นี่มันกาที่เท่าไรแล้ว?
ดื่มเก่งจริงๆ ...
ทุกคนคิดเงียบๆ และพากันจับจ้ององค์หญิงที่ยังทรงดื่มชาไม่หยุด
มือรินชาของหลิงเฟิงสั่นเล็กน้อย เกิดอะไรขึ้นระหว่างองค์หญิงกับท่านอ๋องกันนะ? เหตุใดทั้งสองคนถึงมาเผชิญหน้าเช่นนี้กันอีกแล้ว?
เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตนเองเติมชาไปกี่ครั้ง อยากจะทูลถามองค์หญิงจริงๆ ว่าท่านไม่จุกบ้างหรือไร?
หากชิงอีไม่จุกสิแปลก? นางรู้สึกว่าทันทีที่อ้าปาก ก็แทบจะพ่นน้ำออกมาเป็ัยาวแล้ว
ไอ้บ้าเซียวเจวี๋ย นางนั่งดื่มอยู่ข้างๆ แท้ๆ ยังจะนั่งฟัง ‘เื่สำคัญ’ ด้วยท่าทีเมินเฉยอีกอย่างไม่สนอะไรใดๆ
ก็แค่เื่จะจัดการกับเหล่าภิกษุหัวโล้นที่เหลือในวัดตงหวาอย่างไร แล้วก็เื่ที่ยังไม่พบตัวผู้กระทำผิดที่แท้จริงในการสังหารฮ่องเต้ก็เท่านั้น?
เื่ไร้สาระพวกนี้ ต้องใช้เวลาคุยนานขนาดนั้นเชียวหรือไร?
“องค์หญิง ในกาน้ำชาไม่มีชาแล้ว ท่านยังต้องประสงค์ให้เติมอีกหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” หลิงเฟิงเลียบๆ เคียงๆ ถาม
ชิงอีกัดริมฝีปาก จะดื่มหรือไม่ดื่ม นี่เป็ปัญหาอย่างหนึ่ง
จุกตายน่ะเื่เล็ก แต่ศักดิ์ศรีน่ะเื่ใหญ่
“เติมอีก” นางกัดฟันตอบ
ขนาดผียังอั้นปัสสาวะตายได้เลยไม่ใช่หรือไง?!
ฉู่สือที่มองอยู่ข้างๆ อดขมวดคิ้วไม่ได้ พร้อมกับแววตาที่ดูถากถางมากขึ้นเรื่อยๆ ช่างดื้อด้านจริงๆ!
สมแล้วที่เป็น้องสาวของคนผู้นั้น ไร้ยางอายเหมือนกันไม่มีผิด!
กาน้ำชาถูกเติมจนเต็มกาอีกครั้ง สุดท้ายเซียวเจวี๋ยก็หันหน้ามาที่กาน้ำชาครู่หนึ่งด้วยสีหน้าอ่านยาก
คุยเื่ไร้สาระกันจบแล้วใช่ไหม?
ชิงอีลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ชาอ่อนลงแล้ว ช่วยเปลี่ยนใบชาให้องค์หญิงหน่อย”
หลิงเฟิงถึงกับกลืนน้ำลาย
เปรี๊ยะ
เหมือนเขาจะได้ยินเสียงอะไรบางอย่างแตกหัก พอเหลือบมองก็เห็นว่าถ้วยน้ำชาในมือขององค์หญิงมีรอยร้าว
เ้าแมวอ้วนะโลงจากต้นไม้มาซ่อนหลังต้นไม้แทน การที่ชิงอีทนมาถึงตอนนี้ได้ก็เรียกว่าเกินคาดแล้ว นางมารร้ายผู้นี้พบกับคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อซะแล้วสิ หลังจากการรอคอยมานานนับพันปี ในที่สุดก็มีใครบางคนมาจัดการความโอหังของนางได้!
“เซียวเจวี๋ย ความอดทนของข้ามีจำกัด”
เซียวเจวี๋ยเบือนหน้ามามองนางอย่างพินิจด้วยสีหน้าเฉยเมย มันเป็ครั้งแรกที่เขามองนางนานๆ คิ้วและดวงตาที่ลึกล้ำราวกับนำพาสายธาราและสายลมเย็นเยือก สายตาเหมือนกับคราแรกที่ได้พบเจอกัน ความเฉยเมยที่ปะปนกับการเหยียดหยามอย่างไม่ปิดบัง
ในการเหน็บแนมนั้นมีความเกลียดชังมากขึ้นกว่าคราแรกเช่นกัน
ชิงอีเหยียดยิ้ม ในที่สุดก็เลิกเสแสร้งแล้วหรือ?
