หลังจากเริ่มเรียนมาได้หลายวัน เซี่ยโม่ค้นพบว่าคุณครูเจิ้งที่สอนวิชาคณิตศาสตร์ กับคุณครูผู้สอนวิชาฟิสิกส์เคมีล้วนมีความรู้ดีเยี่ยม มีแค่คุณครูวิชาภาษาและวรรณคดีที่เธอได้เจอเมื่อวันเปิดเทอมเท่านั้นที่ความรู้อยู่ในระดับทั่วไป
โบราณกล่าวไว้ว่า ขนาดนิ้วทั้งสิบยังไม่เท่ากันเลย นับประสาอะไรกับความรู้ของคนเป็ครู
เธอไม่คิดตำหนิใคร แต่วางแผนไว้ว่าจะอ่านหนังสือวิชาภาษาและวรรณคดีเอาเอง
วันนี้่พักระหว่างคาบ ด้วยความที่รีบเดินไปเข้าห้องน้ำ เธอเลยเกือบจะชนคุณครูผู้หญิงคนหนึ่งเข้า
เมื่อเงยหน้าขึ้น พบว่าคนที่เดินชนเมื่อครู่คือคุณครูวิชาภาษาและวรรณคดีที่เคยสอนเธอเมื่อชาติก่อน เป็คนที่เธอนึกถึงั้แ่วันแรกที่มาเรียน คุณครูหวางซิ่วหลานนั่นเอง
คงเป็เพราะชื่อของคุณครูท่านนี้เหมือนกับมารดา เธอเลยเกิดความรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมกับคุณครูท่านนี้ในชาติที่แล้ว
นับั้แ่ได้รู้จักคุณครูท่านนี้ตอนขึ้นมัธยมปลาย เธอก็ชื่นชอบคุณครูท่านนี้มาก เธอชอบฟังเวลาคุณครูท่านนี้สอน ชอบที่อีกฝ่ายมีนิสัยใจดีและเปิดเผย
เท่าที่ทราบเหมือนครอบครัวอีกฝ่ายรับราชการทหาร ใช้ชีวิตอยู่กับบุตรชายอายุไม่มากคนหนึ่ง สามีเสียชีวิตเพราะพลีชีพจากการสู้รบบริเวณชายแดน ตอนฤดูใบไม้ร่วงในอีกสองปีให้หลัง ซึ่งก็คือปี 1978
ได้ยินมาว่าแม่สามีไม่เพียงเอาเงินำาญของบุตรชายตัวเองไปหมด ทั้งยังไล่สะใภ้และหลานออกจากบ้านอย่างใจดำอีกด้วย
ผู้อำนวยการโรงเรียนเห็นอีกฝ่ายกับบุตรชายไม่มีที่ไป เลยให้พักอยู่ในห้องเก็บของที่ไม่ได้ใช้แล้วทางด้านหลังโรงเรียน
ห้องเก็บของที่อยู่ด้านหลังโรงเรียนทั้งอับทั้งชื้น บุตรชายของอีกฝ่ายอายุแค่ห้าขวบ ย้ายเข้าไปอยู่ในนั้นได้ไม่นานก็ป่วยเป็โรคปอดขั้นรุนแรง
คุณครูท่านนี้ไปขอให้แม่สามีช่วย แม่สามีไม่เพียงไม่ช่วย ซ้ำยังตบตีก่อนจะไล่อีกฝ่ายกลับมา
ไม่ว่าโรงเรียนและบรรดาคุณครูจะช่วยเหลืออย่างไร ทว่าสุดท้ายก็ไม่อาจยื้อชีวิตบุตรชายของอีกฝ่ายเอาไว้ได้
นับั้แ่นั้นคุณครูท่านนี้ก็กลายเป็คนสติไม่ดี มักจะหลงอยู่ในภวังค์ของตัวเอง ต่อมาไม่นานท่านก็ลาจากโลกนี้ไป
หากเงินำาญของสามีไม่ถูกแม่สามีแย่งชิงไป ไม่ถูกขับไล่ออกจากบ้าน สองแม่ลูกก็คงยังมีที่ให้อยู่อาศัย บุตรชายก็คงไม่ป่วยหนักและจากไปก่อนวัยอันควร คุณครูท่านนี้ก็คงไม่ต้องเศร้าเสียใจจนตายตามไปอีกคน
นับั้แ่กลับชาติมาเกิดใหม่ นี่เป็ครั้งแรกที่ได้เจอคุณครูหวางซิ่วหลาน
เธอรีบเข้าไปหาด้วยความดีใจ “สวัสดีค่ะคุณครูหวาง”
คุณครูหวางหันไปมองเด็กสาวที่เข้ามาทักทาย ในบรรดาเด็กนักเรียนที่เธอเคยสอนทั้งหมด เธอจำได้ว่าไม่มีเด็กคนนี้ “เธอคือ?”
