือนผอมมาก อ่อนแอไม่ทนลม แต่เมื่อได้แนบชิดถึงรู้สึกว่าเขาน่าจะเป็บุรุษประเภทที่ดูผอมเมื่อสวมใส่เสื้อผ้า แต่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อเมื่อถอดออก
เมื่อคิดเช่นนี้นางก็หน้าแดงซ่านในฉับพลัน
ซูเฉียวเยว่ เหตุใดในหัวของเ้าถึงมีแต่เื่เหลวไหล
ลมหายใจของหรงจ้านพรมรดบนตัวนาง เฉียวเยว่รู้สึกได้ นางพยายามสงบจิตใจ แต่กลับทำไม่ได้ นางอยากจะกัดริมฝีปากของตนเอง แต่กลับพบกับฝ่ามือของเขาแทน
ชั่วขณะที่ฟันซี่เล็กััถูกฝ่ามือของหรงจ้าน นางพลันนึกถึงฟันที่ปลูกไว้ในจวนอวี้อ๋อง
แต่ฟันซี่นั้นก็ไม่งอกขึ้นมา จึงเป็ไปไม่ได้ที่นางจะมีฟันอีกเป็พวง
ดูเหมือนว่านางจะััถูกตาแข็งๆ ที่ฝ่ามือเขา เฉียวเยว่นึกสงสัยจึงตวัดลิ้นออกไปทดสอบ
หรงจ้านหน้าแดงอย่างควบคุมไม่อยู่ ต่อให้เขาพูดออกมาเองก็ยังไม่เชื่อ พลันรู้สึกได้ถึงเสียงะเิบึ้มในหัว ร่างกายร้อนรุ่มราวกับถูกเผา สีของดวงตาเข้มขึ้นหลายส่วน
เขาจดจ้องนางอยู่อย่างนี้ เฉียวเยว่ยังไม่รู้อะไร ได้แต่มองเขาอย่างงุนงง
"เ้าอย่าร้องส่งเดช หากมีคนมาเ้าเองจะอธิบายไม่ถูก" หรงจ้านเตือน
หลังจากนั้นก็ปล่อยมือ
ในที่สุดเฉียวเยว่ก็หายใจสะดวก นางสูดหายใจเฮือกใหญ่เป็เวลานานราวกับปลาที่ถูกช้อนขึ้นมา หลังจากนั้นก็ทุบเขา "คนน่าชัง"
ทว่าน้ำเสียงกลับแฝงแววกระเง้ากระงอด
หรงจ้านพลันรู้สึกเคลิบเคลิ้ม
แท้จริงแล้วเฉียวเยว่ไม่แตกต่างไปจากเมื่อก่อน นางยังคงมีอุปนิสัยและพฤติกรรมเหมือนเด็ก แต่สำหรับเขาแล้วกลับต่างโดยสิ้นเชิง เขามักจะคิดมากกว่านั้น และอยากทำบางอย่างที่มากกว่านั้น กระทั่งอยากจุมพิตดวงหน้าเล็กจ้อยกับริมฝีปากแดงเย้ายวนของนาง
หรงจ้านรู้สึกว่าตนเองคงจะฟั่นเฟือนไปแล้ว เขาต้องผิดปรกติแน่ๆ ถึงสนใจนาง ถึงคิดเหลวไหลกับนาง ทุกคราที่มองนาง เขาก็ควบคุมตนเองไม่ได้
เขาถอยไปด้านหลัง เม้มริมฝีปาก "เ้าระวังการกระทำของตนเองหน่อย"
หลังจากนั้นก็ล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมา แต่กลับขยำผ้าไว้ไม่เช็ด นึกถึงัันุ่มจากลิ้นอันละเอียดอ่อนของนาง
หรงจ้านรู้สึกว่าตนเองอาจสมองพิการไปแล้วจริงๆ เขาถึงกับไม่อยากเช็ดออก
หรงจ้านพยายามบอกตนเองด้วยเหตุผลว่าไม่สะอาดต้องเช็ดออก
แต่ในความรู้สึก... เขากลับแอบมีความสุขเล็กๆ ในใจ หวังว่ามันจะไม่มีวันลบออกไปได้ชั่วชีวิต
หรงจ้านบีบผ้าเช็ดหน้าตัวแข็งไม่ขยับราวกับเป็รูปปั้น เฉียวเยว่มองเขาอย่างข้องใจ รู้สึกว่านับวันนางก็ยิ่งไม่เข้าใจคนผู้นี้
นางยื่นมือออกไปโบก "พี่จ้าน?"