“ไม่ดื่มแล้วหรือ?”
อีกหนึ่งประโยคที่ทิ่มแทงใจ จนความโกรธพุ่งขึ้นมาอีกครา
หนุ่มน้อยผู้นี้ ช่างมีความสามารถในการทำให้นางโมโหได้จริงๆ!
นางกัดฟันกรอด หงุดหงิดที่ถูกไล่ต้อนขนาดนี้
“ท่านพูดเื่ไร้สาระเสร็จแล้วหรือ”
“หากนั่งรอนิ่งๆ ไม่ได้ ท่านก็ไปเสียเถอะ”
เซียวเจวี๋ยกล่าวอย่างไม่ไยดี
ชิงอีกำหมัดแน่น ดวงตาเกือบจะเป็สีแดง
“้าให้ข้าไปก็ย่อมได้ เพียงแต่ก่อนที่ข้าจะไป ท่านต้องคืนของที่ขโมยมาก่อน!”
เร็วกว่าคำพูด ชิงอีคว้าคอเสื้อ แล้วโน้มหน้าตนเข้าหาเขาหมายจะแนบลงไป
จูบก่อนแล้วค่อยมาคุยกัน!
ฟู่
ทุกคนในที่นี้ถึงกับถอนหายใจ
ริมฝีปากัับางสิ่งที่อ่อนนุ่ม แต่มันไม่ใช่ริมฝีปากของเขา สายตาของเซียวเจวี๋ยเปลี่ยนไปทันที จากนั้นก็เ็าและแข็งกร้าวขึ้นอีกครั้ง
ในขณะที่นางพุ่งเข้าไป เขาก็เอามือมาหยุดไว้
ริมฝีปากของนางนุ่มนิ่มเป็อย่างมาก ผิวหน้าก็นุ่มประหนึ่งเนื้อที่มีไขมันอัดแน่น ดูอย่างไรก็เหมือนเกี๊ยวข้าวเหนียวที่เพิ่งออกมาจากซึ้ง มันช่างยืดหยุ่น
“ออกไปให้หมด” เซียวเจวี๋ยสั่งเสียงเฉียบขาด
เหล่าองครักษ์ในตอนนี้ไม่มีใครกล้าอยู่ต่อ จึงรีบสาวเท้าออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่กล้าแม้แต่เหลือบตามองเสียด้วยซ้ำ
พระเ้าช่วย! เมื่อครู่สิ่งที่พวกเขาเห็นคืออะไรกัน?
องค์หญิงทรงร้องขอจุมพิตอย่างบ้าคลั่ง ส่วนท่านอ๋องยังประทับนั่งนิ่ง และทรงปฏิเสธอย่างเ็า
มีเพียงฉู่สือที่สีหน้าดูไม่ค่อยดีนัก แววตายิ่งมีความดูแคลนมากยิ่งขึ้น
ฮึ! ไร้ยางอาย!
ทำให้าาบรรทมไปไม่พอ ยังกล้ามาจูบอีก!
หญิงสาวผู้นั้นก็ควรทำตามกฎของโลกมนุษย์ นางต้องโดนเอากรงใส่ไม้ไผ่ถ่วงน้ำ[1]!
“เหล่าฉู่ เหตุใดเ้าถึงทำหน้าเช่นนั้นล่ะ?” หลิงเฟิงใช้ศอกสะกิดพร้อมสีหน้ายินดีปรีดา “วันนี้เ้ากับท่านอ๋องเป็อะไรกันแน่ ดูแปลกๆ กันทั้งคู่ มันไม่ง่ายเลยนะที่องค์หญิงจะทรงเป็ฝ่ายเริ่มก่อนเช่นนี้ ถือเป็โอกาสที่ดีในการกระชับความสัมพันธ์มากๆ เลยนะ!”
ฉู่สือจ้องมองหลิงเฟิงครู่หนึ่งก็ถอนหายใจออกมา ก่อนจะตวาดใส่ “เ้ามันก็แค่คนโง่!”
โอกาสกระชับความสัมพันธ์กะผีน่ะสิ หญิงสาวคนนั้นคือศัตรูของาาต่างหาก!