เซี่ยโม่ถึงค่อยนึกขึ้นมาได้ว่า ชาตินี้ทั้งคู่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
“หนูชื่อว่าเซี่ยโม่ เรียนอยู่ม.ปลายปีหนึ่งห้องหนึ่งค่ะ หนูได้ยินว่าคุณครูสอนวิชาภาษาและวรรณคดีให้กับนักเรียนชั้นปีสุดท้าย ไว้รอสอบกลางภาคเสร็จ หนูไปขอข้อสอบจากครูได้ไหมคะ” เธอแนะนำตัวและชวนพูดคุยอย่างกระตือรือร้น
เซี่ยโม่อยากสร้างความสนิทสนมกับอีกฝ่ายเอาไว้ เพื่อที่ต่อไปจะได้ให้ความช่วยเหลือได้
จำได้แม่นว่าชาติที่แล้วคุณครูหวางชอบช่วยเหลือคนอื่น และชอบให้เด็กนักเรียนมาขอความช่วยเหลือจากตัวเอง เมื่อพูดออกไปแบบนี้อีกฝ่ายต้องช่วยเธอแน่นอน
“ได้สิ แต่กว่าจะสอบกลางภาคก็อีกตั้งสองเดือน เธอไม่ใจร้อนเกินไปหน่อยเหรอ เดี๋ยวครูหาเวลาหาดูให้ดีกว่าว่ามีข้อสอบวิชาภาษาและวรรณคดีเก่าๆ เหลืออยู่ที่ครูอีกไหม ถ้าเธออยากได้ละก็เดี๋ยวครูหาให้นะ” คุณครูหวางตอบรับพร้อมรอยยิ้ม
เป็อย่างที่คาด คุณครูหวางยังคงมีนิสัยชอบช่วยเหลือคนอื่นเหมือนเดิม
นึกไม่ถึงเลยว่าเธอจะโชคดีแบบนี้ ฤดูใบไม้ร่วงปีหน้าจะมีข่าวการกลับมาจัดสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย ดังนั้นข้อสอบใน่สองปีที่ผ่านมาจึงเป็ข้อสอบที่สำคัญอย่างมาก
“ขอบคุณคุณครูมากค่ะ คุณครูค่อยๆ หาก็ได้ค่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้หนูไปหาที่ห้องทำงานนะคะ” เซี่ยโมยิ้มกว้างด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“ได้จ้ะ”
เซี่ยโม่ทำหน้าครุ่นคิด ตอนนี้เื่พวกนั้นยังไม่เกิดขึ้น เธอทำได้แค่หาโอกาสเตือนคุณครูหวางว่าอย่าเชื่อใจและเชื่อฟังแม่สามีมากเกินไป ปลายปีหน้าเธอค่อยย้ำอีกสักรอบ ใกล้ถึง่การสู้รบบริเวณชายแดนเมื่อไร ค่อยฝากคุณครูไปเตือนสามีให้ระวังตัว ดีที่สุดคืออย่าให้มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น หากสามีของคุณครูรอดชีวิตได้ก็ยิ่งดี
วันต่อมา เซี่ยโม่เดินไปยังห้องทำงานของคุณครูหวางตามความทรงจำของตัวเองในชาติที่แล้ว
เมื่อเข้าไปด้านในเธอเห็นคุณครูหวางกำลังตั้งใจเขียนแผนการสอนอยู่ อีกฝ่ายยังคงเหมือนชาติที่แล้วไม่มีผิด ทุ่มเทกับการสอนนักเรียนในทุกคาบ
“คุณครูหวางคะ…”
คุณครูหวางเห็นเธอก็จำได้ทันที
“เธอชื่อเซี่ยโม่ใช่ไหม ครูหาข้อสอบเตรียมเอาไว้แล้วสองฉบับ เธออยู่ม.ปลายปีหนึ่งใช่ไหม ข้อสอบสองฉบับนี้มีประโยชน์กับเธอพอดี”
“ขอบคุณค่ะคุณครู หนูได้ยินว่าคุณครูมีลูกชายอายุสามขวบใช่ไหมคะ นี่เป็ขนมปังกรอบที่หนูซื้อมาฝากแกค่ะ” เธอกล่าวขอบคุณอย่างซาบซึ้ง ก่อนจะยื่นห่อขนมไปให้ครูสาว
คุณครูหวางพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ครูรับเอาไว้ไม่ได้หรอก เธอยังเป็นักเรียน จะให้เธอใช้เงินที่บ้านซื้อของให้ครูได้ยังไงกัน”
เธอรู้ดีว่าถ้าเธอยังพูดไม่ชัดเจน อีกฝ่ายไม่มีทางรับขนมห่อนี้ไปแน่นอน
“คุณครูหวางคะ หนูหาเงินเองได้แล้วค่ะ ฤดูร้อนปีนี้หนูเก็บสมุนไพรไปขายได้เงินมาไม่น้อย หนูยังมีน้องชายอายุห้าขวบอีกคน เลยรู้ว่าเด็กๆ มักจะชอบกินขนมพวกนี้ คุณครูรับไว้เถอะนะคะ” เช่นนั้นแล้วเซี่ยโม่จึงอธิบายด้วยสีหน้าซื่อตรงจริงใจ
พอคุณครูเห็นว่าเด็กสาวไม่ได้ใช้เงินที่บ้านซื้อมาถึงได้ยอมรับไป “ครูรับเอาไว้ก็ได้ แต่วันหลังไม่ต้องเอามาให้แล้วนะ”
เซี่ยโม่ยิ้มพร้อมพยักหน้ารับทราบ “ค่ะ หนูจะจำเอาไว้”
เธอรับกระดาษข้อสอบสองฉบับมาจากคุณครูหวาง ขณะเดินออกจากห้องเธอบังเอิญได้เจอกับคุณครูเจิ้ง
“นักเรียนเซี่ยโม่ เธอมาทำอะไรที่นี่”
“หนูมาขอข้อสอบวิชาภาษาและวรรณคดีจากคุณครูสองฉบับ ว่าจะเอาไว้อ่านตอนว่างๆ น่ะค่ะ” เธอไม่อยากพูดเื่ที่มาหาคุณครูหวางให้ฟังเลยอ้างออกไปแบบนั้น
คุณครูเจิ้งรู้ระดับของเซี่ยโม่เป็อย่างดี เขาพยักหน้ารับรู้ก่อนจะเอ่ยออกมา “ที่ครูยังมีข้อสอบวิชาเลขอยู่ ไว้มีเวลาครูค่อยหาให้ เธอจะได้เอาไว้ทำตอนมีเวลาว่าง”
“ขอบคุณค่ะคุณครูเจิ้ง” เซี่ยโม่เอ่ยออกไปด้วยสีหน้าซาบซึ้ง นึกไม่ถึงเลยว่าตัวเองจะโชคดีสองชั้นแบบนี้
“ไม่เป็ไร ในห้องมีแค่เธอคนเดียวเท่านั้นที่ทำข้อสอบพวกนี้ได้ เด็กคนอื่นยังเรียนไม่ถึง ให้คนอื่นไปก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี” คุณครูเจิ้งยิ้มพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงสบายๆ
คุณครูเจิ้งพูดเช่นนี้คงเพราะไม่อยากให้เธอคิดว่าติดหนี้น้ำใจตัวเอง ถึงอย่างนั้นเธอจะจดจำน้ำใจครั้งนี้ของคุณครูเจิ้งเอาไว้อยู่ดี
วันต่อมาคุณครูเจิ้งก็นำข้อสอบสองสามฉบับมาให้เซี่ยโม่ตามที่บอกไว้
“ครูให้ ว่างๆ ก็ลองทำดูนะ”
“ค่ะ”
ั้แ่วันเปิดภาคเรียนจนถึงตอนนี้ก็ผ่านมาประมาณสิบวันแล้ว เธอน่าจะขอลาหยุดได้แล้วกระมัง
อีกไม่นานก็จะเข้าฤดูหนาวแล้ว เซี่ยโม่อยากขึ้นเขาไปตัดฟืน ไม่อยากให้คุณตาคุณยายต้องไปตัดเอง
คิดได้ดังนั้นเธอจึงขออนุญาตอย่างนอบน้อม “คุณครูคะ หนูอยากขอลาหยุดสักสองสามวัน พอดีที่บ้านมีธุระค่ะ”
คุณครูเจิ้งเลิกคิ้ว เพิ่งจะให้ข้อสอบไป เด็กสาวตรงหน้าก็คิดจะขอลาหยุดเอากลับไปทำที่บ้านเลยหรืออย่างไร?