หรงจ้านเม้มปาก "ทำอะไร?"
เฉียวเยว่รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก "คำพูดประโยคนี้สมควรเป็ข้าถามมากกว่ากระมัง ท่านมาจวนซู่เฉิงโหวของพวกเรากลางดึก ตอนนี้ยังเหม่อลอย ท่านต่างหากจะทำอันใด หากไม่มีอะไรแล้ว ข้าจะกลับห้องไปพักผ่อน"
"นอนเร็วตื่นแต่เช้าสุขภาพแข็งแรง" นางคิดแล้วพูดเสริมอีกประโยค
หรงจ้านหัวเราะหึๆ อย่าเห็นว่านางมีลูกไม้ต่างๆ มากมาย แต่แท้จริงแล้วเป็คนรู้กฎเกณฑ์มากทีเดียว
"เ้า... เ้าใคร่ครวญเื่ที่พวกเราคุยกันหรือยัง?" เขาถาม
เฉียวเยว่เบิกตากว้าง ถามอย่างข้องใจ "เื่อันใด?"
หรงจ้านฉุนเฉียวขึ้นมาเล็กน้อย เขาเม้มปากลุกขึ้น ด้วยความที่ตัวสูงอยู่แล้ว เมื่อลุกขึ้นยืนเช่นนี้จึงบดบังแสงจากอีกด้านสนิท เขามองเฉียวเยว่อยู่อย่างนี้ไม่ขยับเขยื้อน
เฉียวเยว่ยิ่งนึกสงสัย ถามซักไซ้ "เื่อะไรหรือเ้าคะ?"
แต่ไม่ช้านางก็เหมือนจะนึกบางอย่างออก จึงย้อนถามกลับไป "ท่านจะบอกว่าชอบข้าหรือ?"
นางพูดตรงเช่นนี้ ใบหน้าของหรงจ้านแดงซ่านในชั่วพริบตา ดูเหมือนเขาจะตื่นเต้น และตกประหม่า ถอยหลังออกไปหนึ่งก้าว "เ้า..."
แต่ไม่ได้ยินถ้อยคำที่เหลือหลังจากนั้น
ตอนแรกเฉียวเยว่ยังมีความตื่นเต้นอยู่บ้าง แต่พอเห็นหรงจ้านเป็เช่นนี้ ความตื่นเต้นของนางก็หายไปหมด นอกจากจะไม่ตื่นเต้น กลับยังนึกสนุก ดวงหน้าเผยให้เห็นลักยิ้มน้อยๆ ที่คล้ายมีคล้ายไม่มี
"ท่านชอบข้าหรือ?" นางเอ่ยถาม หางเสียงลากยาว
สายตาของหรงจ้านกลับไปสงบนิ่งดุจก้นบ่อน้ำพุ มองไม่ออกว่าคิดอะไรในใจ
เฉียวเยว่ยังคงเซ้าซี้ถาม "ท่านชอบข้าใช่หรือไม่?"
เดิมทีนี่เป็คำถามของหรงจ้าน แต่ตอนนี้กลับเป็ฝ่ายถูกถามเสียแล้ว
"ทีท่านยังไม่บอกว่าชอบข้าเลย ถือสิทธิ์อันใดมาถามข้า ท่านว่าถูกต้องหรือไม่ คนเราก็ควรหมูไปไก่มาสิ ตราบใดที่ท่านบอกชอบข้า ข้าถึงจะตอบคำถามของท่าน แต่ข้าจะชอบท่านหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวข้องกับที่ท่านชอบข้าหรือไม่ ข้า..."