“เฮ้ย เ้าใจแคบเกินไปหรือไม่?” หลิงเฟิงจ้องเขม็ง พร้อมยกมือเท้าสะเอว ก่อนจะสั่งสอนว่า “ข้าขอเตือนเ้าไว้เลยนะ ต่อไปองค์หญิงอาจจะเป็หวังเฟย เป็นายหญิงของเราในอนาคต! สีหน้าที่เ้าทำให้นาง ระวังไว้เถอะ ต่อไปนางจะกลั่นแกล้งเ้า!”
“นางน่ะหรือ?” ฉู่สือยิ้มดูถูก สีหน้าฉายชัดถึงความรังเกียจ “ข้าขอบอกเ้าไว้เลยนะว่าทุกคนในโลกนี้สามารถเป็นายหญิงของเราได้ มีแค่นางเท่านั้นที่ในชีวิตนี้ ไม่สิ ไม่ว่าจะชาติไหนก็ไม่มีทางที่จะเป็นายหญิงได้อย่างเด็ดขาด!”
หลิงเฟิงตะลึงงัน แล้วเกาหัวแกรกๆ พึมพำว่า “จะโหดอะไรถึงเพียงนี้ ในชีวิตจริงนางกับท่านอ๋องก็เป็สามีภรรยากันอยู่แล้ว แถมยังเป็พระประสงค์ของฝ่าาด้วย ท่านอ๋องก็เป็คนตรัสเองว่าพระองค์จะอภิเษกกับนาง เหตุใดจะเป็ไปไม่ได้!”
มุมปากของฉู่สือกระตุก และจ้องมองหลิงเฟิงอย่างโกรธเคือง “สามีภรรยาบ้าอะไรล่ะ ถ้าเ้าไม่อยากถูกท่านอ๋องตัดขาละก็ ข้าขอแนะนำว่าอย่าพูดถึงเื่นี้อีกเป็อันขาด!”
สิ้นคำ ฉู่สือก็เดินไปที่มุมห้องด้วยใบหน้าเ็า และยังคงอารมณ์เสียอยู่ฝ่ายเดียว เขาี้เีจัดการกับคนโง่ที่ยังไม่มีความทรงจำของชาติก่อน
หลิงเฟิงงุนงงกับสิ่งที่ฉู่สือพูด เขาหันกลับไปมองทั้งสองคนที่อยู่ใต้ต้นไม้ ซึ่งอยู่ห่างออกไปด้วยสีหน้าที่ไม่อาจเข้าใจสถานการณ์ได้เลย
“ท่าน...ปล่อยมือข้าเดี๋ยวนี้นะ...”
แก้มสองข้างที่ถูกบีบจนปากเล็กๆ กลายเป็ปากเป็ด ทำให้ชิงอีแผดเสียงได้ไม่ชัดเจนนัก แล้วทันทีที่กรงเล็บกระดูกขาวเก้าอิมทั้งสองยื่นออกไปก็ถูกเขารวบไว้ด้วยมือข้างเดียว
ร่างของนางถูกดึงไปทางขวา ทำให้แผ่นหลังชนเข้าต้นไม้ใหญ่ถูเข้ากับเปลือกไม้หยาบ ชิงอีรู้สึกเ็ปอย่างรุนแรง จนต้องกรีดร้องออกมา
“อื้อ อื้อ”
เสียงร้องแหลมสูงเกือบจะแผดลั่นไปถึงท้องนภาถูกยับยั้งไว้เสียก่อน
เซียวเจวี๋ยปิดปากของนางแน่น ตาของเขากระตุกเล็กน้อยและคิ้วขมวดลงเล็กน้อย สร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็น “เงียบ”
ชิงอีกัดฟันแน่นและถลึงตาใส่อย่างดุดัน
มือทั้งสองพยายามดิ้นรนแต่ก็ไม่เป็ผล นางจึงยอมแพ้แล้วเอาแต่สบถด้วยความฉุนเฉียว พร้อมส่งสายตาพิฆาต
เซียวเจวี๋ยค่อยๆ ถอนมือข้างซ้ายที่ปิดปากนางไว้ออก ทว่า ยังคงใช้มือข้างขวายังคงจับมือนางไว้เช่นเดิม
“ท่านเอาแต่บอกว่าข้าขโมยบางสิ่งไปจากท่าน ไม่ทราบว่าสิ่งนั้นคืออันใด ถึงทำให้องค์หญิงต้องใช้ปากฉกชิงมันกลับมา?” เซียวเจวี๋ยมองลงมาที่นาง ในรอยยิ้มของเขามีความดูถูกถากถาง
“ทั้งๆ ที่รู้คำตอบอยู่แล้วก็ยังจะถาม”
“หากองค์หญิงไม่พูด ข้าจะรู้ได้อย่างไรเล่า?”