แต่พอคิดได้ว่าเนื้อหาที่เรียนอยู่ในตอนนี้เด็กสาวล้วนเรียนด้วยตัวเองไปหมดแล้ว มานั่งเรียนก็เป็การเสียเวลาเปล่า จึงพยักหน้าอนุญาต “ได้ ทำธุระเสร็จแล้วก็ค่อยมาเรียน”
เมื่อเด็กนักเรียนคนอื่นในห้องมาเห็นต่างคาดเดากันไปต่างๆ นานา ทุกคนเอาแต่พูดคุยถึงเื่นี้ตลอด่พักกลางวัน
“ยังจะต้องให้พูดอีกเหรอ ถ้าไม่มีเส้นสาย ทำไมคุณครูเจิ้งต้องให้ข้อสอบเก่ากับเธอคนเดียวด้วย”
“เธอขอลาหยุดได้ตั้งหลายวัน สุดยอดไปเลย”
“ก็เพราะเธอมีเส้นสายยังไงล่ะ เธอลองไปขอลาดูบ้างสิ รับรองว่าคุณครูไม่มีทางอนุญาตแน่”
เซี่ยโม่ไม่รู้เลยว่า ตอนนี้ในสายตาของเพื่อนร่วมห้อง เธอกลายเป็คนที่มีเส้นสายไปแล้ว
เซี่ยโม่ขอลาหยุดได้แล้ว คงจะไม่ได้เข้ามาในตำบลอีกหลายวัน เธอแวะไปหาพี่ซ่งหน่อยดีกว่า เสื้อผ้าที่จ้างตัดไว้ให้ชายหนุ่มก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว จะได้ถือโอกาสนี้นำไปให้เ้าตัวด้วยเลย
คาบสุดท้ายของ่บ่ายคือการทบทวนบทเรียนด้วยตัวเอง ครั้นจะไปรับน้องชายเวลานี้ก็ยังเร็วเกินไป เธอจึงตัดสินใจไปหาพี่ซ่งก่อน
เซี่ยโม่สะพายกระเป๋านักเรียนแล้วขี่จักรยานไปที่บ้านพี่ซ่ง ก่อนถึงที่หมาย พอเจอย่านปลอดคนเลยหยิบเสื้อผ้าที่ตัดให้ชายหนุ่มออกมาจากในโกดังสินค้า จากนั้นค่อยปั่นจักรยานไปต่อ
เธอลองเปิดประตูบ้านเข้าไป ประตูไม่ได้ล็อกไว้ ต้องมีคนอยู่ด้านในแน่นอน
เซี่ยโม่จูงจักรยานเดินเข้าไปพร้อมกับะโเรียก “มีใครอยู่ไหมคะ”
ได้ยินเสียงคนเรียก พั่งจื่อจึงเดินออกมาจากในบ้าน พอเห็นเธอก็ยิ้มอย่างดีอกดีใจพร้อมทั้งวิ่งเข้ามาหา “น้องสาว พวกเราก็นึกว่าเธอหายตัวไปแล้วซะอีก ไม่เห็นมาหากันบ้างเลย”