เฉียวเยว่พูดเล่นสำบัดสำนวนวกไปวนมาไม่หยุดปาก จิตสำนึกส่วนเหตุผลของหรงจ้านบอกเขาว่า นางกำลังตกประหม่า เฉียวเยว่ยังประหม่าจนเป็เช่นนี้ นับประสาอันใดกับเขาเล่า
หรงจ้านพยายามสงบจิตใจ หลังจากนั้นก็เอ่ยว่า "ข้าไปก่อนล่ะ"
แล้วหันหลังกลับเดินออกไปโดยไม่พูดอะไรอีก
เฉียวเยว่เห็นเขากลับไปอย่างร้อนรนก็รู้สึกงุนงง แต่เมื่อตรองอย่างละเอียดก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา หัวเราะจนน้ำตาไหล
"น่าขันจริงๆ พี่จ้านเป็เสือกระดาษแท้ๆ เลย" นางเปรยออกมา
ตอนแรกเห็นเขาท่าทางก้าวร้าว เฉียวเยว่จึงรู้สึกประหม่า แต่ตอนนี้กลับไม่เป็เช่นนั้นอีกแล้ว พอนางเริ่มก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เขาก็ถอยร่นกลับไป ช่างงี่เง่าไร้ประโยชน์อะไรอย่างนี้!
เฉียวเยว่เชิดหน้า พอคลายปมก่อนหน้านี้ได้ ก็รู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายไปทั้งตัว
แท้จริงแล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากสามารถตั้งหลักได้ อย่างอื่นก็ไม่เท่าไรแล้ว
นึกมาถึงตรงนี้ เฉียวเยว่ก็เบิกบานใจ นางฮัมเพลงออกมาเบาๆ อย่างมีความสุข
แต่ตอนนี้ หรงจ้านยืนอยู่นอกกำแพงจวนซู่เฉิงโหว มองฉีจือโจวเบื้องหน้า ก่อนยกยิ้มเล็กน้อย "ท่านเสนาบดีฉีมารอข้าตรงนี้โดยเฉพาะเลยหรือ? "
"ข้านึกว่าอวี้อ๋องจะเป็คนรู้จักขอบเขตเสียอีก" ในความสงบนิ่งของฉีจือโจวแฝงเร้นไปด้วยความเ็า
หรงจ้านรู้ว่าฉีจือโจวไม่เห็นดีเห็นงามระหว่างเขากับเฉียวเยว่ แท้จริงแล้วเขาเองก็ไม่รู้ว่าตนเองชอบอะไรในตัวนางเหมือนกัน แต่คนที่ชีวิตในมุมมืดมักชอบแสงสว่างอย่างที่ไม่สามารถควบคุมได้
และแสงสว่างสายนั้นก็คือซูเฉียวเยว่
นางเหมือนพระอาทิตย์เจิดจรัส เต็มไปด้วยความสดใสมีชีวิตชีวา ทำให้คนอยากจะเฝ้าวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ไม่อยากจากไป
"ข้าไม่อยากให้เ้าเข้าใกล้เฉียวเยว่อีกต่อไป หากเพื่อหอน้ำชาเจ็ดสมบัติ ข้าสามารถแหกกฎให้เ้าเข้าไปตรวจสอบได้ แต่มีเงื่อนไขก็คือห้ามเข้าใกล้เฉียวเยว่ ไม่ว่าเมื่อไรก็ตามนางก็คือแก้วตาดวงใจของพวกเรา ข้าไม่อยากให้นางถูกทำร้าย เ้าควรรู้ว่าข้าไม่เคยเกรงกลัวเ้า เพียงแต่เพื่อให้เหนื่อยครั้งเดียวสบายทั้งชีวิต ข้าจึงไม่อยากให้ถึงขั้นมัจฉาตายตาข่ายขาดก็เท่านั้น"
ฉีจือโจวกล่าวเสียงเรียบ แต่ทั่วร่างกลับกำจายกลิ่นอายที่ปฏิเสธผู้คนมิให้เข้ามาใกล้
"เมื่อเ้าได้เห็นสิ่งที่้าตรวจสอบแล้ว ก็จงหายไปจากครรลองสายตาของเฉียวเยว่เสีย"
...
[1] คำว่า 鸟 เหนี่ยว นอกจากจะมีความหมายว่านก ยังสามารถใช้เป็คำด่า โดยออกเสียงว่า เตี่ยว มีความหมายถึง องคชาติของเพศชาย ดังนั้นการมอบกรงนก จึงมีความหมายแฝงว่าให้ควบคุมส่วนนั้นของตนเองให้ดี
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้