ชิงอีกัดฟันและจ้องเขา หนุ่มน้อยผู้นี้ไม่รู้จริงๆ หรือจงใจถามกันแน่?
นางกำลังจะเอ่ยปาก เซียวเจวี๋ยกลับปล่อยนางเสียก่อน
“คนชั่วในวัดตงหวาถูกกำจัดแล้ว ต่อไปองค์หญิงก็ฝึกบำเพ็ญตน และอธิษฐานขอพรให้ฝ่าาได้อย่างสบายใจ อีกอย่าง ท่านยังสามารถเรียนรู้ที่จะระมัดระวังกิริยาและฝึกฝนอารมณ์ได้ด้วย”
“ส่วนการหมั้นหมาย ข้าจะทำตามที่องค์หญิง้า เมื่อกลับไปถึงวังหลวงแล้ว ข้าจะไปทูลขอให้ฝ่าาถอนพระบรมราชโองการ”
หนุ่มน้อยผู้นี้คิดจะขังนางไว้ในวัดภิกษุหัวโล้นนี้หรือไง?!
“อย่าแม้แต่จะคิด!” สีหน้าของชิงอีเปลี่ยนไป “หากจะถอนหมั้น ก็ต้องเป็ข้าที่เป็ฝ่ายถอนหมั้น ท่านมีสิทธิ์อะไร!”
“ก็สิทธิ์...”
ก่อนที่เซียวเจวี๋ยจะพูดจบ ใครบางคนที่กลายเป็สุนัขจนตรอกฉวยโอกาสตอนที่เขาเผลอ เขย่งเท้าเข้าจู่โจม
เพราะไม่ทันระวังตัวกับจากการจู่โจมที่เข้ามาประชิดตัว เซียวเจวี๋ยจึงเอนหลังพร้อมกอดนางไว้ด้วยสัญชาตญาณ ทั้งคู่จึงล้มลงพื้น
ก่อนที่เซียวเจวี๋ยจะโต้ตอบกลับมา ริมฝีปากบางแสนนุ่มนิ่มก็กดลงมา
ััเบาบางประดุจแมลงปอบินอยู่บนผิวน้ำ เซียวเจวี๋ยถึงกับชะงักไปครู่หนึ่ง
ในเวลาต่อมา คนที่ใช้กลอุบายสำเร็จก็ผลักไหล่ของเขาอย่างแรง เซียวเจวี๋ยที่อยู่ในสภาพมึนงง ร่างกายก็กระแทกลงไปที่พื้นจนหัวฟาดพื้น
ได้จูบแล้ว ได้จูบแล้ว! เขาถูกนางจูบไปแล้วใช่ไหม!
ชิงอียิ้มแย้มหน้าชื่นตาบาน วินาทีต่อมานางมองชายหนุ่มที่หมดสติอยู่บนพื้น กะพริบตาปริบๆ และยื่นเท้าไปเขี่ย “หนุ่มน้อย? นี่? เซียวเจวี๋ย?!”
ตายแล้วเหรอ?
“ท่านอ๋อง” ฉู่สือที่เห็นว่าสถานการณ์เลวร้ายก็รีบพุ่งตัวมา
“แย่แล้ว! พระเศียรของท่านอ๋องมีเืออก!”
“เร็วเข้า! เรียกหมอมา ระวังหน่อย”
ในขณะทุกคนกำลังอลหม่าน ชิงอีได้แต่ยืนอยู่ด้านข้างและกะพริบตาปริบๆ อย่างไร้เดียงสา
ครั้งนี้...นางไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะ...
****************************
[1] เอากรงใส่ไม้ไผ่ถ่วงน้ำ คือ เป็บทลงโทษของชายหญิงที่ลักลอบคบชู้กันในสมัยจีนโบราณ โดยการมัดมือมัดเท้าและเอาไปใส่กรงไม้ไผ่ที่ปกติเอาไว้ใส่หมู จากนั้นก็เอาไปไว้ที่แหล่งน้ำ รอให้น้ำค่อยๆ ขึ้นสูง จนคนที่ถูกขังไว้ค่อยๆ จมน้ำตายไป